ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 200 หนีเอาตัวรอด
บทที่ 200 หนีเอาตัวรอด
แค่ยัดตำลึงเงินให้คนที่คำนวณแผนผังพลังชี่สักหน่อย จากนั้นตนอยากให้เขาว่าอย่างไรเขาก็ว่าตามนั้นไม่ใช่หรือ?
ฮูหยินเนี่ยต้องการทำลายเนี่ยหย่วนเฉียว ให้เนี่ยหย่วนเฉียวไม่อาจกลับมาผงาดได้อีกทั้งชีวิต!
ไม่ว่าเนี่ยหย่วนเฉียวจะยังอยู่หรือตายไปแล้ว ก็ต้องอยู่กับผู้หญิงชั้นต่ำ!
มิฉะนั้นหากเนี่ยหย่วนเฉียวมีพ่อตาที่ฐานะไม่เลว เนี่ยหย่วนเฉียวตายไปคงไม่เป็นไร แต่หากยังมีชีวิตอยู่ เรื่องหลังจากนั้นคงจะยุ่งยากน่าดู
แต่เนี่ยเฟิ่งหลินดูไม่คิดจะจ้ำจี้จ้ำไชฐานะของจางซิ่วเอ๋อ กลับย้อนถาม “แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ไหนล่ะ?”
ฮูหยินเนี่ยไม่รู้ว่าการที่เนี่ยเฟิ่งหลินถามหาจางซิ่วเอ๋อนั้นหมายความว่าอย่างไร นาทีนี้นางจึงลังเล ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
เพราะเนี่ยเฟิ่งหลินเป็นคนที่เดาใจยากมาก ฮูหยินเนี่ยคิดไม่ตกเลย จึงไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้าพูดอะไรออกไป กลัวว่าจะไปทำให้เนี่ยเฟิ่งหลินโมโหขึ้นมา
เนี่ยเฟิ่งหลินไม่รอให้ฮูหยินเนี่ยตอบ กลับทอดสายตาไปมองหน้าจางซิ่วเอ๋อ และเอ่ยปาก “แม่หนูนี่มาจากไหนกันล่ะ? ทำไมถึงถูกตีจนอยู่ในสภาพเช่นนี้?”
จางซิ่งเอ๋อเบ้ปาก “ข้าเองก็ไม่รู้เจ้าค่ะว่าเหตุใดจึงต้องถูกตีถึงเพียงนี้”
“หืม? เช่นนั้นก็น่าสนใจ ให้เจ้าเป็นคนพูดดีกว่าฮูหยินหรู ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน?” เนี่ยเฟิ่งหลินถาม
ฮูหยินเนี่ยหน้าเสีย “ข้าแค่จัดการเรื่องเล็ก ๆ ภายในครอบครัว ไม่ต้องลำบากเจ้าหรอก”
เนี่ยเฟิ่งหลินเลิกคิ้ว “เรื่องภายในครอบครัว? นี่เจ้าหมายความว่าข้าไม่ใช่คนตระกูลเนี่ยรึ?”
ฮูหยินเนี่ยแค่นเสียงในใจ เป็นสตรีอายุปูนนี้ยังจะถือว่าตัวเองเป็นคนตระกูลเนี่ยอีกเหรอ? หน้าไม่อายจริง ๆ!
แต่นางก็ยังเอ่ยปาก “เจ้าต้องใช่อยู่แล้ว”
“งั้นเจ้าว่ามาซิ ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน?” เนี่ยเฟิ่งหลินคาดคั้น
ฮูหยินเนี่ยไม่พอใจมาก เนี่ยเฟิ่งหลินจี้ถามเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้นไปเพื่ออะไรกัน
ในขณะที่ฮูหยินเนี่ยตรึกตรองว่าจะพูดอย่างไรดี เนี่ยเฟิ่งหลินก็ถลึงตาใส่แม่เฒ่าที่คุมตัวจางซิ่วเอ๋ออยู่ พร้อมเอ่ยปาก “ยังไม่รีบปล่อยตัวนางอีก?”
“แม่หนู ในเมื่อไม่มีใครยอมพูด งั้นเจ้าบอกมาซิว่าเหตุใดพวกนางถึงปฏิบัติกับเจ้าเช่นนี้” เนี่ยเฟิ่งหลินมองสีหน้าดึงดันไม่ยอมแพ้ของจางซิ่วเอ๋อแล้วแววตาฉายความชื่นชม กระทั่งน้ำเสียงยังนุ่มนวลขึ้น
จางซิ่วเอ๋อมองเนี่ยเฟิ่งหลิน นึกรำพึงในใจว่าที่เนี่ยเฟิ่งหลินถามตัวเองแบบนี้คงไม่ได้ต้องการหาเรื่องตัวเองหรอกใช่ไหม
ถึงแม้จางซิ่วเอ๋อไม่รู้ชัดเจนว่าเนี่ยเฟิ่งหลินต้องการอะไร แต่ก็พอจะดูออกว่าเนี่ยเฟิ่งหลินต้องการใช้เรื่องของนางในการหาเรื่องฮูหยินเนี่ย
ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร
ด้วยหลักการนี้ จางซิ่วเอ๋อจึงปริปาก “ข้าก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเหมือนกันเจ้าค่ะ คนพวกนี้บุกเข้ามาในบ้านข้า หาว่าข้าไม่สงวนตัว แล้วพาข้ามาที่นี่”
“แล้วเจ้าเป็นใครกันเหรอ?” เนี่ยเฟิ่งหลินอมยิ้มถาม
จางซิ่วเอ๋อได้ยินแล้วสังหรณ์ใจว่าเนี่ยเฟิ่งหลินผู้นี้น่าจะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองเป็นใคร
เวลานี้มาถามแบบนี้ เหมือนจงใจถามมากกว่า
แต่พอนึกได้ว่าที่เนี่ยเฟิ่งหลินพูดแบบนี้น่าจะต้องการช่วยตัวเอง จางซิ่วเอ๋อจึงตอบอย่างว่าง่าย “ข้าก็คือคนที่แก้ชงให้คุณชายเนี่ยเจ้าค่ะ”
“ที่แท้ก็หลานสะใภ้นี่เอง” เนี่ยเฟิ่งหลินเอ่ยยิ้ม ๆ
จางซิ่วเอ๋อสัมผัสถึงการยอมรับได้จากน้ำเสียงของเนี่ยเฟิ่งหลิน ทำให้นางรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย
ทั้งตระกูลเนี่ยแห่งนี้ ไม่มีใครยอมรับนางเป็นภรรยาของเนี่ยหย่วนเฉียวเลยสักคน
เนี่ยเฟิ่งหลินผู้นี้ดูเหมือนคบยาก แต่เวลาที่คุยกับนาง คำพูดที่เอื้อนเอ่ยนั้นทำให้สบายใจจริง ๆ
แต่น่าเสียดายที่ในใจของนางเองก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนของเนี่ยหย่วนเฉียว จึงไม่ได้รู้สึกปลื้มปีติมาก ได้แต่รับน้ำใจนี้ไว้
ว่ากันว่าหมูไปไก่มา ท่าทางที่จางซิ่วเอ๋อมีต่อเนี่ยเฟิ่งหลินย่อมดีกว่าที่มีต่อคนอื่น ๆ ในตระกูลเนี่ยอยู่มาก
“หลานสะใภ้อะไรกันเจ้าคะ คุณหนูรองน่ากลัวว่าจะเข้าใจอะไรผิดไป นางคนนี้ไม่ได้มีสถานะใดในตระกูลของเราเลยเจ้าค่ะ” ชุนอวี้ได้ยินดังนั้นร้อนรนขึ้นมา นางชำเลืองมองฮูหยินเนี่ย และรู้ว่าไม่ว่าตอนนี้ตัวเองจะพูดอะไรฮูหยินเนี่ยก็ไม่ห้ามตัวเอง จึงเอ่ยขึ้น
เนี่ยเฟิ่งหลินขมวดคิ้วนิดหน่อย หน้าตาขุ่นหมองขึ้นมา “นังสาวใช้ชั้นต่ำ เจ้าไม่ดูสถานะของตัวเองหน่อยล่ะ เวลานี้เจ้านายยังไม่พูดอะไร ใช่โอกาสให้เจ้าได้ปริปากที่ไหนกัน!”
สีหน้าชุนอวี้กระอักกระอ่วนนิดหน่อย
สีหน้าฮูหยินเนี่ยก็ไม่สู้ดีนัก จะตีสุนัขยังต้องดูหน้าเจ้านาย เนี่ยเฟิ่งหลินตำหนิชุนอวี้ต่อหน้านางเพื่อให้นางต้องอับอาย
“ข้าแค่พูดความจริงเท่านั้นนี่เจ้าคะ” ชุนอวี้กัดฟันกรอด
“เด็ก ๆ! ตบปากมัน! เจ้าบังอาจต่อปากต่อคำกับข้าไม่พอ ยังจะกล้าพูดถึงฮูหยินน้อยในทางไม่ดีอีก เจ้าคิดว่าในตระกูลเนี่ยแห่งนี้ไม่มีใครกำราบเจ้าได้เลยใช่ไหม?” เนี่ยเฟิ่งหลินเอ่ยพลางยิ้มแสยะ
ทุกคนในห้องนั้นไม่มีใครกล้าลงมือ
เนี่ยเฟิ่งหลินแค่นเสียง จ้องฮูหยินเนี่ยพลางเอ่ย “ฮูหยินหรูหมายความว่าอย่างไร? หรือข้าจากตระกูลเนี่ยนานเกินไป ไม่อาจสั่งบ่าวไพร่ในตระกูลเนี่ยได้อีกต่อไปแล้ว? ตอนนี้ข้าแค่ต้องการสั่งสอนสาวใช้ชั้นต่ำที่กล้ามาเถียงข้ายังทำไม่ได้เหรอ?”
“ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าจะได้ไปคุยกับพี่ชายตอนนี้เลยเสียหน่อย” เนี่ยเฟิ่งหลินพูดจบและทำท่าจะไป
ฮูหยินเนี่ยรีบเอ่ย “เฟิ่งหลิน ก็แค่บ่าวไพร่ไม่รู้ความ เจ้าจะไปจริงจังโกรธเกรี้ยวอะไรกับคนพวกนี้กันเล่า”
“ข้าเกรงว่าถ้าข้าไม่จริงจัง คนในบ้านนี้คงไม่มีใครเห็นข้าอยู่ในสายตาอีก” เนี่ยเฟิ่งหลินแค่นเสียง
ฮูหยินเนี่ยรู้ว่าเนี่ยเฟิ่งหลินแขวะตัวเอง แต่นางก็ไม่อยากให้เนี่ยเฟิ่งหลินไปหานายท่านเนี่ย จึงเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าสองคนยืนทำอะไรอยู่? ยังไม่ไปตบปากชุนอวี้อีก!”
ชุนอวี้มองฮูหยินเนี่ยอย่างน้อยใจ “ฮูหยิน….”
ฮูหยินเนี่ยหันหน้าหนีไม่มองชุนอวี้ แค่บ่าวไพร่ต่ำต้อยคนหนึ่งเท่านั้น หากตบชุนอวี้แล้วเนี่ยเฟิ่งหลินจะไม่ฉวยโอกาสนี้หาเรื่องได้ การเสียสละแค่นี้ย่อมคุ้มค่าอยู่แล้ว
ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ตบโดนนาง
แต่แม้จะพูดว่าความเจ็บไม่ได้เกิดกับฮูหยินเนี่ย ทว่าการกระทำของเนี่ยเฟิ่งหลินก็เป็นการตบหน้าฮูหยินเนี่ยอย่างไม่ต้องสงสัย
เวลานี้ฮูหยินเนี่ยแอบกัดฟันกรอด สายตาเจือความแค้นเคืองที่ปิดไม่อยู่
เนี่ยเฟิ่งหลินเห็นชุนอวี้โดนตบแล้วสีหน้าถึงค่อยฉายแววสะใจขึ้นมา
ส่วนจางซิ่วเอ๋อน่ะเหรอ? ได้เห็นภาพนี้ก็ไชโยอยู่ในใจตัวเอง
เนี่ยเฟิ่งหลินมองจางซิ่วเอ๋อพลางถาม “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
จางซิ่วเอ๋อยิ้มบาง “ขอบคุณคุณหนูรองที่เป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ”
“เจ้าเด็กนี่นี่นะ หลังจากนี้เรียกข้าว่าท่านอาเหมือนอย่างหย่วนเฉียวเถอะ” เนี่ยเฟิ่งหลินเอ่ย
จางซิ่งเอ๋อได้ฟังแล้วรีบเอ่ยขึ้นทันควัน “เรื่องนั้นข้ามิกล้า บอกตามตรงข้ายังไม่เคยแม้แต่จะพบหน้าคุณชายเนี่ยก็ถูกส่งตัวกลับ มิบังอาจเป็นสะใภ้ของตระกูลเนี่ยหรอกเจ้าค่ะ”
ถึงแม้เนี่ยเฟิ่งหลินจะดูเป็นคนไม่เลว แต่จางซิ่วเอ๋อก็มีหลักการของตัวเอง