ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 82 แล้วถ้าเกิดมันมีประโยชน์ล่ะ
บทที่ 82 แล้วถ้าเกิดมันมีประโยชน์ล่ะ?
เหยาซูเห็นเขาหยุดมองปิ่นปักผมก็รู้ในทันทีว่าเขาน่าจะอยากซื้อให้นาง หญิงสาวกำลังจะบอกว่านางเองก็มีปิ่นปักผมอยู่ไม่น้อย เป็นเงินบริสุทธิ์สองสามอัน ไม่จำเป็นต้องซื้ออีก ทว่าพอเดินไปถึงหน้าแผงลอยจริง ๆ เหยาซูก็ต้องตะลึงงันไปเช่นกัน
แม้ในยุคปัจจุบันนางจะได้เห็นเครื่องประดับที่สวยงามมากมาย แต่พอได้เห็นปิ่นปักผมเงินที่อยู่เบื้องหน้าก็รู้สึกว่าเครื่องประดับที่ทำออกมาด้วยมือมันช่างประณีตและงดงามยิ่งนัก
“สวยจังเลย” เหยาซูอดพูดไม่ได้
ปิ่นปักผมแกะสลักที่ปลายด้านหนึ่ง ลวดลายส่วนใหญ่เป็นดอกไม้ที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละช่วงฤดู งานแกะสลักที่ปรากฏนั้นงดงามเกินจะกล่าว
ไม่ใช่ว่าหลินเหราไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างความสวยงามและอัปลักษณ์ เพียงแต่ปกติแล้วเขาไม่เคยสนใจเรื่องการแต่งตัว ทว่าพอเห็นเหยาซูชื่นชอบ เขาจึงกระซิบกับนางว่า “เลือกไปสักอันเถิด”
เหยาซูกำลังก้าวขาเข้าไป ครั้นนึกขึ้นได้ว่าหลินเหราไม่มีเงินเหลือซักนิดจึงฉวยโอกาสหยอกล้อเขา “เลือกสักอันอย่างนั้นหรือ? ท่านมีเงินซื้อให้ข้าหรืออย่างไร?”
เมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของจิ้งจอกน้อย ดวงตาของหลินเหราพลันฉายแววอ่อนลง “ข้ามีวิธี เจ้าเลือกปิ่นปักผมที่สามารถป้องกันตัวเองได้เถอะ”
เหยาซูเห็นว่าชายหนุ่มให้ความสำคัญในการป้องกันตัวจึงพูดไม่ออก แต่ชายชราที่ขายปิ่นปักผมที่แผงลอยกลับเงยหน้ามองหลินเหราที่กำลังพูดอยู่ เสียงของหลินเหรานั้นเบายิ่งนัก อีกทั้งสองยังอยู่ห่างจากแผงลอย แต่ชายชราผู้นี้กลับได้ยินมันอย่างชัดเจน
เหยาซูเดินไปหยุดที่หน้าแผงลอย สำรวจปิ่นเงินที่สวยงามหลากหลายชิ้นอย่างละเอียด ทว่ากลับไม่รู้ว่าจะเลือกอันไหนดี
เสียงแหบแห้งของชายชราดังขึ้น “สาวน้อย เลือกสักอันเถิด สามีของเจ้าพูดถูก มันสามารถใช้ป้องกันตัวได้”
เหยาซูเห็นชายชราพูดเช่นนี้จึงถามเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ท่านผู้เฒ่า ท่านขัดปลายของปิ่นปักผมให้คมเช่นนี้ เพราะจุดประสงค์นี้หรือเจ้าคะ?”
ชายชราพยักหน้า “แม้ว่าเงินจะอ่อน หากแต่ทำเป็นปิ่นปักผมปลายด้านหนึ่งขัดเงา ภายใต้เหตุการณ์กะทันหันยังคงมีประโยชน์อยู่บ้าง”
เหยาซูไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้ทำปิ่นปักผมที่ควรจะคิดว่าออกแบบอย่างไรให้ดูดีกลับคิดว่าจะออกแบบอย่างไรให้สตรีใช้ปกป้องตัวเองได้
หลินเหราเอ่ยออกมา “ท่านผู้เฒ่าขอรับ ไม่ทราบว่าในอดีตท่านเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพท่านใด?”
เหยาซูไม่ได้สังเกตเห็น แต่หลินเหราสามารถบอกได้ว่าชายชราผู้นี้มีทักษะการได้ยินที่เฉียบคมนักแม้จะอยู่ไกลมาก ขนาดที่ได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับเหยาซูอย่างชัดเจน และเห็นได้ชัดว่าชายชราผู้นี้ยังสามารถแกะสลักปิ่นปักผมที่งดงามและละเอียดอ่อนได้
การได้ยินของชายชรายังคงปกติดีและได้ยินสิ่งต่าง ๆ ชัดเจน ทั้งยังมีรูปร่างแข็งแรง เขาต้องเป็นทหารเก่าที่เกษียณแล้วอย่างแน่นอน
ชายชรายิ้มพลางส่ายหัว “เรื่องมันนานมาแล้ว พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าเดาถูกว่าข้าเคยอยู่ในกองทัพมาก่อนก็พอแล้ว”
หลินเหราพยักหน้า และไม่ซักถามสิ่งใดต่อ
เหยาซูยังคงสงสัยอยู่เล็กน้อยจึงถามชายชราว่า “สตรีมีพละกำลังน้อยอยู่แล้ว ท่านคิดให้ปิ่นปักผมสามารถเป็นเครื่องป้องกันตัวได้ นับว่าท่านคิดได้อย่างลึกซึ้งจริง ๆ แต่ท่านเกิดความคิดนี้ได้อย่างไรหรือเจ้าคะ?”
ชายชราคนนี้เป็นคนที่คนทั่วไปมองภายนอกแล้วไม่อาจมองออกได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งแววตาก็ยังเป็นมิตรอยู่เสมอ
แต่คำพูดที่พูดออกมาทำให้คนฟังถึงกับตกใจ “ข้าเคยรับราชการทหารมาหลายปี และข้าจะกลับบ้านทุกสองปี หากไม่สามารถกลับมาที่บ้านได้อย่างน้อยก็จะเขียนจดหมายถึงที่บ้านฝากไว้ที่เมืองใกล้สุดของค่ายทหาร เมื่อสิบปีก่อน น่าจะเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ ข้ากับภรรยานัดเจอกันที่เมือง แต่นางกลับไม่มา แม้ว่าข้าจะรออยู่หลายวัน…”
“ต่อมาข้าจึงออกจากเมืองเพื่อตามหานาง และถามทิศทางที่มีคนเดินทางกลับบ้าน ข้าจึงได้รู้ว่าเมื่อครึ่งเดือนก่อนมีหญิงสาวคนหนึ่งเดินทางคนเดียวและถูกคนขับรถม้าบังคับขืนใจในป่า… คนขับรถม้านั่นหนีไป ร่างกายของนางเปื้อนเลือด แต่นั่นไม่ใช่เลือดของนาง สุดท้ายนางก็กัดลิ้นฆ่าตัวตาย และทิ้งปิ่นปักผมที่หักไว้บนพื้น”
“ข้าใช้เวลานานกว่าจะได้พบคนขับรถม้าคนนั้น บนคอของเขามีรอยแผลเล็ก ๆ จริง ๆ แล้วมันเกิดจากวัตถุแหลมคม ข้าจึงใช้ปิ่นปักผมที่นางทิ้งเอาไว้แทงคอของชายผู้นั้นเพื่อแก้แค้นให้นาง”
“หลังจากผ่านมาหลายสิบปี ข้ายังคงคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ หากว่าวันนั้นภรรยาของข้าไม่ใช้ปิ่นปักผมแบบพับ แต่เป็นปิ่นเงินปลายแหลมเช่นนี้ นางคงจะไม่ประสบพบเจอกับความโชคร้าย”
น้ำเสียงของชายชราราบเรียบและนุ่มนวล แม้แต่ความเร็วในการพูดก็ไม่รีบร้อน ทว่าภายใต้ความสงบนี้เหยาซูสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก
“ข้าจึงใช้ปิ่นปักผมที่ภรรยาชื่นชอบเป็นแบบอย่าง แกะสลักปิ่นเงินออกมามากมาย แต่ละอันล้วนมีปลายแหลมคม”
เหยาซูกลืนน้ำลายลงคอ หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างก่อนพึมพำ “ท่านต้องรักภรรยาของท่านมากแน่ ๆ”
ชายชราที่ขายปิ่นปักผมยิ้มและส่ายหน้า “รักอะไรกัน ข้าเป็นแค่ชายคนหนึ่งที่หยาบกระด้าง จะรู้จักเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อนางจากไปกะทันหัน ทำให้หัวใจของข้าช่างว่างเปล่านัก”
เหยาซูเงียบไปพลางหยิบปิ่นเงินที่แกะสลักเป็นกล้วยไม้ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ขึ้นมาส่องกับแสงแดดยามบ่ายที่ฉายลอดลงมา เมื่อแสงแดดกระทบต้องปิ่นปักผม นางจึงพบว่ามีตัวอักษรสลักไว้สองบรรทัด
นางท่องโดยไม่รู้ตัวว่า “หล่านเหราซูยังมิหวนคืน เสาะหาข่าวคราวจากเมฆา”
บทกวีนี้เดิมทีความหมายของมันกล่าวถึงสหายที่เดินทางโดยเรือที่จากไปโดยไม่มีข่าวคราวของอีกฝ่าย ทว่าชายชราสลักลงบนปิ่นปักผมของภรรยาเพื่อรำลึกการจากไปถึงคู่ชีวิตที่ล่วงลับ เช่นนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการบอกรักภรรยามิใช่หรือ?
ทว่าภรรยาของเขาไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว ราวกับนางอยู่อีกฝั่งฟากของก้อนเมฆกับผืนทะเล
ครั้นหลินเหราเห็นว่าเหยาซูนิ่งอึ้ง จึงใช้เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหูของนาง “อาซู บทกลอนนี้มีความหมายเหมือนข้ากับเจ้า มันมีชื่อของเจ้ากับข้า”
นางวางปิ่นปักผมลงกลับที่เดินแล้วหันไปมองเขา แววตาฉายชัดถึงความโศกเศร้า “ใช่แล้ว บทกวีนี้ไม่ใช่บทกวีที่ดี”
เมื่อชายชราเห็นเหยาซูเศร้าหมอง เขาจึงกล่าวด้วยเสียงอบอุ่นว่า “สาวน้อย เจ้าเป็นเด็กที่จิตใจดี อย่าคิดมากเลย วันนี้พวกเจ้าได้พบข้า บังเอิญหยิบปิ่นปักผมขึ้นมา แล้วบนปิ่นปักผมนั้นสลักชื่อของเจ้าทั้งสองไว้ก็พอ ทุกอย่างนั้นล้วนมีเรื่องบังเอิญ แต่เมื่อความบังเอิญนั้นรวมเข้ากันคือโชคชะตา ทุกอย่างมีทั้งดีและไม่ดี แม้ว่าที่มาของปิ่นปักผมนี้อาจไม่ใช่เรื่องราวที่สวยงาม แต่ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทั้งสองคนจะใช้ปิ่นปักผมนี่อย่างดี รับมันไปเถอะ หวังว่ามันจะมีประโยชน์สักวัน”
หลินเหราพยักหน้าขอบคุณ “ขอบคุณท่านมากขอรับ”
เหยาซูค่อย ๆ หยิบปิ่นปักผมมาไว้ในมือพร้อมกล่าวกับชายชราอย่างจริงจัง “ท่านบอกว่าที่มาของปิ่นปักผมนี้ไม่ดี แต่ข้ากลับรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องราวที่สวยงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมาเลยเจ้าค่ะ”
ชายชรายิ้มอีกครั้ง แววตาของเขานิ่งสงบและอ่อนโยน
ก่อนเหยาซูจากไป นางยืนกรานที่จะมอบเงินทั้งหมดให้กับชายชรา แม้กระทั่งหลินเหราเองก็มอบจี้หยกที่ดูเหมือนมีค่าให้กับชายชราเช่นกัน
ตอนนี้ทั้งสองคนไม่มีเงินเหลือแม้แต่เหรียญเดียว นอกจากนี้เหยาซูเองก็ไม่มีอารมณ์ที่จะเดินตลาดแล้ว ในมือของนางถือปิ่นปักผมเอาไว้ ในหัวพลางสะท้อนคำพูดที่สงบเยือกเย็นของชายชรา
เหยาซูเอ่ยกับหลินเหรา “ท่านว่า…ทั้ง ๆ ที่ชายชราเจ็บปวดถึงเพียงนั้นเหตุใดเขากลับสงบนิ่งยิ่งนัก?”
หลินเหราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “บางทีหลังจากผ่านความโศกเศร้าครั้งใหญ่ ในหัวใจคงเหลือเพียงความสงบและความเหงา บางทีเวลาอาจจะช่วยเยียวยาความเศร้าโศกของเขาได้”
เหยาซูเป็นคนใจอ่อน หญิงสาวมองปิ่นผมและพูดช้า ๆ ว่า “ท่านผู้เฒ่าบอกว่าเขาไม่เข้าใจว่าความรักคืออะไร แต่ข้ากลับรู้สึกว่าเขารักภรรยาของเขาอย่างลึกซึ้งเหลือเกิน”
เมื่อเห็นใบหน้างดงามของนางเต็มไปด้วยความเศร้าโศก หลินเหราก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “อาซู ทุกคนล้วนมีวาสนาของแต่ละคน นี่อาจจะเป็นโชคชะตาที่ชายชรากล่าวเอาไว้ แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับเจ้าในอนาคต”
เหยาซูส่งเสียง ‘อืม’ ออกมาก่อนที่จะเงียบไป
ทั้งสองเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันระยะหนึ่ง เหยาซูก็ค่อย ๆ หลุดพ้นจากความโศกเศร้า ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามหลินเหราว่า “เมื่อสักครู่ข้าให้เงินแก่ท่านผู้เฒ่ามากมายแล้ว เหตุใดเจ้าถึงต้องให้อีกล่ะ อีกทั้งข้าเห็นว่าจี้หยกนั้นไม่เหมือนของปกติ ท่านให้เขาไปเฉย ๆ ได้อย่างไร”
หลินเหรามีดวงตาที่อ่อนโยน แม้แต่รอยแผลที่หางตาก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นภายใต้แสงอาทิตย์ “ข้าบอกเองว่าข้าจะซื้อปิ่นปักผมให้เจ้า จี้หยกนั้นท่านแม่ทัพมอบให้ข้า ไม่มีประโยชน์อันใดหรอก”
เหยาซูรู้สึกหมดหนทางเล็กน้อย ทว่าก็เข้าใจความคิดของบุรุษที่อยากมอบสิ่งของให้นาง เพียงถามเขาว่า “จี้หยกอาจไม่ใช่ของที่มีประโยชน์ตอนนี้ แต่ถ้าภายหลังมันมีมูลค่ามากเล่า?”
ใครจะคิดว่าหลินเหราส่ายหัว “มันมีประโยชน์แน่นอนแต่ไม่ต้องกังวลไป”
ตอนนั้นที่ท่านแม่ทัพยื่นจี้หยกให้เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนี้เป็นของไม่มีค่า เพียงแค่บอกให้เขาจัดการกับมันตามใจชอบ หลินเหราคิดว่าตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเหยาซูอีกแล้ว
หากจี้หยกสามารถซื้อปิ่นปักผมให้นางได้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ลังเลที่จะสละมัน
เหยาซูรู้ว่าบุรุษผู้นี้มีนิสัยเช่นไร จึงปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป แต่ในใจยังคงคิดว่าครั้งหน้าเมื่อไปร้านผ้าจะรบกวนเถ้าแก่หลิวไปช่วยนางซื้อจี้หยกคืนจากชายชรา
เดิมทีพวกเขาตั้งใจจะหาของกินเล่นในเมืองก่อนกลับบ้าน แต่ตอนนี้เงินในตัวไม่เหลือแม้สักเหรียญเดียว ดังนั้นจึงได้แต่พากันกลับบ้าน
ขากลับยังคงเป็นหลินเหราที่เป็นคนขับเกวียน
……………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เป็นตอนที่แปลไปแล้วน้ำตาซึมเลยค่ะ ความรู้สึกของคนที่ยังอยู่ต่อคนที่ไม่อยู่แล้วน่ะนะ
ไหหม่า(海馬)