ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - ตอนที่ 381 ยืมเงิน
ตอนที่ 381 ยืมเงิน
จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าตนเองไม่จำเป็นต้องแนะนำท่านหมอเมิ่งให้รุ่ยเซียงรู้จัก
นางไม่ได้เลือกปฏิบัติกับรุ่ยเซียงเพราะอีกฝ่ายเคยเป็นนางโลมมาก่อน แต่จากการกระทำในปัจจุบันของรุ่ยเซียง นางจึงรู้สึกว่ารุ่ยเซียงไม่ใช่คนดีนัก
ในสถานการณ์เช่นนี้ นางจะแนะนํารุ่ยเซียงให้ท่านหมอเมิ่งได้อย่างไร?
ต้องการให้นางหลอกลวงสหายของตัวเองหรือ?
รุ่ยเซียงได้ยินก็หัวเราะขึ้นมาทันที “ข้าล้อเจ้าเล่นน่ะ ดูเจ้าประหม่าสิ เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่แย่งท่านหมอเมิ่งกับเจ้าหรอก”
จางซิ่วเอ๋อขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “พวกเราอย่าพูดถึงท่านหมอเมิ่งเลยได้หรือไม่?”
ไม่ว่าสิ่งที่รุ่ยเซียงพูดจะล้อเล่นหรือหยั่งเชิง นางไม่อยากพูดอะไรกับรุ่ยเซียงในเรื่องของท่านหมอเมิ่งทั้งนั้น
“ซิ่วเอ๋อ เอาล่ะ ๆ พวกเราไม่พูดถึงท่านหมอเมิ่ง มาคุยกันเรื่องอื่นกันดีกว่า” รุ่ยเซียงพูดขึ้นทันใด
จางซิ่วเอ๋อมองรุ่ยเซียงอย่างสงสัย ในเวลานี้นางกำลังถูกรุ่ยเซียงลากไป หากจากไปในตอนนี้คงไม่ดีนัก ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงอดทนไว้
รุ่ยเซียงพูดอย่างเขินอายเล็กน้อย “คืออย่างนี้ ซิ่วเอ๋อ ช่วงนี้ข้าค่อนข้างตึงมือ เจ้าดูว่าเจ้าพอจะช่วยให้ข้ายืมเงินสักหน่อยได้หรือไม่?”
จางซิ่วเอ๋อได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้น “นี่…”
“ไม่มาก แค่ 2 ตําลึงเท่านั้น” รุ่ยเซียงกล่าวต่อ “เจ้าซื้อลาได้แล้ว ยังค้าขายในเมืองอีก ดังนั้นเงิน 2 ตำลึงนี้คงไม่แย่มากใช่หรือไม่?”
เมื่อจางซิ่วเอ๋อได้ยินดังนั้น สีหน้าของนางก็เย็นชาเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “กิจการของข้าเป็นเพียงกิจการเล็ก ๆ ข้าเกรงว่าจะไม่สามารถให้เจ้ายืมเงินได้”
นางมีเงิน 2 ตําลึงอยู่ แต่… เหตุใดนางถึงต้องให้รุ่ยเซียงยืมด้วย?
เมื่อรุ่ยเซียงพูดถึงเรื่องนี้ นางก็ยังคงลังเลเล็กน้อย
แต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่รุ่ยเซียงกล่าวในภายหลัง จางซิ่วเอ๋อยิ่งไม่ยากให้ยืมเงิน
นางมีเงินให้ยืมหรือ?
เงินของนางไม่ได้ปลิวมาตามลมเสียหน่อย!
ตอนนี้นางและน้องสาวยังอาศัยอยู่ในบ้านผีสิง ยังไม่มีที่อยู่เป็นของตัวเองเลย เงินที่เก็บสะสมไว้ยังไม่เพียงพอ!
เมื่อรุ่ยเซียงเห็นจางซิ่วเอ๋อปฏิเสธตนก็เบิกตากว้างแล้วพูดขึ้น “ซิ่วเอ๋อ เจ้าจะไม่มีเงินได้อย่างไร? เงินที่เจ้าขายเนื้อตุ๋นทุกวันมีไม่น้อย! แล้วเงินที่ผู้ชายให้เจ้ามาล่ะ?”
เมื่อจางซิ่วเอ๋อได้ยินเช่นนั้นก็พลันโมโห จึงมองไปยังรุ่ยเซียงแล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “รุ่ยเซียง ข้าไม่ได้มีเงินมากนัก และไม่มีใครให้เงินข้า นอกจากนี้ข้ายังเห็นว่าการแต่งกายของเจ้าไม่ได้ดูขาดเงิน และคงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากข้า”
จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าการที่รุ่ยเซียงมายืมเงินนั้นดูไม่เหมือนกับจะนำไปทําเรื่องดี ๆ อีกฝ่ายไม่ได้บอกว่าจะเอาเงินไปทำอะไร และขอยืมเงินตรง ๆ โดยไม่พูดอะไรเลย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจจริง ๆ
“ข้าต้องรีบไปทําอาหาร ขอตัวก่อน” จางซิ่วเอ๋อพูดโดยไม่รอให้รุ่ยเซียงพูดอะไรอีก ตอนนี้นางไม่สนใจแล้วว่าจะเป็นการไม่ไว้หน้ารุ่ยเซียงหรือไม่ และรีบเดินจากไปทันที
รุ่ยเซียงกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร?
คนรวยในโลกนี้ต้องให้ผู้อื่นยืมเงินหรือ?
เช่นนั้นโลกจะไม่โกลาหลหรอกหรือ?
ทุกคนล้วนมีชีวิตอยู่ด้วยความสามารถของตนเอง นางไม่ได้ขโมยหรือปล้นเงินมา แต่ได้มาด้วยความซื่อตรง นางไม่อยากใช้เงินกับคนนอกก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
บอกว่ายืม…
แต่จางซิ่วเอ๋อไม่คิดว่ารุ่ยเซียงจะสามารถคืนเงินได้
นอกจากนี้ การเอ่ยปากว่าเงินเพียง 2 ตำลึงเป็นจำนวนเล็กน้อย ทำให้จางซิ่วเอ๋อยอมรับไม่ได้
นางต้องเข้าไปในเมืองถึงกี่ครั้งกว่าจะหาเงินได้ 2 ตำลึง?
การขายเนื้อพะโล้ในเมืองนั้นยากลำบากเพียงใด? รุ่ยเซียงรู้หรือไม่?
จางซิ่วเอ๋อไม่ชอบความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติในน้ำเสียงของรุ่ยเซียง
จางซิ่วเอ๋อจากไปแล้ว รุ่ยเซียงจึงถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง
รุ่ยเซียงกระทืบเท้าอย่างอดไม่ได้ มองตามแผ่นหลังของจางซิ่วเอ๋ออย่างเคียดแค้น และสบถเสียงต่ำ “ตัวเองทําเรื่องพวกนั้นแล้วยังเสแสร้งว่าเป็นคนบริสุทธิ์อีก!”
“ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าเจ้าเป็นสหาย แต่กลับไม่ให้ข้ายืมเงิน!” รุ่ยเซียงยังคงสบถต่อไป
“เจ้าไร้ความปราณีเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องถูกลงโทษ!” รุ่ยเซียงถึงกับสาปแช่งจางซิ่วเอ๋อ
หากจางซิ่วเอ๋อรู้ว่าเมื่อตนจากไปแล้ว รุ่ยเซียงพูดเช่นนี้ นางคงอดตอกกลับประโยคก่อนหน้าไม่ได้
ถึงคนสองคนจะเป็นมิตรแท้ แต่มีเหตุผลอะไรที่จะมายืมเงินเช่นนี้?
หากรุ่ยเซียงมีปัญหาจริง ๆ เและจริงใจกับจางซิ่วเอ๋อจริง ๆ ไม่จําเป็นต้องให้รุ่ยเซียงพูด จางซิ่วเอ๋อก็จะช่วยเอง
แต่ถ้ามีคนต้องการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างมิตรเพื่อบังคับยืมเงิน เหตุใดนางถึงต้องให้ยืมด้วย?
การให้ยืมคือไมตรีจิตความรักใคร่ต่อกัน การไม่ให้ยืมก็สมเหตุสมผลเช่นกัน
รุ่ยเซียงไม่จําเป็นต้องตําหนิจางซิ่วเอ๋อเพราะเรื่องนี้
ไม่ต้องพูดถึงว่าจางซิ่วเอ๋อไม่ได้ทําอะไรเลย ต่อให้จางซิ่วเอ๋อจะมีความสัมพันธ์กับบุรุษคนใดก็เป็นเรื่องส่วนตัวของจางซิ่วเอ๋อ ไม่จําเป็นต้องรายงานให้รุ่ยเซียงทราบ
หลังจากที่จางซิ่วเอ๋อกลับบ้าน นางก็ยังรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
ต่อไปนางจะต้องอยู่ให้ห่างจากรุ่ยเซียงให้มาก อย่างที่กล่าวไว้ว่าอุดมการณ์ต่างกันก็ไม่ควรคบหากัน
“พี่หญิง ท่านแม่ของเราเป็นอย่างไรบ้าง?” ชุนเถาอดไม่ได้ที่จะถาม
จางซิ่วเอ๋อได้สติจากความคิดเมื่อครู่และพูดขึ้นมา “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องท่านแม่ของเรา ท่านอาเมิ่งบอกว่าท่านแม่ของเราสุขภาพดีมาก”
“จริงสิ พี่หญิง…” จางชุนเถาพลันเอ่ยกับจางซิ่วเอ๋อด้วยสีหน้าซับซ้อน
จางซิ่วเอ๋อมองชุนเถาด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือ?”
“พี่หญิง ท่านมานี่ มาคุยกันทางนี้เถอะ” จางชุนเถาพูดพลางลากจางซิ่วเอ๋อเดินไปยังที่แห่งหนึ่ง
จางซิ่วเอ๋อมองไปอีกด้านหนึ่งของลานบ้าน นี่คือจุดที่อยู่ไกลสุดจากห้องที่หนิงอันอาศัยอยู่
“เจ้ากําลังจะพูดอะไรกันแน่?” จางซิวเอ๋อสงสัยเป็นอย่างมาก
จางชุนเถาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พี่หญิง ข้าคิดว่าพี่ใหญ่หนิงแปลกมาก หลังจากพี่กับท่านอาเมิ่งออกไปแล้ว เขาดูไม่มีความสุขเลย ทั้งยังผ่าฟืนจนหมดบ้านด้วย”
จางชุนเถาพูดไปพลางมองไปรอบ ๆ
จางซิ่วเอ๋อมองตามสายตาของจางชุนเถาและเห็นฟืนถูกผ่าอย่างเป็นระเบียบ แม้แต่กิ่งไม้บางกิ่งก็ยังถูกสับเป็นความยาวเท่ากัน
“นี่คือของที่หนิงอันเพิ่งทำหรือ?” จางซิ่วเอ๋ออดไม่ได้ที่จะถาม
จางชุนเถาพยักหน้า “พี่หญิง พี่ว่าพี่ใหญ่หนิงอันเป็นอะไรกันแน่? เขาเป็นแบบนี้แล้วดูน่ากลัวเหลือเกิน”
จางซิ่วเอ๋อเอื้อมมือไปลูบผมของจางชุนเถาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่าคิดมากเลย บางทีเขาอาจแค่อยากทํางานให้มากกว่านี้”
เมื่อจางซิ่วเอ๋อได้ยินเรื่องนี้ก็ไม่สงสัยในนิสัยของเนี่ยหย่วนเฉียวเลย เพราะหลังจากอยู่ด้วยกันแล้ว นางรู้สึกว่าเนี่ยหย่วนเฉียวผู้นี้แม้จะลึกลับ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือเนี่ยหย่วนเฉียวไม่มีจิตใจคิดทําร้ายพวกนาง
ในความสัมพันธ์ดังกล่าว ถึงแม้ว่าเขาจะดูแปลกไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
จางซิ่วเอ๋อมองขึ้นไปยังห้องที่เนี่ยหย่วนเฉียวอาศัยอยู่
หน้าต่างกำลังเปิดอยู่
เนี่ยหย่วนเฉียวยืนอยู่ตรงหน้าต่าง จางซิ่วเอ๋อจึงมองเห็นเพียงแผ่นหลังของเขาเท่านั้น
ผมยาวราวกับผ้าแพรสีชามีปิ่นไม้ประดับ ดูเรียบง่ายแต่ให้ความรู้สึกที่ไม่ธรรมดา
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ตัวอันตรายมาอีกหนึ่งแล้ว ซิ่วเอ๋อหนีไปไกล ๆ เลย อยู่ดี ๆ มาขอยืมเงินแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน
พี่หนิงอันเขาไม่เป็นอะไรหรอกลูก แค่กินน้ำส้มเยอะไปหน่อยหลังเห็นซิ่วเอ๋อออกไปกับท่านหมอเท่านั้นแหละ
ไหหม่า(海馬)