ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 114 ทำดีไม่หวังชื่อเสียง
บทที่ 114 ทำดีไม่หวังชื่อเสียง
จางซิ่วเอ๋อเห็นแล้วนึกพึมพำในใจ ใครเป็นคนมาวางไว้ตรงนี้กันนะ แต่พริบตาเดียวจางซิ่วเอ๋อก็นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้ และคาดว่าต้องเป็นจ้าวเอ้อร์หลางแน่ๆ
จ้าวเอ้อร์หลางเป็นเด็กนิสัยไม่เลว รู้จักสำนึกคุณ นางแค่เอาของกินไปให้ตระกูลจ้าวเป็นครั้งคราว จ้าวเอ้อร์หลางถึงกับตอบแทนกันแบบนี้
จางซิ่วเอ๋อรู้สึกใจชื้น
จางซิ่วเอ๋อเพิ่งทอดถอนใจเรื่องนี้ก็ได้ยินชุนเถาร้องเสียงแหลมอย่างตื่นเต้นดีใจ “พี่! มาดูเร็ว! หน้าต่างบ้านเรา!”
จางซิ่วเอ๋อมองไปก็เห็นว่าหน้าต่างที่นางใช้ผ้าปิดมีคนเอาออกไปแล้วและเปลี่ยนหน้าต่างบานใหม่ให้ แล้วยังติดกระดาษเซวียนจื่อ*ที่เอาไว้ติดหน้าต่างโดยเฉพาะด้วย
*กระดาษชนิดพิเศษที่ใช้บุประตูหน้าต่าง มีคุณสมบัติเหนียวและแข็งแรงทนทาน
จางซิ่วเอ๋อเห็นภาพนี้ความรู้สึกแรกคือดีใจ ไม่มีใครอยากอยู่ในบ้านซอมซ่อหรอก แต่ความรู้สึกถัดมาคือสงสัย
มีฟืนเพิ่มมากองหนึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่ เป็นจ้าวเอ้อร์หลางช่วยผ่าให้พวกนาง วันหน้านางคอยช่วยเหลือจ้าวเอ้อร์หลางก็จบ
แต่การซ่อมหน้าต่างไม่ใช่งานง่ายแบบนั้น
จางซิ่วเอ๋อรู้ว่าหน้าต่างนี้ไม่น่าจะใช่จ้าวเอ้อร์หลางทำ ถึงอย่างไรชีวิตความเป็นอยู่ตระกูลจ้าวก็ลำบากขนาดนั้นแล้ว ซ่อมหน้าต่างบานหนึ่งต้องใช้เงินไม่น้อย แล้วยังเปลืองแรงเปลืองเวลาด้วย เด็กอย่างจ้าวเอ้อร์หลางทำไม่ได้แน่ ๆ
ส่วนบัณฑิตจ้าว แค่เดินยังหายใจหอบ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่
แล้วใครกันที่ซ่อมหน้าต่างบานนี้?
จางซิ่วเอ๋อเดินเข้าไปในบ้านด้วยความสงสัย พอเข้ามาในห้อง จางซิ่วเอ๋อก็พบว่าโต๊ะเก้าอี้เก่าๆที่ตั้งไว้ในบ้านถูกซ่อมหมดแล้ว!
“เอ๊ะ! พี่ หลังคาบ้านเราก็เหมือนถูกซ่อมแล้ว” จางชุนเถาชี้ขึ้นไปเหนือหัว
เดิมทีในบ้านสามารถมองเห็นรอยปุที่จางซิ่วเอ๋อซ่อมไว้อย่างง่ายๆ แต่ตอนนี้รอยปุหายไปแล้วกลายเป็นแผ่นอิฐ และแผ่นอิฐนี้ยังดูใหม่ ดูก็รู้ว่าเพิ่งปูใหม่ๆ
จากเรื่องนี้จางซิ่วเอ๋อจึงยิ่งมั่นใจว่าไม่ใช่ฝีมือจ้าวเอ้อร์หลางแน่ๆ
จ้าวเอ้อร์หลางเป็นเด็กที่ยังโตไม่เต็มวัยด้วยซ้ำ ต่อให้มีบันได การขึ้นหลังคาก็เป็นเรื่องที่อันตรายและยุ่งยากมาก ไม่มีทางซ่อมหลังคาได้แน่
จางซิ่วเอ๋อขนของเข้ามาในบ้าน นั่งบนเตียงตนเองด้วยความรู้สึกไม่สบายใจนัก
บ้านถูกซ่อมเสร็จแล้วนางต้องดีใจเป็นธรรมดา แต่ใครล่ะที่ซ่อม? แล้วคนๆนั้นทำไปทำไม? หรือว่าเจ้าของบ้านคนเดิมกลับมาแล้ว? หรือมีใครตั้งใจจะแย่งบ้านหลังนี้กับนาง?
อย่างไรเสียบ้านหลังนี้ก็ไม่ได้เป็นของจางซิ่วเอ๋อจริงๆ ทำให้จางซิ่วเอ๋อไม่สบายใจไม่น้อย
เนื่องจากเป็นกลางวัน จางซิ่วเอ๋อจึงไม่สะดวกขนของกลับจากบ้านตระกูลจ้าว สองพี่น้องจึงนั่งรอในลานบ้าน รอให้ฟ้ามืดลงกว่านี้หน่อยค่อยไปขนของ
รอจนฟ้าเริ่มสลัว จางซิ่วเอ๋อก็ได้ยินเสียงจากนอกบ้าน
นางมองอย่างระแวง หยิบไม้แท่งหนึ่งขึ้นมาป้องกันตัว
และในเวลานั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาทางรั้วหัก เขาแบกฟืนไว้ที่หลัง กำลังเช็ดเหงื่อที่หน้าด้วยแขนเสื้อ
จางซิ่วเอ๋อเอ่ยขึ้นด้วยความอึ้ง “จ้าวเอ้อร์หลาง?”
จ้าวเอ้อร์หลางเงยหน้า มองจางซิ่วเอ๋อยิ้มๆ “พี่ซิ่วเอ๋อ กลับมาแล้วเหรอขอรับ?”
จางซิ่วเอ๋อพยักหน้า มองจ้าวเอ้อร์หลางยกฟืนลงจากหลังก่อนจะเอ่ย “ฟืนนี่เจ้าเป็นคนผ่าให้เหรอ?”
จ้าวเอ้อร์หลางยิ้มเขินพลางพยักหน้า “ข้าต้องขึ้นเขาไปผ่าฟืนทุกวัน เห็นบ้านพี่ไม่มีฟืน ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรข้าเลยผ่ามาเผื่อพวกพี่ด้วย”
จางซิ่วเอ๋อเดาไม่ผิด จ้าวเอ้อร์หลางเป็นคนผ่าฟืนพวกนี้
จางซิ่วเอ๋อมองจ้าวเอ้อร์หลางแล้วถาม “แล้วหน้าต่างล่ะ?”
จ้าวเอ้อร์หลางกล่าว “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันขอรับว่าใครซ่อม”
พูดมาถึงตรงนี้จ้าวเอ้อร์หลางก็ชะงักก่อนจะเอ่ยยิ้มๆ “พี่ซิ่วเอ๋อ พี่ก็รู้ว่าบ้านข้าจน ไม่มีเงินซื้อหน้าต่างแบบนั้นหรอกขอรับ”
ถึงหน้าต่างนี่จะไม่ได้ดีเด่อะไรมาก แต่ก็นับว่าใช้ดีระดับกลางเลยล่ะ หน้าต่างที่บ้านจ้าวเอ้อร์หลางเองยังไม่ได้ซ่อมเลย ต่อให้พวกเขาอยากตอบแทนจางซิ่วเอ๋อก็คงไม่ตอบแทนด้วยการทำอะไรเกินตัวแบบนี้หรอก
และต่อให้จ้าวเอ้อร์หลางอยากทำ บ้านตระกูลจ้าวที่ไม่มีเงินแม้แต่จะกินข้าวก็คงไม่มีปัญญาอยู่ดี
“เอ้อร์หลาง เจ้าเอาฟืนมาให้ข้าที่นี่ทุกวันเลยใช่ไหม?” จางซิ่วเอ๋อมองจ้าวเอ้อร์หลางพลางถาม
จ้าวเอ้อร์หลางพยักหน้า “ช่วงนี้ข้ามาทุกวัน”
“แล้วเจ้าเห็นใครเข้าออกบ้านข้าบ้างไหม?” จางซิ่วเอ๋อถาม
ตอนนี้นางอยากรู้มากเหลือเกินว่าใครกันที่ซ่อมแซมบ้านให้นาง และมีเป้าหมายอะไร ไม่อย่างนั้นต่อให้นางอยู่ได้อย่างสบายกายแต่ก็ไม่สบายใจ
สายตาของจ้าวเอ้อร์หลางเป็นประกายวิบวับเล็กน้อย สุดท้ายก็ส่ายหน้าและบอก “ข้าไม่เคยเจอเลยขอรับ”
จ้าวเอ้อร์หลางนึกถึงเงาบนหลังคาที่ตัวเองเห็นในวันหนึ่งตอนมาที่นี่ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดออกไป
พี่ชายใหญ่คนนั้นใจดีช่วยพี่ซิ่วเอ๋อ คงไม่คิดร้ายอะไรหรอกกระมัง? แถมยังกำชับเขาว่าอย่าบอกใคร ต่อให้เป็นพี่ซิ่วเอ๋อเองก็ไม่ได้
จ้าวเอ้อร์หลางเป็นเด็กซื่อจึงรับปากไป และหลังจากนั้นไม่ว่าจางซิ่วเอ๋อถามอย่างไรเขาก็ไม่ยอมพูด
จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าจ้าวเอ้อร์หลางยังมีอะไรไม่ได้บอกตัวเอง แต่ในเมื่อจ้าวเอ้อร์หลางไม่อยากบอก นางจะคาดคั้นก็ไม่ได้
สุดท้ายจางซิ่วเอ๋อจึงคิดไปว่าก็เอาสิ
อยากทำอะไรก็ทำ นางอยู่ต่อไปได้วันหนึ่งก็ยังดี!
นางไม่เชื่อหรอกว่าในหมู่บ้านนี้มีคนใจกล้าเหมือนตัวเอง คิดจะมาอาศัยอยู่ในบ้านผีสิง ถ้าเป็นคนนอกหมู่บ้าน นางก็ให้เงินผู้ใหญ่บ้านซ่งสักหน่อย!
ถ้ายังไม่ได้อีกนางยอมย้ายออกไปก็ได้ อย่างไรเสียตอนนี้นางไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก อยู่ ๆ คนเป็นจะต้องมาตายเพราะอั้นปัสสาวะงั้นรึ?
จางซิ่วเอ๋อคิดได้ดังนั้นก็บอกกับจ้าวเอ้อร์หลาง “เอ้อร์หลาง เจ้าพาชุนเถาไปบ้านเจ้าเอาของที่ใช้ทำกับข้าวกลับมาหน่อย คืนนี้ข้าจะทำขาหมูน้ำแดง เจ้ากินข้าวที่นี่แหละ……”
พูดมาถึงตรงนี้ จางซิ่วเอ๋อชะงักนิดหน่อย “ถ้าพ่อเจ้าไม่รังเกียจที่บ้านข้าน่ากลัวและสะดวกมา ก็มาด้วยกันนี่แหละ”
“ถ้ามาไม่ได้เจ้าก็ไม่ต้องรีบทำกับข้าวให้พ่อเจ้า เดี๋ยวข้าทำเสร็จให้เจ้าเอากลับไปด้วย” จางซิ่วเอ๋อบอกยิ้มๆ
จ้าวเอ้อร์หลางหน้าแดงก่ำ “พี่ซิ่วเอ๋อ ไม่ได้หรอกขอรับ เนื้อที่พี่ทิ้งไว้ให้ตอนพี่ไปพวกเรายังกินไม่หมดเลย!”
“เหลวไหล เนื้อพวกนั้นนิดเดียวเอง เก็บมาจนถึงวันนี้จะไม่เน่าเสียเหรอ?” จางซิ่วเอ๋อเปิดโปงคำโกหกของจ้าวเอ้อร์หลาง
จ้าวเอ้อร์หลางอยากจะค่อยๆ กินเนื้อนั่น แต่ตอนที่จางซิ่วเอ๋อเอาเนื้อไปให้ไม่ใช่ตอนที่สดใหม่สุดๆ จางซิ่วเอ๋อไปบ้านท่านยายตั้งห้าวัน เนื้อนั่นก็เริ่มส่งกลิ่นแล้ว
ต่อให้จ้าวเอ้อร์หลางจะเสียดายแค่ไหนก็ต้องกิน เพราะถ้าจะทำเป็นเนื้อเค็มต้องใช้เกลือไม่น้อย
“พอได้แล้วน่า ลูกไม้ของเจ้าคิดว่าข้ามองไม่ออกรึ? เรื่องนี้ตกลงตามนี้แหละ เจ้าน่ะ ถ้ารู้สึกผิด วันหน้าก็เอาฟืนมาให้บ้านเราเยอะๆ สิ” จางซิ่วเอ๋อกล่าวยิ้มๆ
นางรู้ว่าคนอย่างจ้าวเอ้อร์หลางไม่ยอมรับน้ำใจของนางไปเฉยๆ หรอก จึงแกล้งพูดไปแบบนั้น
…………………………………