ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 92 บทเรียนจากการปราบปราม
บทที่ 92 บทเรียนจากการปราบปราม
หลินเหราเงียบลงพลางคิดในใจว่า ‘ต่อไปเขาต้องหวีผมให้อาซืออีกอย่างนั้นหรือ?’
ไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร อาซือก็ประท้วงขึ้น “ข้าอยากให้ท่านแม่หวีผมให้ข้า! ไม่เอาท่านพ่อ…”
นิ้วมือของเหยาซูขยับขึ้นลงไปมา หลังจากพันด้วยที่ผ้ารัดผมแล้ว ก็มัดออกมาอย่างสวยงามสมบูรณ์ในพริบตาเดียว นางยิ้มพร้อมจูบลงบนแก้มของอาซือ “เอ้อเป่าของเราทั้งสวยทั้งน่ารัก เหมือนนางฟ้าตัวน้อย แม้จะปล่อยผมก็ยังน่ารัก”
อาซือยิ้มมีความสุขทันที จากนั้นก็นั่งปั้นหน้าสวยอยู่บนเตียงโดยไม่กล่าวสิ่งใด
หลินเหราชื่นชมทักษะการหวีผมของเหยาซูและรู้สึกว่าถ้อยคำ ‘นางฟ้าตัวน้อย’ นี้ถูกใช้ได้อย่างเหมาะสม จึงอดชื่นชมวิธีการปลอบใจเด็กน้อยของภรรยาไม่ได้
เหยาซูยังไม่ละความพยายามที่จะสอนหลินเหราหวีผมให้ลูกสาว นางกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “เกล้ามวยทรงกลมง่ายที่สุดแล้ว แค่จำไว้ว่าต้องแบ่งผมให้เท่ากันและสูงเท่ากันทั้งสองข้างก็พอ”
หลินเหราพยักหน้าพลางครุ่นคิดบางอย่าง
นางยกมือขึ้นมาอย่างลังเลครู่หนึ่งจากนั้นก็กล่าวหยั่งเชิงว่า “ไม่สู้ท่านลองทำข้างซ้ายดูล่ะ?”
ซานเป่ากินข้าวต้มหนึ่งถ้วยหมดแล้ว หลินเหราจึงอุ้มเขาวางลงบนเตียง จากนั้นอาจื้อก็หยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดสะอ้านผืนหนึ่งมาเช็ดปากให้น้องชาย
อาจเพราะเห็นถึงความลังเลของเขา ลูกชายจึงกล่าวให้กำลังใจผู้เป็นบิดา “ท่านพ่อ ท่านต้องทำได้แน่ขอรับ!”
หลินเหราพยักหน้าอย่างลังเล ชายหนุ่มก้าวขึ้นไปด้านหน้าบิดข้อมือเล็กน้อย ทำท่าทางเหมือนกับตอนที่จับดาบเข้าสู่สนามรบอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเหยาซูเห็นท่าทางจริงจังของเขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “หวีตามข้าเช่นนี้ก็ได้แล้ว ง่ายจะตายไป”
มือหลินเหราจับทั้งดาบ กระบี่ และโล่ตลอดทั้งปี ทว่าตอนนี้ต้องมาถือหวีไม้ จับผมยาวนุ่มสลวยของบุตรสาวอีกครั้ง
เขานึกถึงวิธีการของเหยาซูเมื่อครู่ หลังจากวุ่นทำอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เกล้าออกมาเป็นมวยผมที่งดงามมากมวยหนึ่งได้สำเร็จ
“ท่านทำได้ดีมาก” ดวงตาของเหยาซูเปล่งประกาย “ต่อไปก็มัดผ้ารัดผม…”
หลินเหราหยิบผ้ารัดผมสีเหลืองขนห่านมาพันบนมืออยู่นานสองนาน ไม่รู้ว่าจะลงมืออย่างไร แค่ทำเหมือนกับที่เหยาซูทำก่อนหน้า พันอยู่อย่างนั้นสองสามรอบ จากนั้นก็มัดเป็นปมเล็ก ๆ
เมื่อเห็นชายหนุ่มหยุดลงเหยาซูจึงยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้ามัดเป็นผีเสื้อเอง”
นิ้วมือของนางสัมผัสกับหลังมือของหลินเหราโดยไม่ได้ตั้งใจ ราวกับใบไม้ที่หลุดร่วงลอยละลิ่วลงมาบนไหล่ สัมผัสหัวใจของหลินเหราอย่างอ่อนโยน
“ดูสิ ง่ายจะตายไป”
ในขณะที่เหยาซูกล่าว นิ้วมือเรียวเล็กทั้งสองข้างได้เกี่ยวปลายสายทั้งสองด้านไว้ บิดเล็กน้อยก่อนจะมัดออกมาเป็นผีเสื้ออย่างสวยงาม
หลินเหราเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ครั้งนี้เหยาซูตั้งใจเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า เขาดูแค่รอบเดียวก็สามารถทำเป็นแล้ว
เหยาซูยิ้มพร้อมกับลูบลงบนมวยผมเล็ก ๆ ทั้งสองข้างบนศีรษะของอาซือ และกล่าวอย่างมีความสุขว่า “เสร็จเรียบร้อย!”
เด็กหญิงเบิกบานใจพลาง รีบกล่าวว่า “ข้าอยากส่องกระจกเจ้าค่ะ!”
ครั้งนี้หลินเหราอุ้มอาซือพานางไปตรงหน้ากระจกด้วยตนเอง จากนั้นก็เอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “ครั้งนี้ไม่น่าเกลียดแล้วใช่หรือไม่? เจ้านายน้อย?”
อาซือหัวเราะ ‘ฮ่า ๆ’ ปากเล็ก ๆ และรอยยิ้มหวานช่างเหมือนกันยิ่งนัก “ท่านแม่เก่งที่สุดเลย! ท่านพ่อก็เก่ง! ผูกเป็นผีเสื้อเหมือนกับผีเสื้อจริง ๆ เลย”
เมื่อเห็นลูกสาวมีความสุข หลินเหราก็ถอนหายใจยาว ๆ อย่างสบายใจ
เขาวางอาซือกลับลงไปบนเตียงจากนั้นก็ใช้เสียงแผ่วเบาเอ่ยกับเหยาซู “เด็กทั้งสามต่างก็เป็นเจ้านายน้อย อาซู เจ้าตามใจพวกเขาเกินไปแล้ว”
เหยาซูชำเลืองตามองไปทางผู้ที่เป็นสามี “ท่านอยากเป็นพ่อที่เข้มงวดข้าก็ไม่คัดค้านนะ แค่อย่าถ่วงรั้งข้าผู้เป็นแม่ก็พอ”
นางคิดว่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน ความรักและความสำคัญที่แสดงออกต่อเด็ก ๆ ล้วนมีประโยชน์ต่อการเติบโตของพวกเขา
หลินเหรากลับขมวดคิ้วเล็กน้อย ยืนหยัดต่อว่า “อาซือยังดีหน่อย แต่อาจื้อเป็นพี่ชายคนโต ไม่ว่าอย่างไรก็ตามใจเขาตั้งแต่เด็กไม่ได้”
เหยาซูรู้ดีว่าในสมัยโบราณ มีพ่อแม่ที่โปรดปรานลูกเช่นนี้น้อยมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวชาวไร่ชาวนา เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ล้วนเติบโตมาด้วยความอดทน
ทว่านางจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกภายใต้เงื่อนไขที่จำกัด
“ต้าเป่าถูกตามใจตั้งแต่เด็กที่ไหนกัน? เขารู้ความและเฉลียวฉลาด ไม่เหมือนพี่ชายตรงไหนไม่ทราบ?”
อาจื้อที่กำลังเล่นเป็นเพื่อนซานเป่า เดี๋ยวก็ทำหน้าทะเล้น เดี๋ยวก็จี้ฝ่ามือของเด็กน้อย ทำให้ซานเป่าอดหัวเราะ ‘ฮ่า ฮ่า’ ไม่ได้
หลินเหราพูดไม่เก่ง ไม่รู้ว่าจะแสดงออกในช่วงที่มีความคิดเห็นแตกต่างกับเหยาซูอย่างไร ทำได้เพียงหยุดความคิดที่จะโต้เถียงกับนาง “ช่างเถอะ”
เขาส่ายหน้า เดิมทีไม่อยากโต้เถียงอยู่แล้ว ทว่าเหยาซูกลับขมวดคิ้ว
แต่นางไม่อยากเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าเด็ก ๆ จนสร้างผลกระทบต่อจิตใจของพวกเขา ทำได้เพียงวางเรื่องนี้ลงชั่วคราว แล้วเอ่ยเรื่องอื่นแทน
“พรุ่งนี้เราต้องไปดูบ้านในเมืองด้วยกันนี่?”
หลินเหรานิ่งอึ้ง สัมผัสได้ถึงท่าทีอ่อนลงของนาง ชายหนุ่มจึงพยักหน้าและเอ่ยถาม “เรื่องจะไปอยู่ในเมือง จะบอกพ่อตาแม่ยายเมื่อใด?”
เหยาซูหยิบถ้วยข้าวที่ซานเป่ากินเสร็จแล้วบนเตียงขึ้นมาพลางกล่าวว่า “พรุ่งนี้หลังจากเราดูบ้านเสร็จก็ค่อยบอกพวกเขาแล้วกัน”
……
วันต่อมา หลินเหราเตรียมเกวียนไว้ตั้งแต่เช้าตรู่
เหยาซูพาเด็ก ๆ ทั้งสามไปส่งที่ตระกูลเหยาก่อน จากนั้นก็ค่อยกลับมาสมทบกับเขา
เมื่อชายหนุ่มเห็นเสื้อผ้าบางเบาที่หญิงสาวสวมใส่จึงขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “อาซู ตอนเช้าหนาวนัก เจ้าสวมเสื้ออีกสักตัวเถอะ”
ต้องใส่เสื้อนวมที่ทั้งหนาทั้งหนักตลอดฤดูหนาว กว่าอากาศจะกลับมาอบอุ่นไม่ใช่เรื่องง่าย เหยาซูอยากเปลี่ยนเป็นชุดฤดูใบไม้ผลิแทบขาดใจ
ได้ยินหลินเหรากล่าวเช่นนี้ นางจึงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ถึงในเมืองก็ไม่หนาวเท่าไรหรอก”
เมื่อเห็นนางยืนกรานเช่นนี้ หลินเหราจึงได้แต่พยักหน้า
ระหว่างนั้นก็เป็นอย่างที่เหยาซูพูดไว้จริง ๆ ไม่มีลมหนาวสักนิด ตรงกันข้ามอุณหภูมิในอากาศก็ค่อย ๆ ไต่สูงขึ้นตามความสูงของดวงอาทิตย์
ต้นหลิวทั้งสองฝั่งเริ่มแตกตาอ่อน สาดสีสันให้ฤดูใบไม้ผลิอย่างมากทีเดียว
เหยาซูนั่งอยู่บนเกวียน มองดูก้อนเมฆที่ไม่เคลื่อนไหวริมขอบฟ้า ในสมองของนางว่างเปล่า สัมผัสได้ถึงความเย็นสบายเมื่อใบหน้าต้องสายลมที่พัดผ่าน
ทั้งสองคนนั่งเงียบไปตลอดทาง ยังเป็นเหยาซูที่เริ่มเปิดประเด็นก่อน “หลินเหรา ท่านไปทำอะไรในจวนตรวจการ?”
ฝ่ายชายบังคับเกวียนอย่างมั่นคง เขาไม่ได้หันกลับมามอง ทว่าเสียงนั้นกลับดังเข้ามาในโสตประสาทของเหยาซูที่นั่งอยู่ด้านหลังโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น “ได้ยินว่าบนภูเขาเฮยหู่และภูเขาไป๋หู่ช่วงนี้ไม่ค่อยสงบนัก ทั้งยังมีโจรภูเขาปรากฏตัว บางทีอาจจะต้องกวาดล้างโจรภูเขาในช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลิ”
เหยาซูขมวดคิ้ว “ข้าเคยได้ยินเถ้าแก่เนี้ยเซวียเอ่ยถึงอยู่ ถนนใหญ่ทางทิศตะวันออกของเมืองชิงถง มักจะมีพ่อค้าเร่โดนจี้ปล้น…”
หลินเหราพยักหน้า “ไม่เพียงแต่พ่อค้าที่ถูกปล้น ชาวไร่ก็ยังโดนบุกรุกอยู่บ่อยครั้ง”
เหยาซูลังเลเล็กน้อยพลางเอ่ยถามว่า “ไม่ใช่แค่ช่วงปีแล้งถึงจะมีโจรปรากฏขึ้นหรอกหรือ? โดยทั่วไปล้วนเป็นโจรที่ยากจนจริง ๆ จึงต้องขึ้นไปบนภูเขา…”
หลินเหราหันกลับไปมองเหยาซูด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป “เจ้าไปได้ยินใครพูดเช่นนี้มาหรือ? ช่วงปีแล้งมีชาวนาที่ยากจนไปแย่งอาหารขโมยเงินไม่น้อย แต่บนเขาเฮยหู่และเขาไป๋หู่ล้วนเต็มไปด้วยโจรที่ชั่วช้าสามานย์ แตกต่างจากชาวนาเหล่านี้นัก”
เหยาซูจึงเล่าเรื่องที่ได้ยินมาจากมารดาก่อนหน้านั้น “ท่านแม่บอกว่า ที่พี่รองไปถึงจวนตรวจการได้ เป็นเพราะได้รับคุณงามความดีจากการปราบปรามกลุ่มโจร”
หลินเหราพยักหน้า “นี่นับว่าไม่เลว ว่ากันว่าตอนนั้นพี่รองชิงไหวชิงพริบกับโจรทั้งสองภูเขา จนถึงตอนนี้ทหารในจวนตรวจการยังให้ความเคารพต่อพี่ชายของเจ้าอยู่เลย”
นางไม่เข้าใจ “เพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงปีเอง เหตุใดมีโจรโผล่ออกมาอีกแล้วเล่า?”
หลินเหราเพิ่งจะเข้าใจความเป็นอยู่ของโจรกลุ่มนี้ได้ไม่นาน จึงอธิบายให้เหยาซูฟังว่า “โจรมากมายในอดีตเคยก่ออาชญากรรมในเมืองชิงถง เพื่อหลบเลี่ยงหายนะจากคุกตาราง จึงขึ้นไปเป็นโจรบนภูเขา ต่อมาจวนตรวจการได้ส่งคนไปปราบปรามมาแล้วครั้งหนึ่ง และมั่นใจมากว่ากวาดเรียบไม่มีเหลือ แต่มีเพียงบนภูเขาเฮยหู่และเขาไป๋หู่ที่มีกลุ่มโจรครอบครองอย่างต่อเนื่อง”
เหยาซูขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “พูดเช่นนี้ แสดงว่าคนที่โดนพิพากษาคือโจรภูเขางั้นหรือ?”
หลินเหราส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นอีก ครั้งนี้พวกโจรยึดภูเขาทั้งสองลูก ตั้งแต่ทิศเหนือลงมา”
“ทิศเหนือลงมา?”
หลินเหราเห็นนางไม่เข้าใจความหมายของตนเองจึงกล่าวเสริมอีกว่า “โจรภูเขาก็ต้องดำรงชีวิต ทั่วสารทิศของเมืองชิงถง มีพ่อค้าที่มั่งคั่งร่ำรวยอาศัยอยู่ไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นภูเขาเฮยหู่กับเขาไป๋หู่มีการรักษาการณ์แน่นหนา ทำให้โจมตีได้ยาก ตราบใดที่พวกมันป้องกันได้อย่างเหมาะสม ทหารก็หมดปัญญาโจมตีรังโจรบนภูเขาได้ ปล่อยให้พื้นที่ที่ดีเช่นนี้ว่างเปล่า หากเจ้าเป็นโจรภูเขาที่อื่นจะไม่ตื่นเต้นงั้นหรือ?”
เหยาซูเข้าใจในทันที นางมีความเป็นกังวล “จากที่ท่านเล่ามา โจรกลุ่มนี้ใช้วิธีการนี้มานานแล้ว มีประสบการณ์โชกโชน ทั้งยังมีบทเรียนจากโจรภูเขาที่ถูกปราบปรามกลุ่มก่อนหน้า…ไม่ใช่ว่าจะทำให้ปราบปรามได้ยากกว่าเดิมหรอกหรือ?”
……………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ขอแสดงความยินดีกับท่านพ่อด้วยค่ะที่มัดผมให้อาซือได้แล้ว
โจรภูเขานี่มีความสัมพันธ์อะไรกับคนในจวนผู้ตรวจการหรือเปล่านะ?
ไหหม่า(海馬)