ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 690 อยู่ด้วยกันจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม
- บทที่ 690 อยู่ด้วยกันจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร
บทที่ 690 อยู่ด้วยกันจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร
บทที่ 690 อยู่ด้วยกันจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร
ครั้นปี้ชุนได้ยินเสียงของเหยาเอ้อหลางในอาการสะลึมสะลือ จึงรีบลืมตาขึ้น กระทั่งเห็นเขาลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง เอนกายพิงหัวเตียงมองมาที่ตน
มุมปากกระตุกยิ้มบาง ๆ นัยน์ตาคู่นั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
“เจ้าตื่นแล้ว หิวไหม?”
ปี้ชุนรีบเอ่ยถามเขาด้วยความเป็นห่วง
“ข้าไม่หิว”
เหยาเอ้อหลางส่ายหน้าเบา ๆ แต่สายตายังคงจับจ้องมาที่ปี้ชุนตลอด ไม่ละไปไหน และมองอยู่อย่างนั้น
เขามองปี้ชุนที่ดูเหนียมอาย กระทั่งลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนบางอย่าง
“ข้าไปเตรียมของกินก่อนแล้วกัน เจ้าหลับเสียตั้งนาน จะไม่หิวได้อย่างไร?”
“อย่าไป!”
เหยาเอ้อหลางยื่นมือออกไปคว้าตัวปี้ชุนไว้ ปี้ชุนเองก็คาดไม่ถึงจึงล้มเอนกายไปด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว
สุดท้ายก็ล้มมาอยู่ในอ้อมกอดของเขา เหยาเอ้อหลางถูกกดบาดแผลจนต้องส่งเสียงไอหนึ่งเสียง เจ็บปวดร้าวรานจนต้องขมวดคิ้ว
ปี้ชุนรีบลุกขึ้นยืน แต่กลับถูกเหยาเอ้อหลางรั้งตัวไว้แน่น
“เจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ แบบนี้รังแต่จะทำให้อาการบาดเจ็บเจ้าหนักข้อขึ้น”
“ไม่ ข้าไม่ปล่อย!”
เหยาเอ้อหลางยื่นมือออกไป คว้าตัวของปี้ชุนกลับมาในอ้อมกอดแน่น
“ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะเผชิญหน้ากับหัวใจของข้าเอง ข้าจะไม่หลบเลี่ยงอีก เจ้าเฝ้าข้าทั้งคืน มันทำให้ข้าเข้าใจหัวใจตัวเอง ข้าเองก็อยากบอกเจ้าว่าก่อนที่ข้าจะสลบไป ข้าตั้งใจจะพูดกับเจ้า”
ปี้ชุนได้ยินคำพูดของเหยาเอ้อหลาง ก็รู้ทันทีว่าเขากำลังจะตอบคำถามของตน ส่งผลให้ร่างทั้งร่างเกร็งไปชั่วขณะ มือกำหมัดแน่น จนฝ่ามือเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดละเอียดชั้นหนึ่ง
“ข้าก็เหมือนกับเจ้า”
ครั้นได้ยินประโยคนี้ปี้ชุนถึงกับผงกหัวขึ้นด้วยความตื่นตกใจ สายตาสบประสานกับเหยาเอ้อหลาง หัวใจของคนทั้งสองเต้นระงมตึกตักไม่มีท่าทีจะหยุด
ท่าทางเช่นนี้บอกได้ว่าเขาเองก็ชอบนางเช่นกัน!
ปี้ชุนประหลาดใจไปชั่วขณะ
ปี้ชุนรู้ว่าตัวเองไม่มีทางชอบคนผิด ในใจของเหยาเอ้อหลางก็มีนางมาตลอดเช่นกัน เพียงแค่นี้ก็มากพอแล้ว
อีกด้านหนึ่ง หลังจากเจี่ยงเถิงเสร็จสิ้นภารกิจก็ตรงกลับมาหาหลินซือในโรงเตี๊ยม
หลินซือตามเจี่ยงเถิงมาจนถึงโรงเตี๊ยม เห็นม้าหยุดอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมแล้ว จึงมองเจี่ยงเถิงด้วยสายตาสงสัยพลางเอ่ยถาม
“เจ้าจะพาข้าไปที่ใด?”
ครั้นเห็นท่าทางสงสัยของหลินซือ ริมฝีปากบางของเจี่ยงเถิงก็พลันกระตุกเป็นรัศมีโค้งอันงดงามบางเบา จูงมือของหลินซือ พานางกระโดดขึ้นหลังม้า
โอบเอวของนางไว้ในอ้อมกอดแน่น กระซิบข้างหูของนางเบา ๆ “ไปถึงแล้วเจ้าจะรู้เอง”
หลังจากนั้นม้าตัวนั้นก็พาทั้งสองคนวิ่งไปบนถนนที่ทอดยาวออกไป ไม่นานก็ออกจากตัวเมืองมายังชานเมือง
กระทั่งมาหยุดยืนอยู่ข้างริมทะเลสาบผืนใหญ่แห่งหนึ่ง เวลานี้บนผิวน้ำได้เกิดเป็นระลอกคลื่นเบา ๆ สะท้อนแสงตะวัน
นอกจากนี้ก็ยังมีต้นไม้ริมฝั่ง พาให้ทิวทัศน์ช่างงดงามมากยิ่งขึ้น
แสงสะท้อนนี้กลับสาดส่องลงมาบนใบหน้าของคนทั้งสอง เป็นแสงสีเหลืองนวลอ่อน เหมือนกับอยู่ในดินแดนของสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น
ทั้งหมดนี้งดงามเหมือนภาพมายา หลินซือกระโดดลงจากหลังม้าภายใต้การประคองของเจี่ยงเถิง ทั้งสองคนเดินมายังริมทะเลสาบ
“เจ้าจะพาข้ามาดูที่นี่ใช่หรือไม่?”
เจี่ยงเถิงจูงมือของหลินซือไว้แน่น “หลังจากที่ข้าค้นพบที่นี่ ข้าก็อยากจะพาเจ้ามาเสพสุขความงดงามที่นี่แทบขาดใจ”
“ใช่ ที่นี่งดงามมากจริง ๆ เหมือนสรวงสวรรค์เลย”
หลินซือเบี่ยงสายตาไปมองใบหน้าด้านข้างที่งดงามประดุจรูปปั้นของเจี่ยงเถิง
จู่ ๆ ก็นึกถึงทิวทัศน์ที่ทั้งสองคนเคยไปดูด้วยกันเป็นครั้งแรกขึ้นได้ ก่อนจะหัวเราะทันใด
“ดังนั้นจึงได้พาเจ้ามาที่นี่ไง มาเดินเล่นให้สบายใจ”
ทั้งสองคนเดินจูงมือกันไปตามริมทะเลสาบอย่างช้า ๆ
แม้จะไม่ได้พูดคุยกันไปตลอดทาง แต่กลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด ทั้งสองคนรู้สึกหวานเยิ้มในใจ
ทิวทัศน์แห่งนี้คือภาพที่หลินซือเคยเห็นในห้วงความฝันนับครั้งไม่ถ้วน บัดนี้พวกเขาสองคนไม่ต้องทนต่อเรื่องกวนใจอื่น ๆ อีกแล้ว
พวกเขาสามารถเดินเล่นอยู่ริมทะเลสาบอย่างสงบ ไม่ต้องคิดสิ่งใด เดินกันไปเช่นนี้ ราวกับพวกเขาได้เดินมาถึงบั้นปลายชีวิตแล้วก็มิปาน พร้อมที่จะถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร
ในตอนนี้เองจู่ ๆ เจี่ยงเถิงก็หยุดชะงักลง เขาแสดงสีหน้าจริงจังต่อหน้าหลินซือ
“ข้ามีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งต้องบอกเจ้า ข้าคิดว่าถ้าเจ้ารู้เจ้าจะต้องเบิกบานใจแน่นอน”
ครั้นเห็นท่าทางจริงจังของเจี่ยงเถิง หลินซือก็จริงจังขึ้นมา
เมื่อเขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงของเจี่ยงเถิงพร่ำบอกนางอย่างช้า ๆ
“ข้าได้มีการพูดคุยกับพ่อแม่ของเจ้ามาแล้ว พวกเขาเห็นด้วยที่จะแต่งงานก่อนกำหนด”
“ความหมายของท่านคือเราสามารถแต่งงานกันก่อนได้ใช่หรือไม่?”
หลินซือมองไปทางเจี่ยงเถิงด้วยความประหลาดใจ
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง นัยน์ตาคู่นั้นเปล่งประกาย เหมือนกับดวงดาวที่พร่างพราวอยู่บนฟากฟ้า มันได้สาดส่องลงมายังหัวใจของเจี่ยงเถิง
เจี่ยงเถิงพยักหน้า “ใช่ ช่วงเวลานี้นอกจากหน้าที่แล้ว ข้ายังต้องทำเรื่องนี้อีกด้วย”
ครั้นเขากล่าวจบ หลินซือกลับไม่ดูตื่นเต้น แต่ในหัวใจพาให้นางยิ่งรักเขามากขึ้น เขามักจะจัดการเรื่องราวต่างอย่างเงียบ ๆ
กำจัดอุปสรรคตรงหน้าของทั้งสองคนไปแล้ว ไม่ทำให้นางต้องเป็นกังวลและกลุ้มใจแม้แต่น้อย
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
หลินซือโผเข้าสู่อ้อมกอดของเจี่ยงเถิง โอบกอดเอวที่ผอมซูบของเขา
กระทั่งได้ยินหลินซือกล่าวขอบคุณตัวเอง เจี่ยงเถิงถึงกับยิ้มไม่หยุด เขายื่นมือออกไป ลูบศีรษะของหลินซือ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เด็กโง่ เราสองคนยังต้องขอบคุณกันอีกรึ? ข้าอยากได้ยินเจ้าพูดว่า เจ้าชอบข้า”
“ข้าชอบท่าน”
เขาโน้มหน้าลงมาจูบหลินซือ ริมฝีปากที่อ่อนนุ่มนั้น ทั้งสองคนสวมกอดกันและกัน ร่างเงาทอดยาวภายใต้แสงอาทิตย์อันเรืองรอง
ผ่านไปเนิ่นนานทั้งสองคนก็กลับเข้าเมืองอีกครั้ง ทั้งสองคนเดินจูงม้าอยู่บนถนน เดินไปพลางหยอกเย้าไปพลาง
ตอนนี้เองก็มีหญิงชราผู้หนึ่งเดินมาตรงหน้าของพวกเขาและขวางทางไว้
“คุณชาย คุณหนู อยากทำนายชะตาชีวิตหรือไม่?”
หลินซือและเจี่ยงเถิงเห็นเสื้อผ้าที่หญิงชราท่านนี้สวมใส่ช่างยากจนข้นแค้นยิ่งนัก ก็พลันนึกได้ว่าแต่ละวันที่ผ่านไปของนางคงไม่ง่ายดาย
อาซือพยักหน้าตอบรับ “เจ้าค่ะ ท่านยายช่วยทำนายให้เราสองคนหน่อยได้ไหมว่าจะหลังจากแต่งงานกันจะเป็นอย่างไร?”
หลินซือรู้ว่าท่านยายผู้นี้ไม่ค่อยรู้เรื่องการทำนายนักหรอก
เพียงแต่เพื่อเงินกองหนึ่ง พูดประจบเอาใจ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป หลินซือจะยอมจ่ายเงินก้อนหนึ่ง
“ข้าว่าคุณชายและคุณหนู พวกเจ้าสองคนเหมาะสมดั่งกิ่งทองใบหยก อีกไม่นานพวกเจ้าสองคนก็จะต้องแต่งงานกันแล้ว ข้าขอให้พวกเจ้ามีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร”
ท่านยายมีสีหน้าเมตตา มองพวกเขาสองคนคุยกันด้วยรอยยิ้ม หลินซือและเจี่ยงเถิงพูดคุยกันอย่างสนุกสาน ไม่สนว่าเป็นความจริงหรือไม่
“ขอบพระคุณท่านยาย ท่านเดาถูกแล้ว เราสองคนกำลังจะแต่งงานกัน”
อาซือยิ้มตาหยีพลางล้วงหยิบเหรียญออกมา ยัดใส่มือของหญิงชรา
หญิงชรายืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองแผ่นหลังของคนทั้งสองที่ค่อย ๆ ห่างออกไปไกล ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูเมตตา มองตำลึงเงินที่แตกหักในฝ่ามือ จู่ ๆ ก็หุบยิ้มลง
นางไม่ได้พูดจามั่วซั่ว นางทำนายได้จริง ๆ พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันจนไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร มีความสุขไปตลอดชีวิต
“ข้าไม่ได้ทำนายมั่วซั่วเสียหน่อย”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ในที่สุดเอ้อหลางก็มีคนที่ชอบแล้วนะคะ ทำให้ชาวเรือลุ้นมาตั้งนานนะเนี่ย
ไหหม่า (海馬)