ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 698 ไม่ให้นางเคลื่อนไหวตามใจชอบ
บทที่ 698 ไม่ให้นางเคลื่อนไหวตามใจชอบ
บทที่ 698 ไม่ให้นางเคลื่อนไหวตามใจชอบ
“ต้องขอโทษด้วย มันเป็นความผิดของข้าเอง เมื่อครู่พี่ชายของเจ้าเข้ามาคุยกับข้า ข้าได้ให้สัญญากับเขาว่าข้าจะดูแลเจ้าอย่างดีไปตลอดชีวิตและแสนดีกับเจ้าเพียงผู้เดียว ข้าถูกรั้งตัวไว้ครู่หนึ่งจึงทำให้เสียเวลา เจ้าอย่าโกรธข้าเลยได้หรือไม่?”
เหยาเอ้อหลางรีบเข้ามาปลอบโยนปี้ชุนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทันที ทั้งยังรีบกล่าวขอโทษด้วย
เรื่องนี้ปี้ชุนจะโกรธเขาต่อไปได้อย่างไร สุดท้ายก็หลุดหัวเราะ “ข้าไม่ได้โกรธเจ้า แค่หยอกเจ้าเล่น เช่นนั้นเรามาดื่มสุรากันเถอะ!”
“อื้อ!” เหยาเอ้อหลางพยักหน้าอย่างหนักหน่วง
ท่ามกลางแสงเทียนสีแดงที่วูบไหว เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวหรี่ลงอยู่ภายในห้อง หลังจากที่บ่าวสาวคู่นี้ดื่มสุราหมดก็พากันเกิดอาการมึนเมา เหยาเอ้อหลางจูงมือปี้ชุนมายังข้างเตียงอย่างอ่อนโยน
“ที่รักของข้า ข้าขอถอดเสื้อผ้าเจ้าได้หรือไม่?”
ครั้นเห็นสายตาหลงใหลเคลิบเคลิ้มของเหยาเอ้อหลาง ปี้ชุนก็พลันนึกถึงคำพูดของแม่งานแล้วก้มหน้าโดยไร้ซึ่งความกังวลและเหนียมอาย พลางตอบ ‘อื้อ’ หนึ่งเสียงเป็นการตอบตกลง
ครั้นเห็นปี้ชุนยินยอม เหยาเอ้อหลางก็ดีใจ
เขาค่อย ๆ ถอดเครื่องหัวของปี้ชุนอย่างเบามือ ถอดเสื้อคลุมตัวนอกของนาง ดึงม่านคลุมเตียงด้านข้างลง จากนั้นก็กดร่างของนางลงไป…
อีกด้านหนึ่ง
เจ้าบ่าวต่างกลับเข้าห้องหอของตัวเอง บรรดาแขกเหรื่อต่างอิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้าก็พากันแยกย้าย เจี่ยงเถิงและหลินซือก็ต้องลากลับในตอนนี้เช่นกัน
ทั้งสองคนทำความเคารพ แล้วค่อย ๆ เดินทางกลับจวนของตัวเอง
พวกเขาไม่ได้นั่งรถม้ากลับ ที่นี่อยู่ห่างจากจวนของพวกเขาไม่ไกลนัก เดินกลับใช้เวลาแค่สองสามถ้วยน้ำชาก็ถึงที่หมายแล้ว
ผลปรากฏว่าระหว่างที่เดินกระทั่งมาถึงหน้าจวนนั้น จู่ ๆ สีหน้าของหลินซือก็พลันซีดเผือดพลางยกมือกุมท้อง ร่างทั้งร่างงอตัวกระทั่งมีอาการอาเจียน
เจี่ยงเถิงที่อยู่ข้างกายรู้สึกเป็นห่วง เขารีบเข้ามาโอบแขนของหลินซือแล้วเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล
“เป็นอะไรไป? ไม่สบายตรงไหนรึ?”
หลินซือค่อย ๆ ดีขึ้นครู่หนึ่ง หลังจากรู้สึกดีขึ้นแล้วก็ยืดตัวตรง อิงแอบแนบชิดอยู่ในอ้อมกอดของเจี่ยงเถิงพลางส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร เมื่อครู่จู่ ๆ ก็รู้สึกคลื่นไส้ แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว เรากลับจวนกันเถอะ ลมที่นี่ล้วนแต่เป็นลมหนาวทั้งนั้น”
ครั้นเห็นหลินซือกล่าวเช่นนี้ เจี่ยงเถิงก็รีบประคองหลินซือกลับจวนทันที
หลังจากที่กลับไปถึง หลินซือก็เตรียมล้างหน้าบ้วนปากเข้านอน เพราะวันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน
ปรากฏว่านางไม่เห็นเจี่ยงเถิงอยู่ในห้องสักพักใหญ่ จึงเอ่ยถามสาวใช้ข้างกาย “นายท่านของพวกเจ้าไปไหน?”
“นายท่านบอกว่าจะไปตามหมอมาเจ้าค่ะ คาดว่าน่าจะตามหมอกลับมาแล้ว ฮูหยินรออยู่ที่นี่เถอะเจ้าค่ะ”
ครั้นหลินซือได้ยินคำพูดของสาวใช้ก็พาขมวดคิ้วเล็กน้อย ดึกดื่นค่อนคืนเพียงนี้ เหตุใดเจี่ยงเถิงถึงต้องออกไปตามหมอด้วย?
ไม่นาน เจี่ยงเถิงก็พาหมอเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน กระทั่งเข้ามาในห้องของพวกเขา
ทันทีที่เข้ามา เจี่ยงเถิงก็รีบอธิบายให้หลินซือฟังทันที “ข้าเห็นว่าท่าทางในวันนี้ของเจ้าไม่เหมือนกับสบายดี ข้าจึงไม่วางใจก็เลยไปตามหมอมาดูอาการให้เจ้าเสียหน่อย มิเช่นนั้นข้าคงเอาแต่เป็นห่วงกลัวว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น”
ครั้นได้ยินคำพูดของเจี่ยงเถิง หลินซือก็พลันรู้สึกหวานหยาดเยิ้มในใจ
ไม่มีเรื่องอะไรต้องไม่พอใจแน่นอน นางจึงยิ้มพลางพยักหน้าอยู่ข้างโต๊ะ
“ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงข้า ไม่เป็นไร ให้หมอจับชีพจรให้ข้าเสียหน่อยก็ได้ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าตัวข้าเป็นอะไร”
ครั้นหมอเห็นหลินซือยินยอมให้ตรวจ ก็รีบหยิบเครื่องมือของตัวเองออกมาทันที
หลังจากทำการตรวจชีพจรของหลินซืออย่างละเอียดแล้ว หมอก็เลิกคิ้วสูงเล็กน้อย จากนั้นก็ตะโกนพลางยกมือทำความเคารพต่อคนทั้งสองด้วยความดีใจ “ขอแสดงความยินดีด้วย ขอแสดงความยินดีกับท่านทั้งสองด้วย ฮูหยิน ท่านกำลังตั้งครรภ์ขอรับ!”
ตั้งครรภ์?
เจี่ยงเถิงและหลินซือต่างมองหน้ากัน ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ คิดว่าพวกเขาสองคนคงมองไม่ออกว่าเหตุใดถึงได้มีลูกเร็วเพียงนี้?
“เจ้าแน่ใจใช่ไหม?”
หลินซือไม่กล้าเชื่อ จึงถามหมอตรงหน้าอีกครั้ง
หมอรีบลูบเคราใต้คาง พลางเอ่ยด้วยสีหน้ามั่นใจ “แน่ใจขอรับ หลายปีที่ผ่านมาข้าน้อยรักษาสตรีตั้งครรภ์มาแล้วตั้งกี่ราย ไม่มีทางตรวจอาการนี้ผิดพลาดแน่นอน ฮูหยินท่านกำลังตั้งครรภ์ขอรับ ชีพจรของสตรีมีครรภ์คงที่ จู่ ๆ วันนี้ก็มีอาการคลื่นไส้ น่าจะเป็นอาการแพ้ท้องไม่ใช่เรื่องใหญ่ ประเดี๋ยวข้าน้อยจะจัดยาบำรุงครรภ์สักสองสามเม็ด กินยาตามข้าน้อยสั่ง หลังจากนี้อีกไม่กี่เดือนก็ถึงเวลากำหนดคลอดเจ้านายน้อยแล้วขอรับ!”
คำพูดของหมอเต็มไปด้วยความยินดี ทำให้หลินซือและเจี่ยงเถิงทั้งสองคนต่างพากันคลี่ยิ้มอย่างมีความสุขเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจี่ยงเถิงที่ค่อนข้างดีใจเป็นพิเศษ
เขารีบเดินมาตรงหน้าของหลินซือ จากนั้นก็ดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเอง แล้วเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “เรากำลังจะมีลูกแล้ว เรากำลังจะมีลูกแล้วจริง ๆ!”
ครั้นเห็นเจี่ยงเถิงตื่นเต้นเหมือนเด็กน้อย หลินซือก็อดยิ้มอย่างอ่อนโยนไม่ได้ จากนั้นก็ให้เจี่ยงเถิงรีบปล่อยตัวเอง “เจ้าอย่ากอดข้าแน่นนักสิ ข้าหายใจไม่ออก ประเดี๋ยวกระทบต่อลูกในครรภ์จะทำอย่างไรเล่า?”
ครั้นเห็นหลินซือกล่าวเช่นนี้ เจี่ยงเถิงก็เป็นกังวลกลัวว่าตัวเองอาจจะทำอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์จึงรีบปล่อยมือด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูก
แต่ท่าทางดีใจนั้นกลับปิดบังอย่างไรก็ปิดบังไม่มิดชิด
หมอเองก็รู้ว่าหน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้นแล้ว จึงถอยออกจากห้องอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้ทั้งสองคนมีเวลาอยู่กันเพียงลำพัง
หลินซือยังนึกถึงท่าทางตื่นเต้นของเจี่ยงเถิงที่เพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสงบลงได้เลย กระทั่งตอนนี้เพราะรู้ว่าตัวเองกำลังมีลูกก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่
ในใจของหลินซืออดรู้สึกหวานเยิ้มไม่ได้
ถึงอย่างไร เด็กในครรภ์ของตัวเองต่างก็เป็นที่รักใคร่ หลินซือย่อมดีใจมากเป็นธรรมดา
“เรารีบเข้านอนกันเถอะ ตอนนี้เจ้าตั้งครรภ์แล้วต้องพักผ่อนให้มากกว่านี้”
จู่ ๆ เจี่ยงเถิงก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงรีบเข้ามาประคองหลินซือ พานางมานอนพักผ่อนบนเตียง ท่าทางระมัดระวังนั้นเหมือนกับกำลังกังวลว่าของมีค่าบางอย่างจะตกแตกสลายอย่างไรอย่างนั้น
ครั้นเห็นท่าทางนี้ของเจี่ยงเถิง หลินซือเองก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด ได้แค่คล้อยตามการกระทำของเขา
“เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะออกไปถามหมอเสียหน่อยว่าการตั้งครรภ์จะต้องระวังเรื่องอะไรบ้าง คงจะให้เจ้าเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด”
ท่าทางจริงจังของเจี่ยงเถิง ทำให้หลินซือดีใจอยู่ภายใน จากนั้นก็พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ แล้วหลับตาลง เจี่ยงเถิงจึงออกจากห้องไปอย่างวางใจ
หลังจากได้ความกระจ่างจากหมอว่าต้องดูแลสตรีตั้งครรภ์อย่างไรแล้วก็ทำการส่งหมอกลับไป
วันที่สอง
ทันทีที่ท้องฟ้าสว่าง เจี่ยงเถิงอยากจะนำข่าวที่หลินซือตั้งครรภ์ไปบอกกล่าวเจี่ยงฉีจนแทบทนไม่ไหว
“เรื่องจริงหรือ? ลูกสะใภ้ของข้าตั้งครรภ์แล้ว?” เจี่ยงฉีไม่อยากจะเชื่อ กระทั้งเห็นสีหน้ามั่นใจของเจี่ยงเถิงก็พาดีใจกระทั่งพนมมือว่ากล่าวอมิตาพุทธ
“สวรรค์เบื้องบนไม่ได้ใจร้ายกับเรา ประทานพรให้ข้ามีหลานดังที่หวังไว้เร็วขนาดนี้ ข้าดีใจมาก เร็วเข้า พาข้าไปดูลูกสะใภ้เดี๋ยวนี้!”
“พวกเจ้าสองคนเพิ่งตั้งครรภ์ลูกคนแรกย่อมมีหลายอย่างที่ไม่เข้าใจ ยังต้องให้ข้าผู้เป็นแม่คนนี้คอยชี้แนะพวกเจ้า”
เจี่ยงฉีดีใจมาก จากนั้นก็ให้เจี่ยงเถิงพาตัวเองไปหาหลินซือ
หลังจากที่ทุกคนในครอบครัวรู้เรื่องนี้ต่างพากันดูแลหลินซืออย่างระมัดระวัง
ทำให้หลินซือรู้สึกว่าตัวเองเหมือนพระโพธิสัตว์ที่ได้รับการประคบประหงมจากพวกเขาราวกับกลัวจะตกจากฝ่ามือลงมาแตก แถมปากก็ยังพร่ำบอกไม่ให้นางเคลื่อนไหวตัวตามใจชอบ หลินซือได้แต่จนปัญญา
“ข้าเหมือนของมีค่าไปแล้วจริง ๆ”
——————————————–