ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 88 ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองค่อย ๆ ใกล้เข้ามา
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม
- บทที่ 88 ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองค่อย ๆ ใกล้เข้ามา
บทที่ 88 ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองค่อย ๆ ใกล้เข้ามา
เหยาซูอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา นางส่ายหน้าไม่พูดไม่จา รูปลักษณ์อันหล่อเหลาของเหยาเฉานั้นก็เป็นเพียงเปลือกนอก หากรวมใบหน้าที่สมบูรณ์แบบเข้ากับคารมหวานหูที่ทำให้คนมีความสุขแล้ว จะมีสตรีนางไหนสามารถต้านทานได้กัน?
นางยกเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ มานั่งตรงข้ามหลินเหรา มองดูชายหนุ่มล้างจานอยู่เงียบ ๆ
ในเวลานี้เด็กทั้งสองคนกำลังงีบหลับ จึงมีเพียงพวกเขาสองคนอยู่ในห้องครัว หลินเหราเงยหน้ามองเหยาซูราวกับเขาต้องการพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป
“ข้ารู้ว่าท่านต้องการจะพูดอะไร” เหยาซูกล่าวเบา ๆ “อย่าเพิ่งรีบร้อน อีกประเดี๋ยวข้าจะพาท่านไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง”
เมื่อครู่หลินเหรายังอยากจะล้างจานต่อไปนาน ๆ เพียงหวังจะได้อยู่กับผู้เป็นภรรยาให้นานกว่านี้ แต่พอได้ยินเหยาซูพูดเช่นนี้ความเร็วในการล้างจานของชายหนุ่มก็เพิ่มมากขึ้นและแทบจะเสร็จลงในทันที
ทั้งสองเก็บข้าวของในห้องครัวเรียบร้อย เหยาซูก็กลับไปที่ห้องหลักเพื่อดูเด็ก ๆ เมื่อเห็นเด็กน้อยทั้งสามคนนอนหลับอยู่จึงปิดประตูอย่างเบามือและพูดกับหลินเหราว่า “ไปเถอะ”
หลินเหราเป็นคนที่มีความอดทนสูง แต่เขายังอดสงสัยไม่ได้ว่าเหยาซูจะพาเขาไปที่ใด เขาพยายามระงับความอยากรู้ของตัวเองไม่ให้ถามออกไป นางเพียงบอกกับเขาว่านางจะพาไปทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน
หมู่บ้านตระกูลเหยาและหมู่บ้านตระกูลหลินอยู่ติดกัน ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านทั้งสองเป็นเนินเขาที่ทอดยาวไม่สูงมากนัก ชาวบ้านมักเรียกภูเขานี้ว่า ‘ภูเขาด้านหลัง’ ในอดีตหลินเหราเองก็มักจะขึ้นมาหาของป่าบนภูเขาแห่งนี้
เขาคุ้นเคยกับภูเขาด้านหลังเป็นอย่างดี แต่ก็ค่อย ๆ เดินตามหลังเหยาซูไป จากถนนสายหลักแล้วเลี้ยวไปยังเส้นทางเล็ก ๆ หลังจากเดินไปไม่นานทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงน้ำในเวลาเดียวกัน
เหยาซูยิ้มและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้เดินมาผิดทาง”
เมื่อหลินเหราได้ยินเสียงน้ำไหล ในหัวของเขานึกภาพสถานที่ที่พวกเขากำลังจะไป เมื่อไปถึงก็พบว่าสถานที่แห่งนี้สวยกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้มาก
ฤดูหนาวทางตอนเหนือทำให้สรรพสิ่งตกอยู่ในความหนาวเหน็บ และเมื่อเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ผลิแมกไม้เหล่านั้นก็ยังไม่ผลิใบใหม่ ภูเขาด้านหลังเองก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่ที่นี่มีเพียงน้ำพุร้อนเท่านั้นที่อุ่นตลอดปีเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ต้นไม้ใบหญ้ารอบบริเวณยังคงเขียวชอุ่ม
เหยาซูพาหลินเหราไปยังทุ่งหญ้าที่มีแสงแดดส่องถึง ก่อนจะนั่งลงเคียงข้างกัน
“น้ำพุร้อนแห่งนี้ อาจื้อเป็นคนบอกข้า” เหยาซูเดินเพียงไม่นาน แต่ลมหายใจของนางกลับไม่สม่ำเสมอ
“ฤดูหนาวที่แล้ว พวกเรามาเก็บดอกไม้มากมายไปทำสีชาดทาหน้าหลายสิบกล่อง อีกทั้งยังขายมันจนหมด”
น้ำพุร้อนแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มและเสียงกระเพื่อมของน้ำ
หลินเหราหันหน้ามามองเหยาซูแล้วถามนางเบา ๆ ว่า “การค้าของเจ้าลำบากหรือไม่?”
เหยาซูส่ายหน้า “ไม่ลำบากเลย เถ้าแก่เนี้ยเซวียที่ล่องเหนือขึ้นใต้ทุกสารทิศยังจะเรียกว่าลำบากกว่า”
นางมองไปที่หลินเหราก่อนจะถามเขา “ท่านคิดบ้างหรือไม่ว่าอีกหน่อยท่านจะรับราชการ ที่บ้านจะไม่ขาดแคลนเงินทอง ข้าก็ไม่จำเป็นต้องค้าขายเพื่อหาเงินแล้ว?”
หลินเหราไม่ได้ตอบในทันที แต่กลับลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “เมื่อก่อนหน้านี้ข้าคิดแบบนั้นจริง ๆ แต่…เจ้าคงไม่ชอบแบบนั้น”
แสงแดดสาดส่องกระทบร่างของทั้งคู่ หลินเหราสวมเสื้อผ้าสีเข้มจึงทำให้รู้สึกอบอุ่น แม้แต่เหยาซูก็รู้สึกว่าพระอาทิตย์ชื่นชอบสีเสื้อผ้าของเขาเป็นพิเศษ
นางจึงถามว่า “ท่านร้อนหรือไม่”
หลินเหราพยักหน้าก่อนจะส่ายหน้าออกมา “ไม่ร้อน”
เหยาซูจึงหยอกล้อเขา “ร้อนก็คือร้อน พยักหน้าเสร็จแล้วส่ายหน้าหมายความว่าอย่างไร?”
หลินเหราพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ร้อนและเย็นล้วนเกิดจากความรู้สึกจากภายนอก แต่หากจิตใจรู้สึกสงบ ร่างกายก็ย่อมเย็นสบาย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหยาซูก็หลุดหัวเราะออกมา “ท่านนี่ชอบพูดจาเหลวไหล”
สายตาของหลินเหราอ่อนโยนลงราวกับถูกแสงอาทิตย์หลอมละลายไปพร้อมกับประกายแสงสีทองอบอุ่น เขาพยักหน้าก่อนเอ่ยขึ้นมา “ร้อนนิดหน่อย…แต่ไม่เป็นไร ข้ามีความสุขที่ได้นั่งอยู่ที่นี่กับเจ้า”
เหยาซูจ้องมองเขาด้วยสายตาแน่วแน่ นางหลงใหลในแววตาที่หาได้ยากของหลินเหรา สายตาของเขาเหมือนผิวน้ำพุร้อนที่กำลังกระเพื่อมอยู่
เขาเป็นคนเย็นชาแต่กลับมอบความรู้สึกอบอุ่นทั้งหมดให้กับนาง เฉกเช่นน้ำพุร้อนในภูเขาแห่งนี้ ทั้ง ๆ ที่บริเวณรอบ ๆ ถูกปกคุลมไปด้วยอากาศที่หนาวเหน็บ ก็ยังคงมีที่นี่เท่านั้นที่ยังคงอบอุ่นและเต็มไปด้วยกลิ่นดอกไม้
แสงแดดสาดส่องลงบนหญ้าสีเขียวอ่อนทำให้ทุกอย่างรอบตัวเต็มไปด้วยแสงอ่อน ๆ ดูอบอุ่นยิ่ง
“หลินเหรา เหตุใดท่านถึงดีกับข้าถึงเพียงนี้?” หลินเหราไม่เคยคิดว่านางจะถามออกมาเช่นนี้
เขาไม่เคยถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย ราวกับว่าความห่วงใยที่มีต่อเหยาซูนั้นเป็นสัญชาตญาณของเขาเอง
“มันคือสิ่งที่ข้าควรทำ”
บางทีการกระทำของเขาอาจจะอธิบายทุกอย่าง เนื่องจากเหยาซูเป็นภรรยาของเขาและเขาควรดีกับนาง
เหยาซูจึงถามขึ้นอีกครั้งว่า “แล้วเหตุใดเมื่อก่อนท่านไม่ทำกับข้าเช่นนี้เล่า?”
หลินเหราครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนเงยหน้าขึ้นมองเหยาซูแล้วปรับเปลี่ยนคำตอบเล็กน้อย “ข้าดีต่อเจ้าเพราะข้าอยากทำเช่นนั้น”
เหยาซูเหยียดยิ้ม
สีหน้าของนางผ่อนคลายลง นางเอนกายนอนลงไปบนพื้นหญ้าและหลับตาลง สูดดมกลิ่นของหญ้าเขียวที่กระทบยังปลายจมูก
จากนั้นเสียงของนางก็ดังมาจากกอหญ้า ราวกับพัดพาความสดชื่นมาจากต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้น “คำว่าความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่ไร้ค่าที่สุดสำหรับข้า… ข้าไม่ต้องการให้ท่านดูแลข้าเพราะความรับผิดชอบ ข้าสามารถดูแลตัวเองได้ หัวใจมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้ ข้าเปลี่ยนไปแล้วท่านเองก็เปลี่ยนได้เช่นกัน”
ในเวลานี้หลินเหราเชื่อจริง ๆ ว่าเหยาซูจะไม่ตำหนิเขาในเรื่องของอดีตอีกต่อไป
หลินเหรารู้สึกโล่งใจมาก แม้แต่ความรู้สึกผิดที่กดทับเขามาตลอดในตอนนี้เหมือนโดนลมภูเขาพัดปลิวไปจนหมดสิ้น
เขาไม่เข้าใจมาตลอดว่าเหตุใดตนเองถึงได้เย็นชาต่อเหยาซูนัก ก่อนหน้านี้เขาคิดไปเองว่าบางทีอาจเป็นเพราะเขาละเลยจึงผลักไสนางไกลจากตนเอง
แต่เหยาซูมองออกถึงปมในใจของเขาจึงพยายามคลายปมนั้น
ชายหนุ่มไม่เข้าใจเรื่องความรัก แต่คล้ายกับกำลังล่าเหยื่อ เขาไล่ตามเหยื่อที่ดึงดูดใจของตัวเองอย่างไม่ลดละโดยที่ไม่รู้ตัว “อาซู ข้าในตอนนี้สามารถอยู่ในใจเจ้าได้หรือไม่?”
คำถามนี้ทำให้เหยาซูรู้สึกสับสนเล็กน้อย
นางเคยแสดงออกด้วยวิธีอ่อนหวานและเชื่อว่าหลินเหราจะเข้าใจ แต่คำถามของหลินเหรานั้นมักจะตรงไปตรงมาและยากที่จะตอบได้
แต่คราวนี้นางไม่อยากถอย นางมองไปยังทิศทางของหลินเหราและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านเป็นคนซื่อสัตย์และจริงใจ ข้าย่อมชอบอยู่แล้ว”
แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่ม เมื่อส่องผ่านใบหน้าอันลึกล้ำของเขาจึงทำให้ใบหน้าอีกด้านมีเงามืดเล็กน้อย
เหยาซูพบว่าในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะนั่งจับเข่าพูดคุยกัน
“แต่ท่านรู้หรือไม่ ยังมีปัญหาระหว่างพวกเราอีกมาก…”
หลินเหราไม่เข้าใจ “ปัญหาอะไรหรือ?”
เหยาซูรู้สึกว่าหากแม้แต่หลินเหราเองก็ยังไม่เข้าใจความคิดของนาง เกรงว่าในยุคนี้คงไม่มีใครเชื่อมช่องว่างระหว่างคนทั้งสองคนได้อีก
โชคดีที่เขายินดีที่จะรับฟัง
ดวงตาของเหยาซูหรี่ลงเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา “หลินเหรา ท่านถามข้าว่าชอบท่านหรือไม่ แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าชอบคืออะไร?”
หลินเหราไม่เข้าใจ
แต่ท่าทางของเหยาซูในตอนนี้คล้ายกับกระต่ายน้อยสีขาวหิมะที่เขาเคยเห็นบนภูเขาตั้งแต่เยาว์วัย มันนุ่มนิ่มและสวยงามมากเมื่อเข้าใกล้
เขาต้องชอบกระต่ายน้อยตัวนั้นแน่ มิฉะนั้นเขาคงไม่นำมันกลับมาบ้านและแอบเลี้ยงมัน
แต่ความชอบของเขาไม่ได้นำความโชคดีมาสู่กระต่ายน้อย แม่เฒ่าหวังค้นพบกระต่ายน้อยอย่างรวดเร็ว และก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่นางทำลายของอันเป็นที่รักของเขานับไม่ถ้วน นางได้พรากกระต่ายน้อยตัวนั้นไปจากเขา และมันก็กลายเป็นน้ำแกงหม้อใหญ่ให้ครอบครัวกิน ซึ่งแทบทำให้เขาอยากจะอาเจียนออกมาบนโต๊ะอาหาร
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยชอบอะไรอีกเลย
หลินเหราก้มหน้าลงมองแก้มขาวเนียนของเหยาซู เขาอยากจะสัมผัสศีรษะนางแต่ก็ยั้งมือไว้ได้
“ข้าสามารถเรียนรู้ได้อย่างช้า ๆ” เขาพูดคำนั้นออกมา
เหยาซูไม่ได้หัวเราะเยาะผู้ชายที่ไม่เข้าใจสิ่งที่ ‘ชอบ’ จึงยิ้มและพยักหน้า “ท่านจะได้เรียนรู้มัน แม้ว่าคนที่สอนท่านจะไม่ใช่ข้าก็ตาม”
หลินเหราไม่ยอม เขามองเข้าไปในดวงตาของเหยาซูอย่างดื้อรั้นแล้วพูดเสียงต่ำว่า “อาซู ข้าอยากให้เจ้าสอนข้า”
เหยาซูใช้มือปิดตาทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ หญิงสาวรู้สึกว่าหลังจากพูดประโยคนี้จบ หัวใจจะไม่ใช่ของตนอีกต่อไป นางจับหน้าอกที่หัวใจแทบจะกระโดดออกมา
“อย่าพูดแบบนั้นกับข้า” นางบิดตัวหันไปทางอื่นเพื่อเลี่ยงการสบตาเขา
หลินเหราหัวเราะเบา ๆ
เสียงหัวเราะของชายหนุ่มดังก้องผืนหญ้าที่ว่างเปล่า ทำให้ยอดหญ้าปลิวไสวไปตามสายลม ทว่ามันกลับประทับลึกลงไปในโสตประสาทของเหยาซู ผ่านไปครู่ใหญ่เสียงนั้นก็ยังคงสะท้อนก้องอยู่ในใจของนาง
ทั้งสองคนไม่มีใครพูดอะไร แสงแดดที่สาดส่องลงมาทำให้ร่างกายของเหยาซูที่นอนอยู่บนพื้นหญ้ารู้สึกอบอุ่น สงบและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“อาซู” หลินเหราโน้มตัวลงเข้าใกล้นาง แขนเกือบจะสัมผัสตัวนาง
“ท่านคิดอะไรอยู่?”
“ข้ากำลังคิดว่า รอให้ซานเป่าโตขึ้นกว่านี้อีกหน่อย…”
เหยาซูหันกายกลับมาและสัมผัสแขนของเขาโดยไม่ระวัง ราวกับว่าตอนนี้นางกำลังพิงเขาอยู่
ดวงตาของนางเบิกกว้างเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ลมหายใจของหลินเหราเริ่มปั่นป่วน เฉกเช่นเดียวกับสมองของเขา
“อาซู..”
เขาเรียกนางเบา ๆ ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองค่อย ๆ ใกล้ชิดกันมากขึ้น…
………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แปลตอนนี้แล้วซึมเลย เหตุที่อาเหราเป็นคนเย็นชาก็เพราะแบบนี้เอง เย็นชาไม่ชอบไม่รักอะไรกับใครเพราะกลัวว่าสักวันจะเผชิญกับความสูญเสียนี่เอง
ไหหม่า(海馬)