ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 707 มีเรื่องให้เจ้าช่วย
บทที่ 707 มีเรื่องให้เจ้าช่วย
“ท่านแม่ ท่านเหม่ออะไรหรือขอรับ?”
เสี่ยวเป่าแกว่งแขนของหลินซือไปมา ทำให้นางกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
วันนี้ระหว่างทางที่ผู้เป็นแม่พาเขากลับจากข้างนอกก็เอาแต่เหม่อลอยตลอด
หลินซือลูบศีรษะของเสี่ยวเป่า กระทั้งกระตุกมุมปากอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวังเล็กน้อย “ไม่มี ข้าแค่นึกถึงสหายเก่าเท่านั้น”
จู่ ๆ วันนี้ก็เจอองค์รัชทายาท มันน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
ตอนนี้นางช่วยผู้เป็นแม่วิ่งวุ่นเรื่องกิจการ ประกอบกับงานเย็บปักถักร้อยในมือของตัวเอง เลยยุ่งหัวฟูทุกวัน
บวกกับเรื่องที่หลินซือมีต่อราชสำนัก ยังไม่ได้รับการเสนอ
บางครั้งก็ได้ยินผู้อื่นพูดกัน ดูเหมือนองค์รัชทายาทก็ใช่เล่น บัดนี้ได้หมั้นหมายกับลู่เหยา…
หลินซือพับความคิดกลับไป โอบกอดเสี่ยวเป่า และกล่อมเสี่ยวเป่าเข้านอนด้วยเสียงแผ่วเบา
เสี่ยวเป่ากะพริบตามองหลินซือ จับมือของนางไม่ยอมปล่อย
“ท่านแม่ ท่านอยู่กับข้าเถอะ รอข้าหลับท่านค่อยออกไปก็ได้”
“วางใจเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน”
เสี่ยวเป่าหลับตาลงอย่างวางใจ ลมหายใจคงที่ไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
หลินซือลุกขึ้นยืน ดับตะเกียงไฟแล้วเดินออกจากห้องของเสี่ยวเป่า
ก่อนจากไป หลินซือไม่ลืมที่จะกำชับสาวใช้ให้ดูแลเสี่ยวเป่าอย่างดี แล้วค่อยกลับห้อง
เพียงชั่วครู่ที่ที่เปิดประตูห้องเข้ามา นัยน์ตาของหลินซือก็เปล่งประกายระยิบระยับ
“ทำไมวันนี้ถึงกลับมาเร็วนัก? ยามบ่ายเพิ่งส่งคนมารายงานว่าวันนี้ยุ่งมากไม่ใช่รึ?”
ต่อหน้าเจี่ยงเถิง หลินซือเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่ง
ชายหนุ่มกางแขนโอบกอดหลินซือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คะนึงหาแต่เจ้า เลยกลับจวนเร็วหน่อย อยากกอดเจ้า อยากได้ยินเสียงของเจ้า”
หลินซือเหมือนจมอยู่ในความฝันอันหอมหวาน เพลิดเพลินไปกับความตื่นเต้น
จู่ ๆ ก็มีบางอย่างแวบขึ้นในสมอง นางเบิกตากว้างจ้องเขม็งไปยังเจี่ยงเถิงอย่างไม่ละสายตา
“ท่านอยากพูดอะไรกับข้าหรือไม่ ถึงได้กลับมาเร็วเช่นนี้?”
ภายในห้องเข้าสู่ความเงียบ ไฟเทียนไขข้างกายก็วูบไหวไปมา พาให้หัวใจของหลินซือกระวนกระวายใจไปด้วย
คำพูดที่เจี่ยงเถิงอยากจะพูดก็ถูกกลืนหายไป เขาลูบไล้คลอเคลียแก้มของหลินซือ ตระหนักได้ถึงคำถามของนาง เพลินเพลินกับกลิ่นอันหอมหวานเป็นพิเศษของนาง
“อาซือ ข้าต้องลงใต้”
หลินซือหยุดชะงักในทันใด นัยน์ตาฉายแววตาไม่อยากจะเชื่อ
ช่วงนี้เจี่ยงเถิงยุ่งทั้งวัน ออกเช้ากลับค่ำ แม้แต่หน้าของเสี่ยวเป่าก็แทบไม่ได้เจอ
“ช่วงนี้ท่านกลับจวนดึกดื่นมาสองคืนแล้ว เสี่ยวเป่าบ่นคิดถึงท่าน”
ใบหน้าของนางแสดงออกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ เจี่ยงเถิงกระตุกมุมปาก พลางทัดผมซอยไว้หลังใบหู “แล้วอาซือไม่คิดถึงข้าบ้างรึ?”
เจี่ยงเถิงโอบกอดเอวของหลินซือ บีบให้นางหันมาเผชิญหน้ากับเขา
สายตาของทั้งสองคนสอดประสานกันกลางอากาศ ใบหน้าของหลินซือแดงระเรื่อ เจี่ยงเถิงดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด
“อาซือ ขอโทษนะ ช่วงนี้ข้าไม่มีเวลาอยู่กับเจ้าและลูก แต่ไม่ได้ตั้งใจ”
ช่วงนี้เจี่ยงเถิงวิ่งวุ่นให้กับราชการ จนใบหน้าบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า หลินซืออดตำหนิเขาไม่ได้ แต่กลับยัง ‘เสียใจ’ ที่ต้องขาดการติดต่อ
เจี่ยงเถิงเข้าใจความคิดภายในใจของนาง เขายิ่งกระชับอ้อมกอดของตัวเองมากขึ้น พลางขยับเข้าไปกระซิบข้างหูของหลินซือด้วยเสียงเบาว่า “อาซือ ข้าขอโทษที่ต้องไปกะทันหัน พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแล้ว ไว้ข้ากลับมา ข้าจะชดเชยวันหยุดให้แก่เจ้าดีหรือไม่?”
หลินซือผละออกจากอ้อมกอดของเจี่ยงเถิง พลางเบิกตากว้างมองเขา
นางคาดไม่ถึงว่าการเดินทางในครานี้ของเจี่ยงเถิงจะนานเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าจะรีบร้อนเช่นนี้
หลินซือบ่นอุบอิบไม่พอใจ
“ไม่”
“อาซือ บัดนี้เจ้าเป็นแม่คนแล้วนะ เจ้าโกรธข้าจะพาลให้อารมณ์เสียเปล่า ๆ”
หลินซือผลักเขาออก ด้วยความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ในใจ และไม่พูดกับเจี่ยงเถิงอีก
ไม่ว่าชายหนุ่มจะหยอกล้อหลินซือทั้งคืนอย่างไร หญิงสาวก็เพิกเฉย
กระทั่งยามที่หลินซือเข้าสู้ห้วงนิทรา นางเป่าไฟตะเกียงดับมอด แล้วทิ้งเจี่ยงเถิงไว้ในห้องโถงเพียงลำพัง
เจี่ยงเถิงเปลื้องเสื้อผ้าแล้วเดินเท้าเปล่าขึ้นเตียง เนื่องจากกลัวว่าการเคลื่อนไหวนี้จะสร้างความขุ่นมัวให้แม่สิงโตน้อยจนพาลโกรธ
เขาจึงโอบกอดหลินซือจากด้านหลัง หลินซือไม่ได้ดิ้นสลัดทิ้งแต่อย่างใด เจี่ยงเถิงขานเรียกชื่อของหลินซืออย่างแผ่วเบา
“อาซือ หลับแล้วรึ?”
หลินซือลืมตาโพลงในความมืด นางไม่ได้หลับ แค่ไม่รู้ว่าจะกล่าวสิ่งใด
หลังจากแต่งงาน การพึ่งพาที่นางมีต่อเจี่ยงเถิงกลับมากขึ้นทุกที นางแค่นึกถึงวันเวลาที่จะได้อยู่กับเขาทุกวัน มีเด็ก ๆ วิ่งเล่นอยู่รอบตัว
บัดนี้เจี่ยงเถิงต้องวิ่งวุ่นกับราชการทุกวัน หลินซือไม่มีสิทธิ์ไปโกรธเขา เวลานี้นางทำได้แค่โกรธเคืองตัวเอง
ชายหนุ่มด้านหลังพ่นลมหายใจแผ่วเบา แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด
“อาซือ นอนเถอะ”
เช้าตรู่วันที่สอง เจี่ยงเถิงตื่นแต่เช้า ตอนที่แต่งตัวนั้นสายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่แก้วของหลินซือ
เขาขยับเข้าใกล้หลินซือ โน้มตัวลงไปหอมแก้มของหลินซือฟอดหนึ่ง
“อาซือ ข้าต้องออกเดินทางแล้ว ไว้ข้าจะเขียนจดหมายมาหาเจ้าทุกที่ที่ข้าถึง อย่าลืมเขียนกลับมาหาข้าด้วย ให้ข้าได้รู้ว่าเจ้าก็ถวิลหาเพียงข้า”
เมื่อเวลามาถึง เจี่ยงเถิงออกเดินทางไปพร้อมกับทหารม้า
ผู้ติดตามข้างกายได้รายงานสถานการณ์ “ใต้เท้า ทุกอย่างพร้อมแล้ว ออกเดินทางได้ทุกเวลาขอรับ”
เจี่ยงเถิงกล่าวเสียงต่ำ สายตาทอดมองออกไปข้างนอก เขาจับจ้องไปยังถนนที่ทอดยาว ก่อนหน้านั้นไม่ว่าเขาจะเดินทางไปแห่งหนใด อาซือจะตามมาส่งเสมอ
แต่ครานี้ อาซือไม่มา
เขาก้มหน้าลง กล่าวเสียงเย็นชา “ออกเดินทาง”
“ขอรับ”
…
เจี่ยงเถิงรู้สึกหงุดหงิดในใจ ออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ไม่มีหยุดพัก
เขาแหงนหน้ามองดวงอาทิตย์ กระทั่งตระหนักได้ว่าเวลานี้เที่ยงวันแล้ว
“พักได้!”
ทุกคนหยุดเดินทางตามคำสั่งของผู้เป็นนาย เจี่ยงเถิงมองทหารม้าอันมหาศาลเบื้องหน้า แล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้
ในตอนที่เขาได้รับการตรวจสอบนั้น พบกับรถม้าปริศนาที่ไม่รู้โผล่มาตั้งแต่ตอนไหนคันหนึ่ง ครั้นเปิดม่านหน้าต่างก็เห็นภาพตรงหน้า ซึ่งนั้นทำให้เขาอดส่งเสียงด้วยความตื่นตกใจไม่ได้
“อา…อาซือ? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
หลินซืออดกระตุกมุมปากไม่ได้ จากนั้นก็ลงจากรถม้า
“ท่านเดินทางลงใต้เป็นเวลาร่วมหลายเดือน ข้าไม่อยากทุกข์ทรมานจากความคะนึงหาถึงท่านก็เลยตามมา”
เจี่ยงเถิงอดนวดขมับไม่ได้ “ในจวนมีหลายเรื่องที่เจ้าต้องดูแล เจ้ามาเช่นนี้แล้วเสี่ยวเป่าจะทำอย่างไร?”
“วางใจเถอะ ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว”
เจี่ยงเถิงจ้องเข้าไปในดวงตาของหลินซือ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับสายตาชวนหวั่นไหวของหลินซือ
แฮ่ก ๆ เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อวาน
เมื่อวาน ก่อนที่เจี่ยงเถิงมาบอกหลินซือว่าตนนั้นต้องเดินทางลงใต้ หลินซือได้ยินเรื่องที่เขาต้องเดินทางไกลมาจากในจวนแล้ว
แค่ไม่คิดว่าการเดินทางลงใต้ครานี้จะไกลเพียงนั้น หลินซือไปหาพี่ใหญ่หลังจากกลับจากอาราม
“ในตอนที่เห็นพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ไป๋หรูปิง ทั้งสองคนกำลังคิดคำนวณค่าใช้จ่ายอย่างสนิทสนม
“แฮ่ก ๆ ข้าว่าพวกเจ้าสองคนทำตัวเหมือนไม่มีใครอยู่เกินไปแล้ว? กลางวันแสก ๆ เช่นนี้ ไม่คำนึงถึงผลกระทบบ้างหรือไร”
หลินซือเดินทะลุลานกว้างไปมายังห้องโถงภายใน ไป๋หรู่ปิงเก็บรายการค่าใช้จายเหล่านั้น แล้วรุดหน้าเข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
“มาเยือนจวนของข้าดึกดื่นเช่นนี้ คงไม่ได้ทะเลาะกับเจี่ยงเถิงหรอกนะ?”
หลินซือทอดถอนใจโบกมือไปมา
“ดูน้องข้าพูดจา เจี่ยงเถิงยุ่งเพียงใด ใช่ว่าพวกเจ้าจะไม่รู้ ช่วงนี้เขายุ่งแต่กับเรื่องโรงเกลือ หายหัวไปทั้งวัน ขืนปล่อยไว้เช่นนี้ เกรงว่าเสี่ยวเป่าคงลืมไปแล้วว่ามีพ่ออยู่ทั้งคน”
พี่ใหญ่เดินมาข้างกายหลินซือ จากนั้นก็เคาะศีรษะของนางเบา ๆ
“อาซือ หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว”
พี่ใหญ่และไป่หรูปิงนั่งประกบทั้งสองด้านของหลินซือ ทั้งสองคนรอให้หลินซือเอ่ยถึงเจตนารมณ์ของการมาเยือนในครานี้อย่างเงียบ ๆ
หลินซือปรายตามอง พลางยกมือขึ้นมาเท้าคาง ด้วยความผิดหวังท้อใจ
“ช่วงนี้เจี่ยงเถิงไม่ค่อยอยู่จวน ไม่รู้ว่ายุ่งอะไรนักหนา”
“อาซือ หยุดเหลวไหลได้แล้ว ตอนนี้เจี่ยงเถิงกำลังตรวจสอบคดีเกลืออยู่ จะยุ่งก็ไม่แปลก เหมือนว่าพรุ่งนี้เขาต้องออกเดินทางลงใต้ด้วย”
“ท่านพี่ ท่านว่าอย่างไรนะ?”
หลินซือสงสัยว่าตนจะฟังผิดไป จึงเบิกตากว้างมองใบหน้าของพี่ใหญ่
พี่ใหญ่และไป๋หรูปิงต่างสบตากัน ไป๋หรูปิงขยิบตาใส่เขา พี่ใหญ่จึงตระหนักได้ว่าตนได้พูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดไปแล้ว
อาซือคว้าแขนเสื้อของพี่ใหญ่ ไม่ให้โอกาสเขาได้หนี
“ท่านพี่ ที่ท่านพูดหมายความว่าอย่างไร? เขาไปไหน? เหตุใดข้าถึงไม่รู้?”
ไป๋หรูปิงเห็นสายตาที่ดูมุ่งมั่นของหลินซือ จึงขยับตาส่งสัญญาณไปทางเขา พี่ใหญ่ต้องยอมแพ้ “ตอนใต้มีการเปิดโรงเกลือใหม่หลายแห่ง การควบคุมดูแลยังวุ่นวาย เจี่ยงเถิงจึงต้องไปปฏิบัติภารกิจ จะประมาทเลินเล่อไม่ได้ ปฏิเสธก็ไม่ได้”