ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 24 ผัดเนื้อ
บทที่ 24 ผัดเนื้อ
ไม่ต้องพูดถึงความผูกพันธ์ของพี่น้องและความรักลูกของแม่โจวเลย เอาแค่ว่าอาหารสมัยโบราณนี้กินแล้วอร่อยกว่าอาหารยุคปัจจุบันที่ใส่สารเร่งโตหรือใส่ยากันแมลงเยอะมากนัก
แค่ข้าวโพดนี่ก็มีกลิ่นหวานของพืชอ่อน ๆ โชยออกมาแล้ว พอได้กลิ่นก็รู้สึกอยากอาหารขึ้นมา
แน่นอนว่าแผ่นแป้งข้าวโพดของตระกูลจางผสมธัญพืชและผักป่า จึงไม่ได้มีกลิ่นหอมน่าดมแบบนี้
แผ่นแป้งข้าวโพดสีทองเหลือง ด้านหนึ่งพองๆนิ่มๆ อีกด้านที่ติดกระทะ กรอบและหวาน
จางซิ่วเอ๋อเอาจานใหญ่สองใบในบ้านใส่แผ่นแป้งข้าวโพดจนเต็มจาน ก่อนจะยกขึ้นมา
ตอนนี้แม่โจวอึ้งจนพูดอะไรไม่ถูกแล้ว
เนื้อเยอะขนาดนี้ แถมยังมีแผ่นแป้งข้าวโพดแท้ นี่ถ้าอยู่ตระกูลจางจะเทศกาลหรือปีใหม่ก็ใช่ว่าจะได้กินนะ
จางซิ่วเอ๋อมองแม่โจวและเอ่ย “แม่ มัวอึ้งอยู่ทำไม รีบกินสิ เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อยนะ”
ระหว่างที่พูดจางซิ่วเอ๋อก็นั่งลง ที่บ้านตอนนี้ไม่มีตะเกียบ จางซิ่วเอ๋อจึงเอาก้านหลิวมาทำเป็นตะเกียบเอง นางลอกเปลือกออก เผยให้เห็นด้านในที่เป็นเนื้อไม้สีขาว ถึงจะดูประหลาดและใช้ไม่ถนัดมือเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็มีประโยชน์
ทางด้านแม่โจวกลับไม่ยอมใช้สักที ยังคงมองของกินทั้งโต๊ะอึ้ง ๆ
“แม่ไม่ต้องเสียดายนะ ตอนนี้พวกเราไม่ขาดของกินเลย ที่บ้านมีแป้งข้าวโพด ในบ่อน้ำมีเนื้อ 2 ชั่ง แม่รีบกินเถอะ” จางซิ่วเอ๋อรบเร้า
“ซิ่วเอ๋อ เจ้าเอาเงินซื้อของพวกนี้มาจากไหน?” แม่โจวลังเลก่อนจะถามความสงสัยของตัวเองออกไป
ที่จริงนางรู้ว่าการที่ลูกสาวตัวเองออกมาตั้งตัวแล้ว นางก็ไม่ควรจะยุ่งเรื่องของลูกมากนัก
แต่ปีนี้จางซิ่วเอ๋อเพิ่งจะอายุ 15 ปีเท่านั้น สำหรับแม่โจวนางยังเป็นเด็กที่เพิ่งจะบรรลุนิติภาวะ แล้วไหนจะต้องเลี้ยงชุนเถาที่อายุน้อยกว่าอีก แม่โจวล่ะเป็นห่วงทั้งคู่จริง ๆ
จางซิ่วเอ๋อถอนหายใจ “แม่ ข้าจะบอกความจริงก็ได้ ครั้งที่แล้วที่ขายเห็ดหลินจือไปไม่ได้ขายได้ 30 เหรียญหรอก ตอนนั้นอยู่ตระกูลจาง พวกเรากลัวย่ารู้ก็เลยไม่ได้พูดความจริงกับแม่”
ตอนขายหลินจือ นางยังไม่เชื่อใจแม่โจวเท่าไหร่ ย่อมไม่มีทางเล่าเรื่องนี้ให้ฟังอยู่แล้ว บวกกับอยู่ใกล้หูใกล้ตาแม่เฒ่าจาง คนที่รู้ยิ่งน้อยยิ่งดี
“แม่อย่าโกรธพี่นะ ข้าเป็นคนต้นคิดเอง” จางชุนเถาชิงบอก
“พวกเจ้าโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง แค่นี้แม่ก็ดีใจมากแล้วล่ะ” แม่โจวรู้สึกปลาบปลื้มใจมาก ส่วนขายได้กี่ตำลึงนางไม่อยากจะสนใจแล้ว
นางรู้แค่ว่าโชคดีที่มีตำลึงก้อนนี้ ไม่อย่างนั้นซิ่วเอ๋อและชุนเถาออกมาแบบนี้จะไปมีข้าวกินได้อย่างไร?
“แม่ ในเมื่อแม่รู้ว่าพวกเรามีตำลึงและตำลึงมาจากไหน ก็วางใจแล้วกินเถอะ แม่กินเนื้อเยอะ ๆ เลย บำรุงให้น้องชายในท้องหน่อย” จางซิ่วเอ๋อบอกยิ้ม ๆ
แม่โจวตาแดง ตัวลูก ๆ เองก็ลำบาก แต่ก็ยังรู้ว่าต้องกตัญญูแม่อย่างนาง นางรู้สึกชื้นใจจริง ๆ
ในหมู่บ้านมีใครไม่หัวเราะเยาะนางบ้าง? บอกว่านางคลอดลูกผู้ชายไม่ได้ ไม่สามารถสืบสานตระกูลให้บ้านสี่ได้ เป็นบ้านที่ไร้ทายาท ตอนแก่ก็ไม่มีใครสนใจหรอก
แต่เท่าที่นางแลเห็น ลูกสาวทั้งสามของนางไม่ด้อยไปกว่าลูกชายบ้านไหนเลยเสียด้วยซ้ำไป
เอาแค่เรื่องที่ไม่ว่าลูกจะกินอะไรก็นึกถึงแม่ที่ไร้ประโยชน์อย่างนางนั้น นางก็ดูออก
“แม่เอง…ที่ทำพวกเจ้า…ลำบาก…” แม่โจวกล่าวพร้อมน้ำตาคลอเบ้า
จางซิ่วเอ๋อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มไม่ดี จึงรีบเอ่ยยิ้ม ๆ “ลำบากอะไรกัน ไม่มีแม่คลอดพวกเราออกมา พวกเราก็คงไม่มีชีวิต ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ลำบาก”
จางซิ่วเอ๋อพูดได้ดี แม่โจวพอได้ฟังความโศกเศร้าภายในใจก็ทุเลาลง และยิ้มออกทันควัน
แม่โจวก็รู้สึกตัวในตอนนี้แล้วว่าลูกสาวคนโตของตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง แน่นอนว่านางก็หวังว่าลูกสาวจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางแบบนี้ ดีกว่าท่าทางหงิม ๆ เมื่อก่อนเยอะ
ถ้าซิ่วเอ๋อยังมีนิสัยเหมือนก่อน นางคงยากจะสบายใจ ต้องคอยกังวลว่าไม่รู้ซิ่วเอ๋อจะเครียดจนฆ่าตัวตายอีกเมื่อไหร่
ตอนนี้เหรอ….
แม่โจวมองจางซิ่วเอ๋อที่มีรอยยิ้มเปื้อนหน้า จากนั้นใบหน้าของแม่โจวจึงมีรอยยิ้มปลื้มใจ ซิ่วเอ๋อแบบนี้น่ะไม่ฆ่าตัวตายหรอก
ถึงแม้แม่โจวจะแปลกใจกับความเปลี่ยนแปลงของจางซิ่วเอ๋อ แต่ก็มีคำตอบในใจให้ตัวเองแล้ว นางคิดว่าจางซิ่วเอ๋อต้องเจอความเปลี่ยนแปลงแบบวิกฤติ และเกือบตายมาจนจะกลายเป็นแบบนี้
คนเราถ้าแม้แต่ตายยังไม่กลัว ไอ้เรื่องจากนิสัยหงิม ๆ กลายเป็นเข้มแข็งขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แม่โจวก็ไม่ลังเลอีกต่อไป และเริ่มกินอาหารบนโต๊ะ
เนื้อบนกระดูกมีเอ็นติดอยู่ไม่มากก็น้อย จางซิ่วเอ๋อต้มเอ็นจนเปื่อย พอเอาเข้าปากแล้วก็ได้รสสัมผัสดีอย่าบอกใคร
แม่โจวแทบอยากจะกลืนลิ้นลงไปเสียด้วยซ้ำ
พอกัดแผ่นแป้งข้าวโพดแท้อีกคำ แม่โจวแทบร้องไห้ออกมา
นี่นางไม่ได้กินของดีแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ
เมื่อก่อนตอนเป็นสาวในเรือน ที่บ้านเดิมต่อให้ที่บ้านจะจนและลำบากแค่ไหน ตอนเทศกาลปีใหม่ก็ได้กินแผ่นแป้งข้าวโพดแท้แบบนี้
พอมาถึงตระกูลจาง ปีใหม่ปีแรกนางคลอดลูกสาวคนโต ตั้งแต่อยู่ไฟก็โดนดูถูกสารพัด อย่าว่าแต่แผ่นแป้งข้าวโพดแท้เลย ต่อให้แผ่นแป้งผสมธัญพืชก็ไม่มีให้นางกินจนพออิ่ม
แม่โจวกินแผ่นแป้งไป 4 ชิ้นรวด และกินกับอีกมาก
โชคดีที่วันนี้ตอนจางซิ่วเอ๋อทำกับข้าวนางทำเผื่อมื้อเย็นด้วย จึงทำมาเยอะพอสมควร ต่อให้ทั้งสี่คนกินจนพุงกางก็เหลือเฟือ
แต่พอจางซิ่วเอ๋อเห็นทุกคนกินจนจวนจะอิ่มแล้วก็รีบบอก “ทุกคนเลิกกินก่อน ตอนนี้ในท้องพวกเราไม่มีอะไรมัน ๆ จู่ ๆ กินของมากขนาดนี้จะท้องเสียเอา”
ไม่ใช่ว่าจางซิ่วเอ๋องกเนื้อกับแผ่นแป้งนี่หรอกนะ ต่อให้เหลือเก็บก็กินด้วยกันอยู่ดี
ต่อให้แม่โจวไม่มา จางซิ่วเอ๋อก็ต้องให้ซานหยาเอากลับไปด้วย
นางแค่เป็นห่วงว่าทุกคนจะกินเยอะเกินไป ของดีขนาดไหนก็กินจนจุกไม่ได้ ถึงเวลาไม่ใช่แค่บำรุงร่างกายไม่ได้ แต่จะทำลายร่างกายอีกต่างหาก
พอแม่โจวได้ยินจางซิ่วเอ๋อเตือนก็ได้สติ และหน้าแดงด้วยความเขินอาย “แม่กินเยอะไปหน่อย”
พูดแล้วแม่โจวก็เก้ ๆ กัง ๆ
จางซิ่วเอ๋อเห็นท่าก็รู้ว่าแม่โจวน่าจะเข้าใจผิด จึงรีบเอ่ยบอก “แม่ ตอนเย็นข้าจะให้ซานหยาเอากลับไปให้แม่กินนะ กินเยอะเดี๋ยวท้องเสีย มันไม่ดีต่อคนท้อง”
แม่โจวรู้สึกผิดในใจจริง ๆ นางก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร อาจเป็นเพราะความกระตือรือร้นของลูก ๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่ได้กินของดีขนาดนี้มาหลายปีแล้วจริง ๆ จนสุดท้ายคุมตัวเองไม่อยู่