ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 86 ท่านพ่อ ท่านต้องเข้าเมืองหรือ
บทที่ 86 ท่านพ่อ ท่านต้องเข้าเมืองหรือ
ยิ่งเหยาซูคิดมากเท่าใด คิ้วของนางก็ขมวดแน่นขึ้นเท่านั้น ในนิยายไม่ได้เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับการเติบโตของเด็กทั้งสามเอาไว้ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน
อาจื้อและอาซือจูงมือกันกระโดดโลดเต้นโดยไม่รู้สึกถึงความกังวลของเหยาซูเลย พวกเขาอยู่ในช่วงวัยที่ควรจะมีความสุข ยิ่งตอนนี้ที่พ่อกับแม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว พวกเขาก็ค่อย ๆ ลืมเลือนความทุกข์ยากที่ต้องทนทุกข์ทรมานไป
เมื่อได้เห็นประตูบ้าน เด็กทั้งสองคนก็จูงมือกันวิ่งเข้าไปในลานบ้านพลางตะโกนว่า “ท่านพ่อ พวกเรากลับมาแล้วขอรับ/เจ้าค่ะ!”
หลินเหราได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก จึงเดินออกมาจากห้อง ทันใดนั้นก็ถูกเด็กทั้งสองคนวิ่งชนเข้าพอดี เขายกมือข้างหนึ่งและอุ้มเด็กทั้งสองคนขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน จากนั้นถามว่า “เหตุใดถึงกลับมาตอนนี้ แล้วแม่ของพวกเจ้าล่ะอยู่ไหน?”
อาจื้อแอบหัวเราะเพราะรู้ว่าท่านพ่อจะต้องถามถึงท่านแม่
“ท่านแม่กับน้องชายตามมาด้านหลังขอรับ”
หลินเหราพาพวกเขาเดินออกไปนอกลานบ้าน
เมื่อเขาเห็นเหยาซูอุ้มซานเป่าเดินเข้ามาจากที่ไกล ๆ เสียงของชายหนุ่มพลันอ่อนโยนลง แม้แต่แววตาก็อ่อนโยนเป็นพิเศษ “อาซู พวกเจ้ากลับมาแล้วงั้นหรือ”
เมื่อครู่เหยาซูยังรู้สึกกังวลใจ แต่พอได้เห็นสีหน้าที่ไม่รู้เรื่องในความกลุ้มใจของนาง หญิงสาวก็เกิดนึกสนุกขึ้นมา จึงวางซานเป่าไว้ตรงกลางระหว่างอาจื้อและอาซือ จากนั้นกำชับพวกเขาว่า “อุ้มน้องชายให้ดีนะ”
ด้วยวิธีนี้ทำให้หลินเหราต้องอุ้มเด็กทั้งสามคนไว้คนเดียว
เหยาซูเห็นอาจื้อและอาซือโอบร่างนุ่มนิ่มของซานเป่าเอาไว้ แม้แต่สีหน้าของหลินเหราก็แข็งค้าง นางอดยิ้มให้เขาไม่ได้ “ข้ารู้ว่าท่านอดทนได้ ดังนั้นข้าจะไม่ให้ท่านใช้กำลังอย่างเต็มที่ได้อย่างไร”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยอมให้นางช่วยทำงานบ้านทุกวันเอาแต่ปรนนิบัตินางทั้งเช้า กลางวัน เย็น
เหยาซูเคยพูดกับหลินเหราหลายครั้งแล้วว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ แต่ชายหนุ่มก็ยังดื้อรั้นและไม่ยอมให้เหยาซูทำอะไรสักอย่าง
ซานเป่าถูกพี่ชายและพี่สาวกอดอยู่ แต่ไม่ได้ทำให้อึดอัดแต่อย่างใด เด็กทารกตัวน้อย ๆ ร้องอ้อแอ้พลางบิดตัวไปมา
อาจื้อและอาซือเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ เพราะกลัวว่าจะทำน้องชายตก พวกเขาไม่รู้ว่าพ่อและแม่ของพวกเขาเล่นอะไรกันอยู่
หลินเหรากลับหัวเราะเบา ๆ เขาชอบท่าทางขี้เล่นของเหยาซูเป็นพิเศษจึงถามนางอย่างอารมณ์ดีว่า “ตอนเที่ยงอยากกินอะไร”
เหยาซูเห็นว่าซานเป่าไม่มีทีท่าว่าจะตกลงมาจากอ้อมกอดของพี่สาวและพี่ชาย นางจึงรู้สึกโล่งใจหันหลังเดินเข้าห้องไปพลางพูดกับชายหนุ่มว่า “ถามเด็กทั้งสามคนที่อยู่ในอ้อมกอดท่านสิ”
หลินเหราอุ้มเด็กทั้งสามคนแล้วเดินตามเหยาซูเข้าไปในห้อง
“อาซู”
เขายืนอยู่ตรงหน้านางอย่างแน่วแน่ราวกับทหารที่เด็ดเดี่ยวในสนามรบ ตอนนี้ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี เหยาซูยิ้มและกล่าวว่า “เด็กทั้งสามคนชอบให้ท่านกอด”
หลินเหรารู้สึกหมดหนทาง “แต่ข้าต้องไปทำกับข้าว”
เหยาซูไม่สนใจเขา นางหันมารินน้ำชาหนึ่งถ้วยและนั่งลงบนเก้าอี้
เมื่อตอนที่กลับไปที่บ้านใหญ่ นางได้บอกมารดาเรื่องไขทามือ แม่เฒ่าเหยาเองก็สนับสนุนเห็นดีด้วย
ตอนนี้เหลือเพียงแค่ไปซื้อน้ำมันหมูและติดต่อปู่เหยาสามเพื่อทำกล่องไม้
อาจื้อและอาซือรู้สึกว่าท่าทางแบบนี้สนุกดี น้องชายทั้งหอมทั้งนุ่มกอดกันไม่ลำบากจึงไม่ยอมปล่อยมือ
“ท่านพ่อกอดต่ออีกหน่อยเถอะนะเจ้าคะ” เมื่อเห็นว่าหลินเหราอยากจะปล่อยพวกเขาลง อาซือก็ส่งเสียงออดอ้อนเขา
หลินเหราตื่นแต่เช้าและยังไม่ได้โกนหนวด ยังคงมีหนวดผุดขึ้นที่คาง เมื่อเห็นลูกสาวคนเล็กกะพริบตาอย่างว่าง่าย เขาก็อดไม่ได้ที่จะใช้คางถูแก้มของอาซือ
สาวน้อยหัวเราะคิกคักในขณะที่พูดว่า “คันจังเลย!”
อาจื้อหัวเราะเช่นกัน “ท่านพ่ออย่ารังแกน้องสาวสิขอรับ!”
เมื่อซานเป่าเริ่มดื้อรั้น เด็กน้อยเองก็มีส่วนร่วมในการแกล้งกันระหว่างพ่อลูกเช่นกัน เขาร้องอ้อแอ้พลางโบกมือที่เลอะน้ำลายใส่อาซือ
“ท่านแม่! น้องชายทำเสื้อผ้าข้าสกปรก!”
วันนี้สาวน้อยสวมเสื้อกันเปื้อนสีชมพูอ่อน ตอนนี้น้ำลายของน้องชายถูกป้ายลงบนเสื้อของนางเผยให้เห็นรอยเปียกชุ่ม
เหยาซูหันกลับมาปลอบใจ “ไม่เป็นไร เสื้อสกปรกเดี๋ยวพ่อของเจ้าก็ซักให้”
หลินเหราเห็นว่าเหยาซูไม่คิดจะปล่อยเขาในวันนี้จึงทำได้เพียงอุ้มลูกทั้งสามคนไว้ด้วยวงแขนที่แข็งแกร่ง
เหยาซูมองชายหนุ่มอย่างขบขัน เหตุใดชายคนนี้ถึงซื่อบื้อขนาดนี้นะ? ลูกบอกให้กอดเขาก็กอดและไม่ยอมปล่อยลูกลง
“วันหลังข้าจะทำกระเป๋าผ้าให้กับท่าน” เหยาซูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จากนั้นก็เอาซานเป่าใส่ไว้ในกระเป๋าผ้าเวลาที่ท่านทำงาน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของนางสดใสและเจ้าเล่ห์จนหลินเหรารู้สึกคันไม้คันมือ
เขาเดินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วยัดเด็กทั้งสามคนเข้าไปในอ้อมกอดของนางพร้อมกำชับเสียงเคร่งขรึม “อุ้มเอาไว้ให้ดีแล้วไปทำงาน”
เหยาซูสะดุ้งโหยงรีบกอดอาจื้อและอาซือไว้ในอ้อมแขนอย่างรีบร้อน จนนางแทบหายใจไม่ทัน อาจื้อและอาซือร้องออกมาพร้อมกัน คนหนึ่งนอนบนไหล่ของเหยาซูอีกคนคุกเข่าอยู่บนตักของนางทั้งหัวเราะและโวยวาย
โชคดีที่หลินเหราไม่ได้ปล่อยแขนจากลูกทั้งสอง เขาเพียงแกล้งนางและป้องกันไม่ให้ลูกของเขาตกลงมา
“ข้าอุ้มพวกเขาไม่ไหว” เหยาซูหัวเราะพลางตะโกนเรียกหลินเหรา “ไม่ไหวแล้วจริง ๆ!”
ใบหน้าของหลินเหราตอนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ยังโวยวายอยู่อีกไหม?”
เหยาซูหัวเราะหยุดไม่อยู่ “ไม่โวยวายแล้ว ไม่ทำแล้ว!”
ดวงตาของนางโค้งราวกับพระจันทร์เสี้ยวที่เปล่งประกายออกมาพร้อมกับการอ้อนวอนขอความเมตตา เมื่อหลินเหราเห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นทันที เขาก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าวแล้ววางน้ำหนักของลูกทั้งสามคนไว้บนแขนของตน ทว่ากลับไม่ยอมให้พวกเขาลงจากร่างของนาง และกอดหญิงสาวไว้
“ยังหนักอยู่อีกหรือไม่?”
เสียงทุ้มต่ำของหลินเหราดังขึ้นข้างหูของเหยาซู ส่งผลให้ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ ชายหนุ่มเอนตัวเข้าไปใกล้หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอกของเขาพอดี
เสียงของเหยาซูสั่นสะท้าน “ไม่หนัก ท่านรีบอุ้มเด็ก ๆ ลงไปเดี๋ยวนี้ อย่ารัดพวกเขา…”
นางก้มหน้าลงจนแทบจะฝังลงบนอกของเขา หลินเหรามองไปที่เหยาซู และรู้สึกว่าแม้แต่เส้นผมของหญิงสาวก็ยังดูดี
เขาอุ้มเด็กทั้งสามขึ้นในขณะที่ก้มตัวลง ริมฝีปากของเขาสัมผัสเรือนผมที่อ่อนนุ่มของเหยาซูอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครทันสังเกต
ในที่สุดเขาก็ปล่อยเหยาซูให้เป็นอิสระ หลินเหรารีบถอยออกมาทำให้หญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขาวางอาจื้อลงกับพื้น อาจื้อยืนกับพื้นอย่างมั่นคงและกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่! คราวหน้าเล่นแบบนี้อีกนะขอรับ!”
เหยาซูส่ายหัว “ให้ท่านพ่อของเจ้าเล่นกับพวกเจ้าไปก็แล้วกัน! แขนของแม่จะหักอยู่แล้ว”
เด็กทั้งสองคนหัวเราะคิกคัก
หลินเหรารู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายชนะในสงครามครั้งนี้ และในที่สุดเขาก็เข้าใจวิธีปราบพยศเหยาซู ขอเพียงเขาหน้าหนาหน้าทนและแสดงความสนิทสนมออกมาอีกหน่อยนางจะต้องหน้าแดงแน่นอน
“เอาล่ะทุกคน” หลินเหรามองไปที่เด็กทั้งสองคนและกวาดสายตามองใบหูที่ขึ้นสีแดงของเหยาซู “เดี๋ยวพ่อจะไปทำกับข้าว ใครอยากจะมาช่วยบ้าง?”
อาจื้อและอาซือแย่งกันทำงาน ในขณะที่เหยาซูอุ้มซานเป่ามาจากหลินเหรา นางก็เช็ดน้ำลายที่คางให้เด็กน้อยด้วยผ้าเช็ดหน้า
ร่างกายของนางเต็มไปด้วยเหงื่อไคล “ข้าจะพาซานเป่าไปเล่นสักหน่อย ลำบากพวกเจ้าแล้ว”
เหยาซูรู้ว่าหลินเหราคงไม่มีทางปล่อยให้นางเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นจึงปล่อยให้พวกเขาทั้งสามคนไปวุ่นวายกันในครัว ส่วนนางก็กล่อมซานเป่านอนหลับ
หลินเหราทำอาหารได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานเขาก็นำอาหารสี่จานและน้ำแกงหนึ่งถ้วยมาจัดวางบนโต๊ะ จานเนื้อสัตว์และผักนั้นเข้ากันได้ดี
แม้ว่าเหยาซูจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจมากแค่ไหน ก็ต้องยอมรับว่าการที่หลินเหราช่วยนางทำงานบ้านนั้นทำให้ตนรู้สึกผ่อนคลายลงมาก
ซานเป่าเล่นตลอดทั้งเช้าและนอนหลับสนิทในเปล ทั้งครอบครัวจึงนั่งรอบโต๊ะและลงมือทานอาหารกลางวัน
หลินเหราตักน้ำแกงให้กับเหยาซูหนึ่งถ้วย “เมื่อคืนซานเป่าตื่นขึ้นมาบ่อยอีกแล้วใช่หรือไม่? หลังจากกินข้าวเสร็จ เจ้าก็ไปพักผ่อนนอนหลับสักครึ่งชั่วโมงยามเถอะ”
หญิงสาวพยักหน้าด้วยความประหลาดใจ “ท่านได้ยินเสียงงั้นหรือ?”
ซานเป่ายังเด็กเกินไปที่จะนอนหลับในเวลากลางคืน เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงความหิวหรือเวลาปวดปัสสาวะ จึงได้แต่ปลุกผู้ใหญ่ให้ตื่นขึ้นมา
เหยาซูเคยชินกับเรื่องนี้แล้ว ทุกครั้งที่นางกล่อมซานเป่านางจะหลับตาไปด้วยซึ่งทำให้นางสามารถหลับได้
หลินเหราพูดขึ้นว่า “เมื่อคืนข้าได้ยินเขาตื่นมาถึงสามครั้ง อาซู ลำบากเจ้าแล้ว”
เหยาซูรู้สึกประหลาดใจกับความเอาใจใส่ของชายหนุ่ม ชายสมัยใหม่สักกี่คนที่นอนหลับไปแล้วจะรู้ว่าเด็ก ๆ ร้องไห้ในตอนกลางคืน คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเหราจะได้ยินเสียงเด็กร้องไห้
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร รอให้ซานเป่าโตขึ้นกว่านี้เขาก็จะเรียนรู้การหลับนอนที่เป็นช่วงเวลาแล้ว”
หลินเหราพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก
เวลากินข้าวเขามักจะไม่ค่อยพูดและไม่ค่อยแสดงออกใด ๆ มากนักแต่วันนี้เขากลับมองเหยาซูอยู่บ่อยครั้ง
เหยาซูจึงอดถามไม่ได้ว่า “เป็นอะไรไปหรือ?”
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปาก “อาซู เหลือเวลาอีกหนึ่งวันข้าก็จะต้องไปประจำที่จวนผู้ตรวจการแล้ว”
อาจื้อและอาซือเบิกตากว้าง “จวนผู้ตรวจการ? ลุงรองก็อยู่ที่จวนผู้ตรวจการด้วยไม่ใช่หรือ? ท่านพ่อ ท่านจะเข้าเมืองหรือขอรับ/เจ้าคะ?”
……………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อาซูหวั่นไหวแบบนี้ก็เข้าทางอาเหราน่ะสิคะ
มีชีวิตกันสุขสันต์แค่ครู่เดียวท่านพ่อก็ต้องจากบ้านไปอีกแล้ว เฮ้อ
ไหหม่า(海馬)