ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 89 คิดถึงสองเรา
บทที่ 89 คิดถึงสองเรา
หัวใจของเหยาซูเต้นระรัว นางยื่นมือออกมาสะเปะสะปะ ก่อนจะดันคางของหลินเหราเอาไว้ เพื่อไม่ให้เขาเข้ามาใกล้กว่านี้
หญิงสาวหน้าแดงระเรื่อ “ลุกขึ้นก่อนแล้วค่อยพูดกัน!”
เหยาซูอดหงุดหงิดไม่ได้กับหัวใจที่หวั่นไหวของตนเอง ตอหนวดแข็งของชายหนุ่มที่สัมผัสบริเวณฝ่ามือของนางยังให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง ดึงดูดความสนใจนางได้ไม่น้อย
หลินเหราหัวเราะ ชายหนุ่มถูคางบนฝ่ามือของเหยาซูอย่างรวดเร็วก่อนจะยันตัวลุกขึ้น
เหยาซูกำลังถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มพูดขึ้นว่า “อาซู ข้าอยากสัมผัสเจ้ามาตลอด ทำอย่างไรดี?”
นางรู้ว่าคำว่า ‘สัมผัส’ ที่หลินเหราพูดถึงมีความหมายอย่างไร นางไม่สามารถยับยั้งเลือดลมได้ ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าตอนนี้ใบหน้าของนางกำลังเห่อแดงราวกับจะระเบิดออก
“ท่าน ท่าน…”
นางพูดอะไรไม่ออก อย่างน้อยตอนนี้พวกเขาก็เป็นสามีภรรยากัน ต่อให้ชายหนุ่มอยากทำอะไรก็ล้วนเป็นเหตุเป็นผลและไม่ผิดกฎ
สุดท้ายเหยาซูจึงพูดได้แค่ว่า “อดทนไว้ก่อน!”
หลินเหราพยักหน้าและทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น เขาพยายามรักษาระยะห่างจากเหยาซู พยายามไม่ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ
เขาเอ่ยอย่างจริงจังว่า “หากเจ้าไม่ชอบอะไร ข้าก็จะไม่ทำสิ่งนั้น”
เหยาซูเม้มปากแน่น “หลายวันมานี้ข้าบอกท่านหลายครั้งแล้วเรื่องที่ข้าไม่ชอบ เหตุใดท่านถึงไม่ฟัง?”
หลินเหรารู้ว่าเหยาซูหมายถึงอะไร หลายวันมานี้เขายืนกรานไม่ยอมให้นางทำงานบ้าน จึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ข้าผิดไปแล้ว หากเจ้าต้องการจะทำอะไรในอนาคต เรื่องภายในบ้านจะปล่อยให้เจ้าเป็นคนจัดการ”
เหยาซูเบิกตากว้างพลางมองไปที่ท่าทางหยอกล้อของชายหนุ่มก่อนจะพูดราวกับไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “หลินเหรา ท่านยังคิดจะล้อเล่นอยู่อีกหรือ?”
ไม่ใช่ว่าเขาชอบทำสีหน้าเย็นชาหรอกหรือ? เขาเรียนรู้ที่จะหยอกล้อเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
มุมปากของหลินเหราโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม “พี่รองบอกว่าเจ้าชอบคนที่พูดจาสนุกสนาน”
เหยาซูเผยสีหน้าจนใจ “ข้าชอบคนที่พูดจาสนุกสนานอย่างนั้นหรือ เหตุใดข้าไม่เคยรู้มาก่อน?”
เหยาเฉาเป็นคนสอนหลินเหรา! ไม่ใช่ว่าพวกเขาเคยดื่มด้วยกันเพียงครั้งเดียวไม่ใช่หรืออย่างไร
“อาเหรา ข้าเริ่มเป็นห่วงท่านแล้ว”
หลินเหราคิดในใจว่าเหยาซูอารมณ์ดีขึ้นมาก
นางจะเรียกเขาว่า ‘อาเหรา’ เฉพาะเวลาที่นางผ่อนคลาย
ชายหนุ่มครุ่นคิดและถามว่า “เป็นห่วงเรื่องอันใด?”
เหยาซูเริ่มวิเคราะห์อย่างจริงจัง “ท่านไม่รู้หรอกว่าพี่รองนั้นมีพฤติกรรมที่แท้จริงอย่างไร ข้ากังวลว่าหากท่านไปทำงานที่จวนผู้ตรวจการและอยู่กับเขา นานวันเข้าจะกลายเป็นคนเช่นเดียวกับเขา”
เหยาเฉาเป็นคนที่ไร้เหตุผลที่สุด และเขาก็เป็นคนที่มีความสามารถทำให้ผู้คนเชื่อในตัวเองเสมอ
เขาฟังออกว่าเหยาซูกำลังหยอกล้อจึงส่ายหน้าอย่างขบขัน
สิ่งที่เหยาเฉาสอนมีเพียงวิธีทำให้เหยาซูมีความสุขเท่านั้น หลินเหราแทบอยากจะไปเรียนรู้กับเขาอีกเสียด้วยซ้ำ เพราะปรากฏว่าวิธีของเหยาเฉานั้นได้ผลดียิ่งนัก
ทั้งสองพูดคุยกันอีกสักพัก หลินเหราก็พูดถึงเรื่องที่ทั้งสองคนยังพูดคุยกันไม่จบ
“อาซู เหตุใดถึงบอกว่าหากย้ายไปอยู่ในเมืองเจ้าจะไม่มีความสุข?”
ชายหนุ่มเคยชินกับการถามออกมาตรง ๆ จึงพูดเรื่องที่ค้างคาออกมาโดยไม่อ้อมค้อม เหยาซูจึงเอ่ยว่า“มันไม่ใช่เพราะปัญหาเรื่องที่อยู่…แต่สิ่งที่ข้าต้องการจะพูดก็คือหากในอนาคตมีเรื่องอะไร ข้าหวังว่าพวกเราจะคุยกันก่อน”
หลินเหราเข้าใจดี ทว่าเขาเชื่อว่าไม่ใช่เพียงเหตุผลนี้ที่ทำให้ภรรยาของตนไม่พอใจ
เหยาซูจึงอธิบายต่อ “เหมือนกับที่ท่านฝากให้พี่รองหาบ้านให้ จากนั้นยังหาที่เรียนให้ต้าเป่าและเอ้อเป่า เรื่องเหล่านี้เหตุใดจะต้องเก็บไว้คนเดียวด้วยเล่า”
หลินเหราเห็นว่านางไม่ได้ตั้งใจที่จะตำหนิเขาก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ตอนที่ข้าจัดการเรื่องพวกนี้ ข้าไม่ได้คิดอะไรมากนัก …หากเจ้าต้องการ ในอนาคตข้าจะปรึกษากับเจ้า”
เหยาซูยิ้มพลางส่ายหัว “ท่านยังไม่เข้าใจ”
นางลุกขึ้นนั่งและหันไปสบตากับหลินเหรา
“หากพวกเราสองคนเปลี่ยนตัวกัน วันหนึ่งข้าบอกท่านว่าข้าอยากทำการค้าในเมือง ได้หาบ้านจัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อย ท่านจะยินดีย้ายไปกับข้าหรือไม่?”
หลินเหราขมวดคิ้วและไม่เอ่ยคำใด
“ดูสิท่านเองก็ไม่ยินยอมเหมือนกัน บางทีท่านอาจคิดว่าชายและหญิงไม่เหมือนกัน บุรุษเป็นผู้แบกรับทุกอย่าง เป็นคนปกป้องครอบครัว แต่สตรีหากไม่มีบุรุษอยู่ข้างกาย จะไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองจริง ๆ งั้นหรือ”
ดวงตาคู่งามของเหยาซูจับจ้องไปที่ชายหนุ่ม อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดความหมายอันลึกซึ้งในคำพูดนาง
ผ่านไปครู่ใหญ่ในที่สุดเขาก็เอ่ยว่า “อาซู เจ้าช่างต่างจากคนอื่น”
คราวนี้เหยาซูไม่ได้ปฏิเสธและส่งยิ้มให้กับเขาแทน
หนึ่งปีที่จากบ้านไป เหยาซูคลอดซานเป่าและพาลูกทั้งสามคนกลับมาอยู่บ้านตัวเอง ไม่เพียงแต่ดูแลลูกทั้งสามเป็นอย่างดี ทว่ายังทำการค้าในเมืองเพื่อเลี้ยงดูพวกเขาอีกด้วย
หลินเหราเชื่อว่าหากไม่มีเขา เหยาซูก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้
ชีวิตของเหยาซูทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวนางเอง มันค่อย ๆ พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น และเขามั่นใจว่าเขาเองก็ไม่ได้ชื่นชอบสตรีที่เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังผู้อื่น อีกทั้งไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง
หลินเหรามองเหยาซูด้วยสายตาอันลึกซึ้ง “อาซู ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว”
หากชีวิตเปรียบเหมือนกับสนามรบ เหยาซูก็คงเป็นคนที่เขามุ่งมั่นที่จะปกป้องและสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วย
ในใจของเขามีคำพูดนับร้อยพัน แต่กลับไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้แม้แต่คำเดียว
เวลานี้เขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก
สองสามีภรรยานั่งเงียบ ๆ ภายใต้แสงแดดยามบ่าย เพลิดเพลินไปกับการพักผ่อนที่หาได้ยาก ไม่นานหญิงสาวก็เริ่มรู้สึกง่วงนอน ดวงตาของนางหรี่ลงอย่างช้า ๆ
นางขยี้ตาตัวเอง “ข้าเริ่มง่วงแล้ว…พวกเรากลับกันดีไหม?”
หลินเหราจึงกล่าว “บนพื้นหญ้าอุ่นไม่น้อย เจ้านอนที่นี่ครู่นึงเถิด”
น้ำเสียงของนางสะลึมสะลือ “เด็กทั้งสามคนยังอยู่ที่บ้าน”
หลินเหราเอียงตัวเล็กน้อยเพื่อบังแสงแดดที่แยงตาให้หญิงสาว พลางพูดเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร นอนสักพักเถิดเดี๋ยวข้าจะเรียกเจ้าเอง”
นางพยักหน้าก่อนจะผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
บางทีอาจเป็นเพราะว่ามีชายหนุ่มคอยปกป้องอยู่ข้าง ๆ ความระแวดระวังตัวของนางจึงลดลงและนอนหลับได้อย่างสบายใจ
หลินเหรารู้ว่าภรรยาของเขาชอบนอนในสภาพแวดล้อมที่มืดสนิท ต่อให้หญิงสาวงีบหลับนางก็จะปิดประตูและหน้าต่างจนสนิท ไม่มีแสงเล็ดลอดเข้ามาได้
เมื่อนางหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ เขาจึงค่อย ๆ วางมือลงบนเปลือกตาของนางแผ่วเบา
เมื่อเป็นเช่นนี้คงไม่มีแสงแล้วกระมัง
….
หลินเหรากำลังคำนวณเวลาในใจ เขากำลังจะเรียกให้เหยาซูตื่นขึ้น แต่เขากลับรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวจากฝ่ามือที่ปกป้องแสงแดดให้กับเหยาซู เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้น ก็พบว่านางค่อย ๆ กะพริบตาและลืมตาขึ้น “ตื่นแล้วหรือ?”
สภาพแวดล้อมที่มืดมิดและอบอุ่นทำให้นางรู้สึกปลอดภัย เหยาซูนอนหลับสบายจนไม่อยากขยับเขยื้อนตัวไปไหน
แต่เมื่อคิดว่าเด็ก ๆ อยู่ที่บ้านเพียงลำพัง นางจึงบังคับตนเองให้ตื่นขึ้นมา ก่อนถามหลินเหราว่า “ข้านอนไปนานแค่ไหน?”
หลินเหราเห็นนางลุกขึ้นนั่งจึงหยิบเศษหญ้าที่ติดอยู่บนผมออกให้หญิงสาว แล้วพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ถึงหนึ่งเค่อ”
เหยาซูนับถือการบอกเวลาของคนยุคเก่ามาโดยตลอด นางเคยชินกับนาฬิกาและโทรศัพท์ นางจึงไม่สามารถบอกเวลาได้แม่นยำเหมือนหลินเหรา
นางบิดขี้เกียจเล็กน้อย “อือ…กลับกันเถอะ”
ทั้งสองคนลุกขึ้นและมุ่งหน้าเดินกลับบ้าน
หลังจากที่เหยาซูได้พักผ่อนนางก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก หญิงสาวยิ้มและพูดกับหลินเหราว่า “แสงแดดในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิย่อมดีที่สุด อบอุ่นและไม่ร้อนมาก น่าเสียดายที่ในอนาคตจะต้องย้ายไปอยู่ในเมือง ไม่สามารถนอนเล่นใต้แสงอันอบอุ่นเช่นนี้ได้อีกแล้ว”
หลินเหราตอบนางว่า “ข้าจะตั้งเตียงในลานบ้านเพื่อให้เจ้ากับลูก ๆ ได้งีบหลับภายใต้แสงอาทิตย์”
ดวงตาของเหยาซูเป็นประกาย “เป็นความคิดที่ดียิ่ง”
นางจำได้ว่าตอนที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ช่วงบ่ายของฤดูหนาวตนมักงีบหลับในห้องของป้าคณบดี ห้องของนางไม่ใหญ่มากแสงแดดส่องลงมาจากหน้าต่างไปยังเตียง คุณป้าคณบดีมักจะใช้มือปิดตาของเหยาซู เบา ๆ แล้วเล่านิทานให้นางฟังอย่างอ่อนโยน
แล้วเหยาซูก็จะผล็อยหลับไป
แต่หลายปีให้หลังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงไม่มีโอกาสได้งีบหลับใต้แสงดวงอาทิตย์อีก
หลินเหราชอบเห็นดวงตาของเหยาซูเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขารู้ว่านางนั้นชื่นชอบความคิดนี้ เขาจึงพูดกับนางด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากเจ้าชอบอะไร เจ้าสามารถจัดการได้เลย”
เหยาซูเริ่มคิดอย่างจริงจังและพูดกับหลินเหราว่า “ก่อนหน้านี้ข้าคิดจะทำเปลญวนในลานบ้าน แต่น่าเสียดายที่พื้นที่ไม่เพียงพอ”
ทันใดนั้นนางก็นึกได้ว่า หลินเหราไม่รู้จักว่าเปลญวนคืออะไรนางจึงอธิบายว่า “การใช้เชือกป่านเส้นหนามาสานให้เกิดรูปร่างคล้ายแห จากนั้นก็ผูกปลายทั้งสองไว้กับต้นไม้ คนที่นอนในเปลญวนก็เหมือนนอนอยู่บนเตียง”
หลินเหราพยักหน้า “พรุ่งนี้ข้าจะไปดูบ้านที่พี่รองหาให้ในเมือง หากไม่มีต้นไม้ในลานก็คงต้องหาหลังอื่น”
เหยาซูค้นพบว่าไม่ว่านางจะพูดเรื่องอะไร ชายหนุ่มมักจะจริงจังกับทุกคำพูดของนางและจดจำไว้ในใจ
นางรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเขาจึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “ช่างเถอะ ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น ข้ายังอยากปลูกองุ่นในลานบ้าน ข้าได้ยินมาว่าคืนวันที่เจ็ด เดือนเจ็ดจะได้ยินเสียงหญิงทอผ้ากับชายเลี้ยงวัวคุยกัน! เป็นไปได้ไหมที่เราจะปลูกองุ่นไว้จริง ๆ?”
หลินเหรายกริมฝีปากพลางพูดว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
หลินเหราแอบพูดกับเหยาซูในใจว่า ขอเพียงเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการต่อให้เป็นดวงดาวและดวงจันทร์ข้าก็จะคิดหาวิธีนำมาให้
เหยาซูยิ้มพลางก้มตัวพูดกับเขาว่า “ปลูกองุ่นได้อย่างนั้นหรือ งั้นข้าจะปลูกหัวไชเท้า ผักกาดเขียวในลานบ้าน รวมถึงดอกไม้นานาชนิด แล้วจะให้ท่านดูแลมันทั้งหมดในวันข้างหน้า…”
หลินเหรายังคงอารมณ์ดีเขาจึงตอบตกลงในสิ่งที่นางพูด เหยาซูดึงแขนเสื้อของหลินเหราไว้ด้วยรอยยิ้มพลางเอ่ยแผ่วเบา “ข้าจะเป็นคนสั่งการและท่านก็ต้องทำให้สำเร็จ”
ใบหน้าของชายหนุ่มพลันอ่อนโยนลง ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายใต้แสงอาทิตย์ ราวกับว่าในที่สุดก็หลอมรวมเข้ากับโลกใบนี้ ไม่หลงเหลือความเย็นชาและเฉยเมยอีกต่อไป
เขาพยักหน้าและจับมือขวาของเหยาซู “เจ้าวางใจได้”
หลายวันมานี้เหยาซูชื่นชมหลินเหรามาก แต่ด้วยเหตุผลหลายประการนางจึงพยายามห้ามความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ หญิงสาวมีเหตุผลมากมายที่จะปฏิเสธที่จะใกล้ชิดกับชายผู้นี้ อนาคตในหนังสือต้นฉบับจะมีอุปสรรคระหว่างคนทั้งสองคน อีกทั้งความแตกต่างของยุคสมัย…
แต่การที่นางได้ใกล้ชิดเขานั่นเป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วในเวลานี้ นางยืนยันได้ว่านางประทับใจในตัวชายคนนี้
ชายหนุ่มจูงมือนางเดินไปด้วยกัน ในขณะที่หัวใจของเหยาซูเหมือนมีดอกไม้ไฟนับไม่ถ้วน ทว่าสิ่งที่นางคิดไว้กลับเหมือนข้ออ้างที่ทำให้นางไม่กล้ายอมรับว่าชอบใครสักคนและปฏิเสธที่จะเข้าใกล้เขา
ในหนังสือต้นฉบับ หลินเหราได้แต่งงานกับผู้หญิงอื่น แล้วอย่างไรล่ะ? ถึงแม้เนื้อเรื่องจะมีผลอยู่มาก ทว่าในขณะนี้ผู้ชายคนนั้นกำลังจูงมือนางและยิ้มให้กับนางเพียงคนเดียว เขาจะหันไปตกหลุมรักคนอื่นได้อย่างไร? หลินเหราเป็นคนเด็ดเดี่ยว เหยาซูเชื่อว่าเขามีความคิดของตัวเอง
จริงอยู่ที่ตระกูลหลินนั้นเป็นปัญหา ทว่าตราบใดที่เขาแข็งแกร่งขึ้นไม่ว่าแม่เฒ่าหวังหรือว่าหลินหงก็จะไม่สามารถรังแกพวกเขาได้
หากพูดถึงความแตกต่างของยุคสมัยก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเอาชนะได้ ขอเพียงพวกเขายืนกรานที่จะหันหน้าเข้าหากัน เข้าใจกัน เคารพซึ่งกันและกัน ย่อมไม่มีสิ่งใดสามารถแยกคนทั้งสองได้
เหยาซูเริ่มหักล้างข้ออ้างในอดีตในหัวของนางทีละข้อ และในที่สุดก็ได้คำตอบชัดเจน ในใจของนางนั้นเต็มไปด้วยความปีติยินดี แม้แต่ฝีเท้าที่เดินของนางก็ยังเบาราวล่องลอย
อืม งั้นรออีกหน่อย หากสามารถเปลี่ยนเรื่องในต้นฉบับนิยายได้ นางเชื่อว่าหลินเหรากับนางนั้นจะมีอนาคตร่วมกัน…
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มปลุกนางจากโลกจินตนาการ “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ดูเหมือนกำลังมีความสุขนัก?”
เหยาซูเชิดหน้าขึ้นแล้วพูดกับหลินเหราด้วยรอยยิ้มว่า “คิดถึงเรื่องของพวกเราอยู่น่ะสิ”
ใบหน้าของหลินเหราไม่ได้แสดงอะไรออกมาแต่หัวใจของเขากลับอ่อนยวบ ในขณะที่มือของเขากอบกุมมือของเหยาซูไว้อีกครั้ง นางไม่ชักมือกลับอีกทั้งปล่อยให้เขาจูงนางเดินกลับบ้านไปตลอดทาง
……………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ขอให้เปลี่ยนเนื้อเรื่องในนิยายได้นะคะ เส้นเรื่องน่าจะเปลี่ยนไปเยอะแล้วล่ะค่ะตั้งแต่ทะลุมิติเข้ามา
ไหหม่า(海馬)