ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 16 บ้านร้างผีดุ
บทที่ 16 บ้านร้างผีดุ
เมื่อก่อนจางซิ่วเอ๋อก็ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก แต่ก็คิดว่าตัวเองยังข้ามมิติมาได้เลย เรื่องผีสางวิญญาณอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้
แต่ตอนนี้นางไม่มีที่จะไปจริง ๆ จึงได้แต่ทำใจกล้าแล้วเข้าไปด้านใน
ถ้านางกลัว จางชุนเถาไม่ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่รึ?
นี่ถือเป็นลานบ้านที่ไม่เล็กนัก ด้านนอกล้อมด้วยกำแพงอิฐ ประตูก็ลงกลอนไว้
ดีที่กำแพงด้านหนึ่งพังลง ทั้งสองจึงลอบเข้ามาทางนี้ได้
ในลานบ้านนั้นหญ้าเหี่ยวแห้งหมดแล้ว ที่นี่ดูหนาวเหน็บและวังเวงเกินกว่าที่ไหนจริง ๆ นั่นแหละ…มิน่าล่ะ ทุกคนถึงไม่อยากมา
กลางสวนมีต้นโอ๊กต้นใหญ่ แถมลำต้นยังบิดเบี้ยว
ทุกคนบอกว่ายายแก่คนนั้นแขวนคอตายที่นี่แหละ
จางซิ่วเอ๋อแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น และมองไปด้านหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์
ด้านหน้ามีห้องสามห้อง ถูกสร้างไว้ค่อนข้างดี กำแพงถูกก่อด้วยอิฐ ส่วนหลังคามุงด้วยกระเบื้อง ถ้าบ้านหลังนี้อยู่ในหมู่บ้านก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว
แน่นอนว่าที่นี่ถูกปล่อยร้างไว้นานเกินไป จึงเละเทะไปหมด
บวกกับข่าวลือสุดสะพรึง จึงไม่มีใครเพ่งเล็งบ้านหลังนี้ จึงเป็นประโยชน์ให้สองพี่น้องนัก
จางซิ่วเอ๋อนึกในใจ ต่อให้อยู่ที่นี่นานไม่ได้ แต่ตอนนี้ใช้เป็นที่พักไปก่อนก็พอไหว
ที่สำคัญที่สุดคือ แม่เฒ่าจางเป็นคนงมงายมาก ให้ตายนางก็ไม่มาที่นี่หรอก
เห็นแม่เฒ่าจางชอบทำปากเก่งแบบนั้น แต่คน ๆ นี้บางทีก็ปอดแหกมาก อย่างเช่น นางกลัวผีสุด ๆ
หน้าต่างของห้องก็มีพังไปแล้ว ในห้องต้องมีลมพัดผ่านมาแน่ แต่ก็ยังดีกว่าอยู่ตามป่าตามเขา
จางชุนเถาดูจะกลัวอยู่หน่อย ๆ เวลานี้จึงเข้ามาใกล้จางซิ่วเอ๋ออย่างอดไม่ได้
จางซิ่วเอ๋อนึกถอนหายใจ อย่างไรซะจางชุนเถาก็ยังเด็กอยู่ นางจึงจับมือจางชุนเถาไว้ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ชุนเถา ไม่ต้องกลัวหรอก พี่อยู่นี่นะ”
“พี่เป็นคนที่เคยตายมาครั้งนึงแล้ว ไม่กลัวผีสางเทวดาอะไรทั้งนั้น” จางซิ่วเอ๋อเอ่ยน้ำเสียงแน่วแน่ ให้ความมั่นใจกับจางชุนเถา
การที่จางซิ่วเอ๋อพูดแบบนี้ไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นเองหรอกนะ
เพราะนางเป็นคนที่เคยตายมาครั้งนึงแล้วจริง ๆ
จางซิ่วเอ๋อพาจุงชุนเถาเดินเข้าไปด้านใน ประตูไม้ผุพังไปหมดแล้ว แค่กระชากเบา ๆ ก็เสียได้ ทั้งสองพี่น้องจึงเดินคลำเข้าไปตามทางมืด ๆ
ด้านในมีโต๊ะเก่า ๆ อยู่ตัวหนึ่ง และเก้าอี้ล้มอยู่ที่พื้น
‘เปรี้ยง!’ ทันใดนั้นฟ้าก็เกิดแลบขึ้นมา ทำให้สภาพห้องปรากฏขึ้นต่อหน้าทั้งสองอย่างชัดเจน
ภายในห้องมีเตียงอยู่เตียงนึง มันไม่ได้เก่ามากนัก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าตอนเจ้าของเก่าทำเตียงนี้ขึ้นมาได้ใช้ตำลึงไปไม่น้อย บนเตียงถูกทาด้วยสีแดง ถึงแม้ตอนนี้จะดูสกปรกและมีรอยร้าวตามสีแดงนั้น แต่ก็ยังสัมผัสถึงความประณีตของเตียงได้
จางซิ่วเอ๋อพยุงเก้าอี้ที่ล้มอยู่กับพื้นขึ้น และเดินไปที่เตียง
นางยื่นมือไปขยับเตียง แต่เตียงกลับแข็งแรงอย่างผิดคาด อย่างน้อย ๆ ตอนที่นางขยับด้วยแรงเท่านี้เตียงก็ไม่ได้เซไปเซมา และไม่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดอีกด้วย
จางชุนเถาที่เห็นภาพนี้ก็ได้สติกลับมาจากความกลัว พูดด้วยสีหน้าดีใจ “เตียงนี่ดีจัง ดีกว่าเตียงบ้านเราเยอะเลย”
จางชุนเถาพูดมาถึงตรงนี้ก็สีหน้าเย็นเยียบลง และแค่นเสียงพลางเอ่ย “ไม่ใช่บ้านเราแล้ว”
จากน้ำเสียงของนาง เห็นได้ชัดเลยว่าจางชุนเถาเคืองแค้นตระกูลจางมานานแล้ว
จางซิ่วเอ๋อลูบผมที่แห้งดั่งต้นหญ้าของจางชุนเถาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ชุนเถา เจ้าวางใจเถอะ จากนี้ไปพี่จะให้เจ้าได้นอนเตียงที่ดีกว่านี้อีก บ้านที่ใหญ่กว่านี้ด้วย”
จางซิ่วเอ๋อกำมือทั้งสองข้างและเอ่ยน้ำเสียงแน่วแน่ ที่พูดนี่ไม่ใช่แค่ให้จางชุนเถาสบายใจเท่านั้น แต่เป็นการสัญญาจากใจของนางเลยต่างหาก
จางชุนเถาเงยหน้ามอง มีกระเบื้องบางแผ่นบนหลังตาแตกแล้ว จะขึ้นไปซ่อมตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้ ดูท่าคืนนี้ต้องอยู่แบบนี้ไปก่อน
อีกอย่าง วันนี้สองพี่น้องก็เหนื่อยจะแย่แล้ว
จางซิ่วเอ๋อดึงผ้าห่มบนเตียงลงมาเพื่อสะบัดฝุ่นออก แต่ฝุ่นบนนั้นไม่อาจสะบัดให้หลุดได้แล้ว จริง ๆ วัสดุของผ้าห่มผืนนี้ไม่เลวเลย แต่จางซิ่วเอ๋อในตอนนี้ไม่อยากจะใช้ผ้าห่มผืนนี้จริง ๆ
ที่นี่อาจจะไม่ใช่บ้านร้างผีดุอย่างที่ลือกัน แต่ก็ต้องมีคนเคยตายแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เล่ากันสมจริงขนาดนั้นหรอก
นางไม่กลัวนะ แต่พอคิดว่าต้องนอนกับผ้าห่มแบบนี้ก็ไม่สบายใจ
อีกอย่าง ผ้าห่มนี่สกปรกขนาดนี้แล้ว ไม่แน่ด้านในอาจจะมีหนอนและเชื้อโรคอีกมากมายก็ได้ ผ้าห่มเน่า ๆ ที่ตระกูลจางยังดีกว่านี้เยอะเสียกว่า
จางซิ่วเอ๋อไม่อยากจะเพิ่งมาถึงก็ติดโรคอะไรก็ไม่รู้หรอกนะ
นางมองกระดานเตียงที่ว่างเปล่า หาผ้าเน่าสักผืนในห้องแล้วมาที่สวนลานบ้าน
ขณะนั้นฟ้าร้องเสียงดังสนั่น ฝนก็เริ่มเทลงมา
จางซิ่วเอ๋อรับน้ำฝนไว้นิดหน่อย ทำให้ผ้าเน่าเปียกชื้น และนำกลับมาเช็ดกระดานเตียงอย่างพิถีพิถัน
ก่อนจะถอดชุดนอกเก่า ๆ เน่า ๆ ของตัวเองและกางไว้บนนั้น
“ชุนเถา เจ้ายังมีแผลอยู่ นอนพักผ่อนที่นี่แหละ เรื่องที่เหลือพวกเราค่อยจัดการตอนเช้าเถอะ” จางซิ่วเอ๋อมองชุนเถาพลางอมยิ้ม
ชุนเถาพยักหน้า นางเหนื่อยจริง ๆ แถมวันนี้เพื่อความสมจริงจึงออกแรงโขกหัวจริง ๆ ตอนนี้นางมึนไปหมดแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะไม่อยากให้พี่สาวต้องเหนื่อยคนเดียว นางคงฟุบไปนานแล้ว
สภาพแวดล้อมในการนอนย่ำแย่อยู่บ้าง มีลมหนาวพัดเข้ามาเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้สองพี่น้องอิงแอบกันกลับรู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อย่างน้อยพวกนางสองคนก็ไม่ต้องกลัวว่าพรุ่งนี้แม่เฒ่าจางจะจับพวกนางแต่งงานหรือจับไปขาย
คนเราพอเหนื่อยถึงขีดสุด อย่าว่าแต่กระดานเตียงแข็ง ๆ เลย ต่อให้หลุมน้ำนองก็นอนได้
แผลของจางซิ่วเอ๋อยังไม่หายสนิท และวันนี้นางเหนื่อยมาทั้งวัน จึงมีไข้อ่อน ๆ เลยยิ่งทนความเหนื่อยไม่ไหวเข้าไปอีก
ไม่นานนัก สองพี่น้องก็เริ่มหายใจเป็นจังหวะ
ขณะนี้ลมพายุกำลังโหมอยู่ด้านนอก ฟ้าผ่าฟ้าแลบแปรบปราบ ต้นไม้เอนไหวตามลม หากมองไปในสวนก็จะให้ความรู้สึกหลอน ๆ อยู่บ้าง
สองพี่น้องกลับจมอยู่ในห้วงแห่งฝันหวาน
เช้าวันรุ่งขึ้น จางซิ่วเอ๋อตื่นท่ามกลางเสียงร้องใส ๆ ของนก
นางมองออกไปข้างนอก ซึ่งฝนหยุดตกแล้ว ส่วนบนต้นโอ๊กใหญ่ในสวนก็กำลังมีนกกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข เสียงร้องก็มาจากพวกมันนั่นแหละ
ฟ้าหลังฝนมีกลิ่นดินและกลิ่นหอมของพีชพรรณอบอวลอยู่ในอากาศ
จางซิ่วเอ๋อลุกเดินไปด้านนอก และอดสูดลมหายใจลึก ๆ ไม่ได้ รอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้าของนาง แม้แต่ในอากาศยังมีกลิ่นอายของอิสรภาพอยู่
ถึงแม้ตอนนี้นางจะเป็นแม่ม่ายคนหนึ่ง แต่นางก็ยอมออกมาเป็นแม่ม่ายเสียดีกว่า ไม่อยากกลับไปเป็นหลานสาวของแม่เฒ่าจางอีกแล้ว!