ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 260 การรักษาพิเศษ
บทที่ 260 การรักษาพิเศษ
จางซิ่วเอ๋อเหลือบมองเถี่ยเสวียน นี่มันไร้สาระสิ้นดี! ถ้าไม่ใช่เพราะนางไม่กล้าถามเนี่ยหย่วนเฉียว นางจะมาถามเถี่ยเสวียนเช่นนี้หรือ?
หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้มา นางก็รู้สึกว่าตนไม่มีทางสงบใจลงได้อีกแล้วในตอนที่เผชิญหน้ากับเนี่ยหย่วนเฉียว
“เอาเถอะ ถ้าเจ้าไม่พูด ก็อย่ามาขวางหูขวางตาที่นี่เลย ข้ายุ่งอยู่” จางซิ่วเอ๋อพูด
เถี่ยเสวียนมองจางซิ่วเอ๋ออย่างลึกซึ้ง เมื่อคิดว่าจางซิ่วเอ๋ออาจจะกลายเป็นนายหญิงของเขาในอนาคต เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรและทำได้เพียงเดินจากไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก
ถึงเขาจะไม่สามารถยืนยันเรื่องในอนาคตได้ แต่เขาก็ต้องเริ่มจากจุดนี้และพยายามไม่ทำให้จางซิ่วเอ๋อไม่พอใจ
มิฉะนั้นถ้า…ต่อให้มีความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อย เรื่องนี้ก็เป็นจริงแล้ว
ถ้าอย่างนั้นต่อไปเขาจะต้องโชคร้ายแน่!
เถี่ยเสวียนแอบสับสนว่าเขาจะบอกจางซิ่วเอ๋อเกี่ยวกับเจ้านายของเขาดีหรือไม่? เขารู้สึกว่าถ้าเกิดบอกนางแล้ว มันก็เหมือนกับการราดน้ำมันบนกองเพลิงให้คนทั้งสอง ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาหวังไว้เลยสักนิด
แต่ถ้าไม่บอก ก็ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกผิดอีกครั้ง
เถี่ยเสวียนคิดอยู่ดังนั้นแล้วก็เดินเข้าไปในห้อง
ตอนนี้ผ้าในห้องถูกดึงออกแล้ว แสงแดดอบอุ่นสาดส่องเข้ามาภายในห้อง อาบไล้บนร่างของเนี่ยหย่วนเฉียว
เนี่ยหย่วนเฉียวนั่งอยู่ที่โต๊ะ ถือกระดาษเซวียนจื่อหนึ่งแผ่นกำลังเขียนอะไรบางอย่างด้วยท่าทางจริงจัง
เถี่ยเสวียนขยับเข้าไปใกล้และกล่าวขึ้น “เจ้านาย ท่านเขียนอะไรอยู่? เหตุใดท่านไม่พักผ่อนให้เพียงพอ? ”
เขามองแล้วพบว่าตรงหน้าเนี่ยหย่วนเฉียวมีตัวอักษรเขียนเรียงรายอยู่เป็นแถว
ซึ่งอักษรแถวแรกคือชื่อของจางซิ่วเอ๋อ
เถี่ยเสวียนตกตะลึง นายท่านไม่ได้จริงจังใช่ไหม? ตอนนี้จางซิ่วเอ๋ออยู่ข้างนอก แต่เจ้านายไม่ออกไปหาแบบตัวต่อตัว กลับแอบมานั่งเขียนชื่อจางซิ่วเอ๋อที่นี่…
เนี่ยหย่วนเฉียวหยุดเขียนแต่ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาพูด “ตัวหนังสือของนางไม่สวยนัก ทั้งนางยังอยากเรียนคัดลายมืออีก ข้าจึงเขียนแบบคัดอักษรให้นางได้ฝึกคัด”
นี่เป็นเรื่องที่เนี่ยหย่วนเฉียวรับปากจางซิ่วเอ๋อมานานแล้ว
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นคำสัญญาฝ่ายเดียว เพราะจางซิ่วเอ๋อไม่รู้เลยว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่เนี่ยหย่วนเฉียวเป็นคนตัดสินใจเอง เพียงแต่ตอนส่งสมบัติในห้องหนังสือทั้งสี่เขาไม่มีเวลามาคัดอักษรอย่างใจเย็นแบบนี้
อาศัยที่วันนี้เขาป่วยหนัก เขาจึงสามารถทำตัวว่างได้โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น แค่ต้องเขียนแบบคัดอักษรนี้อย่างเงียบ ๆ
เถี่ยเสวียนเงียบไป เจ้านายของเขาใส่ใจจางซิ่วเอ๋อมากจริง ๆ
แต่หลังจากถูกรบกวนเช่นนี้แล้ว เถี่ยเสวียนก็ลืมเรื่องที่เขากำลังจะคุยกับเนี่ยหย่วนเฉียวเสียสนิท
จางซิ่วเอ๋อล้างเห็ดให้สะอาด นางตักข้าวมาใส่ในกะละมังและนึ่งในหม้อ ทั้งนี้นางได้ผสมข้าวฟ่างลงไปบางส่วนด้วย
การกินแบบนี้ดูแปลกใหม่มาก ไม่เพียงแต่มีกลิ่นหอมจากข้าวฟ่างเท่านั้น แต่ยังมีรสชาติของข้าวขาวอีกด้วย ซึ่งมีรสโอชายิ่งนัก
หลังจากนั้นนางก็หั่นเนื้อเค็มที่หมักไว้ก่อนหน้านี้มาชิ้นหนึ่ง แช่น้ำเพื่อพยายามขจัดรสเกลือข้างในให้หมด นางตั้งใจจะใส่เนื้อเค็มลงไปในอาหารสักเล็กน้อย ถ้าไม่ล้างเกลือออกก็เกรงว่าอาหารทั้งจานคงจะเค็มเกินไป
ครั้งนี้จางซิ่วเอ๋อไม่ได้ทำอาหารมากมายนัก นางผัดเห็ดไปหนึ่งกระทะ
หลังจากนั้นจางซิ่วเอ๋อก็ทำน้ำแกงอีกอย่างหนึ่ง น้ำแกงนี้ทำมาจากผักโขม และใส่ไข่กวนลงไปสองฟอง เพื่อให้ในน้ำแกงมีไข่กวนลอยฟ่องเต็มผิว
จากนั้นก็เหลือเพียงนำอาหารขึ้นโต๊ะ
จางชุนเถา จางซานหยา บัณฑิตจ้าว และจ้าวเอ้อร์หลางนั่งอยู่ตรงนั้น
มีเพียงเถี่ยเสวียนและเนี่ยหย่วนเฉียวเท่านั้นที่ไม่ได้มา
“พี่สาว พี่ไปเรียกพวกเขามากินข้าวกันเถอะ” จางชุนเถาพูด
จางซานหยานั่งลงข้างโต๊ะสูดหายใจเข้าลึก ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่พี่สาวใช้เนื้อเค็มผัดเห็ดแบบนี้ กลิ่นหรือก็หอมน่ารับประทาน ที่สำคัญที่สุดคืออาหารจานนี้ยังมีเห็ดที่นางหามาอยู่ด้วย
ความรู้สึกที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจทำให้นางรู้สึกว่าอาหารจานนี้หอมเป็นพิเศษ
จางซิ่วเอ๋อยืนอยู่ในลานบ้านและร้องตะโกน “เถี่ยเสวียน! ออกมากินกันเถอะ! ”
เถี่ยเสวียนกำลังนอนพักผ่อนอยู่บนเตียง ครั้นได้ยินเช่นนั้น เขาก็มีท่าทางเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ ขณะที่กำลังจะวิ่งออกไปกินข้าว เขาก็ต้องหยุดเดิน “เจ้านาย เราไปกินข้าวกันเถอะขอรับ”
สีหน้าของเนี่ยหย่วนเฉียวดูมีแววไม่พอใจเล็กน้อย
ทำไมจางซิ่วเอ๋อถึงเรียกแต่เถี่ยเสวียน?
เนี่ยหย่วนเฉียวเพิ่งคิดได้ดังนั้นก็อึ้งไปเล็กน้อย เขากลายเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เขาลุกขึ้นยืนทันที พยายามทำให้ตัวเองไม่แสดงออกและเดินออกไป
ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อเริ่มจัดอาหารให้ทุกคนแล้ว
คนแรกคือบัณฑิตจ้าว จางซิ่วเอ๋อคิดว่าบัณฑิตจ้าวเป็นผู้อาวุโสที่สุด และตอนนี้เขายังเป็นอาจารย์ของนาง นางจึงให้ความเคารพบัณฑิตจ้าวมาก
นอกจากนี้นางรู้สึกว่าบัณฑิตจ้าวต้องไม่อิ่มแน่
เมื่อเนี่ยหย่วนเฉียวออกมา ก็เห็นจางซิ่วเอ๋อส่งชามข้าวให้บัณฑิตจ้าว ส่วนบัณฑิตจ้าวก็ตอบด้วยเสียงอ่อนโยน “ขอบคุณ”
นี่เป็นการใส่ร้ายบัณฑิตจ้าวจริง ๆ บัณฑิตจ้าวเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เวลาพูดกับผู้ใดก็มักจะพูดแบบนี้เสมอ ไม่ใช่แค่ตอนที่เจอกับจางซิ่วเอ๋อเท่านั้น
เนี่ยหย่วนเฉียวมองจางซิ่วเอ๋อแล้ว ในใจก็คิดถึงสิ่งที่เถี่ยเสวียนพูดในวันนี้
ถ้าอยากรู้ว่าจางซิ่วเอ๋อคิดอย่างไร ก็ต้องคอยสังเกตผู้ชายที่อยู่ข้างกายจางซิ่วเอ๋อ และดูว่าจางซิ่วเอ๋อทำดีกับใครเป็นพิเศษเหนือคนอื่น ๆ
เนี่ยหย่วนเฉียวจ้องบัณฑิตจ้าวอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะคิดในใจว่าบัณฑิตจ้าวเป็นภัยคุกคาม
อืม แต่บัณฑิตจ้าวอายุมากแล้ว และจางซิ่วเอ๋อน่าจะเพียงยกย่องเขาเท่านั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้
สรุปแล้วก็คือ บัณฑิตจ้าว… ยังคงต้องสังเกตต่อไป
โชคดีที่หลังจากที่จางซิ่วเอ๋อตักข้าวให้บัณฑิตจ้าว นางก็ตักข้าวให้ทุกคนตามลำดับ นี่แสดงให้เห็นว่าการตักข้าวให้บัณฑิตจ้าวไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไร
แต่หลังจากที่จางซิ่วเอ๋อส่งข้าวให้เถี่ยเสวียนแล้วกำลังจะส่งข้าวให้เนี่ยหย่วนเฉียว… นางก็เห็นเนี่ยหย่วนเฉียวกำลังมองนางด้วยสายตาซับซ้อนถึงขีดสุด
จางซิ่วเอ๋อรู้สึกกระวนกระวายใจ เนี่ยหย่วนเฉียวคนนี้คงไม่ได้กังวลเรื่องตอนเช้าหรอกใช่ไหม?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จางซิ่วเอ๋อก็อดกังวลไม่ได้ จางซิ่วเอ๋อรู้สึกกระวนกระวายใจจึงสะบัดมือแล้วพูดกับเนี่ยหย่วนเฉียวว่า “ในเมื่อเจ้ามาแล้ว งั้นก็ตักข้าวเองเถอะ ข้าหิวนิดหน่อยรอไม่ไหวแล้ว”
จางซิ่วเอ๋อวางทัพพีข้าวที่ทำจากไม้ไผ่ไว้ที่นั่น จากนั้นนางก็นั่งลงและเริ่มกินข้าว
ถึงเวลากินข้าวแล้ว จางซิ่วเอ๋อนั่งถัดจากเนี่ยหย่วนเฉียว
นี่เป็นนิสัยที่ก่อตัวขึ้นก่อนหน้านี้ ตอนที่เนี่ยหย่วนเฉียวอยู่ จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าเนี่ยหย่วนเฉียวเป็นคนนอก จึงไม่ใช่เรื่องดีนักที่ให้เนี่ยหย่วนเฉียวติดต่อกับน้องสาวตัวเองมากเกินไป ดังนั้นตอนกินข้าวนางจึงนั่งข้างเนี่ยหย่วนเฉียว ส่วนด้านข้างของเนี่ยหย่วนเฉียวกับเถี่ยเสวียนคือบัณฑิตจ้าวกับจ้าวเอ้อร์หลาง
ก่อนหน้านี้จางซิ่วเอ๋อไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอนางนั่งลงกับเนี่ยหย่วนเฉียวแบบนี้ นางกลับรู้สึกแปลก ๆ
เนี่ยหย่วนเฉียวมองชามเปล่าตรงหน้าเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง พลางคิดเงียบ ๆ ว่าจางซิ่วเอ๋อทำแบบนี้กับเขานั้นพิเศษกับเขามากหรือไม่? แค่ความพิเศษแบบนี้… มันอดใจไม่ไหวจริง ๆ!
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พ่อเตาผิง พ่อไมโครเวฟ เอ็นดูจังเลย แต่อย่าทำไหน้ำส้มแตกบ่อยนักสิท่าน
ไหหม่า(海馬)