ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 87 รู้สึกหวั่นไหวต่อนางงั้นหรือ
บทที่ 87 รู้สึกหวั่นไหวต่อนางงั้นหรือ
หลินเหราได้บอกเรื่องนี้กับนางไว้ตั้งแต่วันแรกที่กลับมาถึงบ้าน ทว่าเหยาซูมัวแต่คิดถึงเรื่องการหย่าร้าง จนลืมไปว่าเขาจะอยู่ที่บ้านเพียงแค่ 10 วันเท่านั้นก่อนที่จะเข้ารับราชการในเมือง
เมื่อเห็นเขารอคำตอบอยู่เหยาซูก็พูดขึ้นว่า “ท่านไปเถอะ นี่เป็นเรื่องดีอีกทั้งพี่รองก็ทำงานอยู่ที่นั่นเช่นกัน”
ปากก็พูดไปแบบนั้น แต่หลายวันมานี้หลินเหราเอาใจใส่และดูแลนางมาตลอด ทำให้เหยาซูรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าหลินเหราวางตะเกียบลงด้วยสีหน้าลังเล สุดท้ายจึงถามออกมาว่า “อาซู เจ้าจะพาลูก ๆ ไปอยู่ในเมืองกับข้าไหม?”
ดวงตาของเหยาซูเบิกกว้าง “อะไรนะ? จะให้ข้ากับลูก ๆ ไปอยู่ในเมืองด้วยงั้นหรือ?”
เห็นได้ชัดว่าความคิดนี้หลินเหราคิดเอาไว้นานแล้ว “ตอนนี้ข้าก็กลับมาแล้ว หากครอบครัวของเราได้อยู่พร้อมหน้ากันก็คงจะดี…นอกจากนี้เจ้าเองก็ต้องเข้าไปในเมืองบ่อย ๆ ด้วยเรื่องกิจการ เหตุใดถึงไม่ย้ายไปอยู่ที่นั่นเลยเล่า?”
หลังจากฤดูใบไม้ผลิ เหยาซูต้องเดินทางเข้าไปในเมืองบ่อย ๆ ทว่าการใช้เกวียนในชนบทนั้นล่าช้าและใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วยามกว่าจะไปถึง
แต่การย้ายบ้านก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน เหยาซูสามารถหาเหตุผลค้านได้มากมาย
“ตอนนี้ต้าเป่ากับเอ้อเป่าเรียนหนังสืออยู่กับพี่ใหญ่ ถ้าไปในเมืองจะทำอย่างไร?”
หลินเหราที่ไตร่ตรองเรื่องนี้มานานแล้วจึงพูดว่า “ในเมืองก็มีสถานศึกษาเช่นกัน ถ้าอาจื้อและอาซืออยากเรียน ท่านผู้ตรวจการสามารถแนะนำอาจารย์ให้เขาซักสองสามคนให้มาสอนเด็กทั้งสองได้”
เหยาซูถามขึ้นอีกครั้ง “ท่านได้หาที่พักแล้วหรือยัง จะปล่อยให้เราแม่ลูกไปนอนบนถนนไม่ได้นะ?”
หลินเหราพยักหน้า “ไม่กี่วันก่อนข้าได้ฝากให้พี่รองไปสอบถามในเมืองแล้ว วันนี้เขาให้คนส่งจดหมายมาบอกว่ามีบ้านอยู่หลังหนึ่งอยู่ใกล้กับบ้านของพี่รองมาก หากพวกเราย้ายเข้าไปอยู่ก็จะอยู่ใกล้ชิดกัน”
คราวนี้ไม่รอให้เหยาซูถาม หลินเหราก็กล่าวต่อ “หากเจ้าอยากกลับบ้านมาหาท่านพ่อและท่านแม่ เมืองก็อยู่ใกล้กับหมู่บ้านตระกูลเหยา สะดวกนัก เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะทำความสะอาดบ้านของพวกเราไว้ล่วงหน้า และฝากฝังให้พี่รองช่วยดูแล คิดดูแล้วไม่น่ามีปัญหาอะไร”
เมื่อเหยาซูเห็นเขาสามารถตอบได้ทุกคำถามและจัดการปัญหาที่นางคิดไว้ได้ล่วงหน้า ในใจของนางจึงรู้สึกสับสนเล็กน้อย
หญิงสาวขมวดคิ้ว สุดท้ายก็ไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้จึงถามว่า “ท่านวางแผนไว้นานแล้วหรือ? เหตุใดพึ่งมาบอกพวกเราให้รู้วันนี้?”
หลินเหราเผยสีหน้างุนงง “อะไรนะ?”
เหยาซูเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจจึงพูดตรง ๆ ว่า “หลินเหรา ข้าไม่ชอบที่ท่านจัดการทุกอย่างโดยไม่ปรึกษากัน ตั้งแต่ที่ท่านต้องการให้ข้าและลูก ๆ ย้ายไปอยู่อาศัยในเมือง เหตุใดไม่บอกข้าล่วงหน้า?”
หลินเหราวางแผนมาตั้งนานแล้วเพราะกลัวว่าเหยาซูจะไม่พอใจกับแผนการของเขา แต่ไม่คาดคิดว่าสิ่งที่ทำให้นางไม่พอใจกลับเป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจเรื่องนี้เพียงลำพัง
เขาเงียบลง ไม่รู้จะตอบอย่างไร
อาจื้อและอาซือได้ยินพ่อแม่โต้เถียงกันจึงหันหน้ามองหน้ากันไปมา แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เหยาซูไม่ได้ต้องการทำร้ายเจตนาดีของหลินเหรา นางจึงลดเสียงลง “ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้มีความหมายอื่นใด ท่านแค่ต้องการแก้ไขปัญหาทั้งหมดเท่านั้น แต่หลินเหรา ข้าไม่ชอบแบบนี้ แม้ว่าหลายวันมานี้ท่านจะทำงานบ้านทั้งหมด ข้าซาบซึ้งใจในน้ำใจของท่านนัก แต่ข้าไม่ชอบให้ท่านทำอย่างนั้นแม้แต่ยื่นมือเข้ามาช่วยก็ไม่จำเป็น”
หลินเหราขมวดคิ้ว “อาซู เหตุใดเจ้าต้องคิดมากแบบนั้นด้วย?”
เหยาซูจ้องมองบุรุษที่สมบูรณ์แบบตรงหน้าอย่างแน่วแน่ เช่นเดียวกับที่มารดาของตนได้พูดเอาไว้ ทั้งรูปลักษณ์และความสามารถของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่น อีกทั้งยังทุ่มเทให้กับภรรยาและลูก ๆ อย่างสุดความสามารถ ผู้ชายแบบนี้อย่าว่าแต่หนึ่งในร้อยเลยแม้แต่หนึ่งในหมื่นเกรงว่าจะหาไม่ได้สักคนหนึ่ง
ทว่าความคิดของพวกเขาแตกต่างกันมาก ทำให้ไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างระหว่างกันได้
หลินเหราเกิดและเติบโตขึ้นมาในยุคสมัยนี้ ต่อให้เขา ‘เคารพ’ นางมากแค่ไหน เขาก็มองนางเป็นเพียงตุ๊กตากระเบื้องเคลือบแสนสวยที่ต้องประคบประหงม แต่นางไม่ใช่ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบอย่างที่เขาคิด
เหยาซูถอนหายใจ สีหน้าพลันอ่อนลงราวกับว่าหลายวันนี้ความชื่นชอบเกิดขึ้นในใจอย่างเงียบเชียบ แต่เมื่อมองความเป็นจริงฟองสบู่เหล่านั้นก็ค่อย ๆ สลายหายไป
“ท่านไม่เข้าใจไม่เป็นไร เรื่องย้ายบ้านเราไว้คุยกันทีหลังดีกว่า”
เหยาซูยกชามข้าวขึ้นอีกครั้งและพูดกับเด็กทั้งสองคนว่า “เอาล่ะกินข้าวเถอะ”
หลินเหรามองเสี้ยวหน้าที่งดงามของเหยาซู พลันพบว่าเขาไม่เคยมองใบหน้านางชัดเช่นนี้มาก่อน เมื่อก่อนนางค่อนข้างไร้เหตุผล หยิ่งยโส ทำให้คนไม่ชอบหน้า
แต่ 1 ปีต่อมานางดูอ่อนโยนมากขึ้นและทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความอ่อนโยนของนางจากภายในสู่ภายนอก ทว่าความอ่อนโยนของเหยาซูนั้นยังแตกต่างจากผู้เป็นมารดาที่เผยให้เห็นถึงความเฉียบขาด
เหยาซูเองก็ไม่เคยคิดที่จะซ่อนความเป็นตัวตนของนาง หลังจากที่พวกเขาพบกัน นางก็แสดงทัศนคติของตัวเองอย่างชัดเจน
หลินเหราเอ่ยเรียกภรรยาเสียงแผ่วเบา “อาซู”
เหยาซูไม่มีท่าทีว่าจะทะเลาะกับหลินเหรา นางยิ้มปลอบใจ “กินข้าวก่อนเถอะ”
แต่ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ได้ยอมแพ้ บางทีสัญชาตญาณของเขาอาจบอกกับเขาว่า ถ้าเขาไม่พูดอย่างชัดเจนในตอนนี้ กลัวว่าในอนาคตจะไม่มีโอกาสได้พูดอีก
หลินเหราจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเหยาซูก่อนเอ่ยออกมาอย่างจริงจังว่า “อาซู ข้ายอมรับว่าหลายปีมานี้ข้ารู้จักเจ้าไม่ดีพอ เจ้าเคยโกรธไม่พูดไม่จาหรือทะเลาะกับข้า ข้าไม่เข้าใจและไม่มีเวลาให้ ในตอนนั้นข้าขอโทษ แต่วันนี้ข้ามีเพียงเจ้าและลูก ๆ ของเราเท่านั้น แม้ว่าข้าไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่ในใจของเจ้าในขณะนี้ได้ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถให้โอกาสข้าได้ทำความเข้าใจ”
ผู้ชายในยุคสมัยนี้มักมองผู้หญิงเป็นทาสของตัวเอง สามีและภรรยาไม่ค่อยมีการสื่อสารกัน แม้แต่การพูดคุยก็จะไม่พูดบนโต๊ะอาหารหรือต่อหน้าเด็ก ๆ เกี่ยวกับการขอโทษหรือการวิงวอน
แต่หลินเหราไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เหยาซูเลิกคิ้วขึ้น ในใจรู้สึกซาบซึ้งในความดื้อรั้นและความตั้งใจของเขา นางมองไปที่ดวงตาของหลินเหราและพูดกับเขาว่า “พวกเราจะไม่พูดถึงเรื่องในอดีตอีก เราจะพูดกันแค่ตอนนี้และวันข้างหน้าเท่านั้น”
พูดจบนางก็ยิ้มอีกครั้ง “เอาล่ะกินข้าวกันเถอะ ถ้าท่านต้องการที่จะพูดคุย เราสามารถกลับไปนั่งคุยกันหลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้วก็ได้”
อาจื้อและอาซือไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว เหยาซูจึงไม่อยากคุยกับหลินเหราต่อหน้าเด็ก ๆ
ชายหนุ่มสามารถคาดเดาความคิดของเหยาซูได้อย่างง่ายดาย เขาพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก เมื่อครอบครัวทั้งสี่คนกินข้าวเสร็จแล้ว หลินเหราก็ไม่ยอมให้เหยาซูทำงานบ้านอีกเช่นเคย
เมื่อมาถึงห้องครัวเขาก็พูดขึ้นมาว่า “อาซู ข้าจะล้างจานเอง”
แต่เขายังคงกลัวว่านางจะไม่พอใจจึงพูดขึ้นเสริมว่า “มือของเจ้าสวยมาก ไม่ควรให้เปื้อนน้ำมันเหล่านี้”
เหยาซูหัวเราะ “ท่านไปเรียนรู้มาจากที่ใด?”
นางยิ้มราวกับดอกไม้ผลิบาน คิ้วเรียวงามทำให้คนไม่อาจละสายตาจากนางได้
หลินเหรารู้ว่าสิ่งที่ดึงดูดเขามาตลอดไม่ใช่ใบหน้าที่งดงามของนาง
มิฉะนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้เหตุใดเขาถึงไม่เคยหมกมุ่นอยู่กับนางเหมือนดั่งวันนี้ นี่เขารู้สึกหวั่นไหวงั้นหรือ?
“ไม่ได้เรียนมาจากไหน” หลินเหราตอบพลางวางชามกับตะเกียบลงไปในน้ำ “มันคือความคิดของข้าเอง”
เขารู้สึกว่ามือของเหยาซูนั้นขาวผ่องและงดงามยิ่งกว่าชามกระเบื้องเสียอีก ไม่ควรมีสิ่งใดมาทำให้มันแปดเปื้อน
ทันใดนั้นเหยาซูก็พูดในสิ่งที่หลินเหราไม่เข้าใจ “ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้หญิงที่มีบุคลิกเช่นพี่สะใภ้รองถึงถูกพี่รองแต่งเข้าบ้าน”
หลินเหราเต็มไปด้วยความงุนงง “หืม?”
…………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ประทับใจอาเหราตอนนี้ตรงที่พยายามเข้าหา ทำความเข้าใจกับภรรยานี่แหละค่ะ ฉีกขนบปิตาฯ เข้มข้นของยุคนั้นสุดๆ ถ้าเป็นผู้ชายบ้านอื่นคงจะช่างมัน ผู้หญิงจะคิดอะไรไม่สนใจ ขอแค่สนองความต้องการตัวเองได้ก็พอ
ไหหม่า(海馬)