ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 263 เปลี่ยนแปลง
บทที่ 263 เปลี่ยนแปลง
ช่างเป็นเรื่องดีจริง ๆ ที่ไม่สามารถกินได้แม้แต่คำเดียว!
คนผู้นี้ช่างล้มเหลวโดยแท้
เมื่อจางต้าหูวางตะเกียบและคีบเห็ดขึ้น เขาก็กินมันโดยไม่ได้คิดอะไร ในตอนนี้จางต้าหูไม่สนใจว่าตัวเองจะกินอะไรลงไปแล้ว ต่อให้มันจะมีพิษหรือไม่ก็ตาม
ความคิดเดียวในใจของเขาคือมันอร่อยเกินไป!
หากต้องตายในตอนนี้ก็คุ้มค่าแล้ว
เขากินข้าวขาวสองคำ! มันคือข้าวขาว! เป็นข้าวที่ขาวใสสุกสกาวและหอมกรุ่น!
จางต้าหูรู้สึกดีใจมาก อารมณ์ดีเสียจนเขาลืมเรื่องอื่นไปเสียสิ้น ลืมอคติที่มีต่อจางซิ่วเอ๋อ และลืมไปว่าควรจะกตัญญูต่อแม่เฒ่าจาง
จางต้าหูกินเนื้อแล้วไปกินไข่ลวก
ไข่ลวกหอมกรุ่นทำให้จางต้าหูรู้สึกว่าคงไม่มีช่วงเวลาไหนมีความสุขเท่ากับตอนนี้
จากนั้นจางต้าหูก็ดื่มน้ำแกงที่เหลือครึ่งชามจนหมด เขาถึงกับกินเศษอาหารที่เหลือจนกระทั่งหยดสุดท้าย ถ้าไม่ใช่เพราะความอับอายต่อหน้าจางซิ่วเอ๋อ จางซิ่วเอ๋อก็คิดว่าจางต้าหูคงเลียก้นจานไปแล้ว
แต่ในความเป็นจริงจางต้าหูยังคงรู้สึกอิ่มเอมใจหลังจากกินเสร็จ และดูเหมือนว่าเขาจะสนใจก้นจานเปื้อนน้ำมันนั้นจริง ๆ จนต้องการที่จะเลียมัน
จางซิ่วเอ๋อรีบเดินเข้าไปเก็บจาน นางไม่สามารถปล่อยให้จางต้าหูเลียก้นจานได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้นางจะล้างจานจนสะอาด นางก็จะรู้สึกมีเงามืดในใจอยู่ทุกครั้งที่ใช้จานใบนี้
จางต้าหูมองจางซิ่วเอ๋อที่คว้าจานไปจากเขาด้วยสายตาผิดหวัง
จางซิ่วเอ๋อกวาดสายตามองจางต้าหูและพูดว่า “เรื่องที่ท่านกินข้าวที่นี่ในวันนี้ ท่านอย่าบอกท่านย่าข้านะ”
จางต้าหูได้ยินดังนั้นก็มีใบหน้าแดงขึ้น พลันรู้สึกทั้งอับอายและละอายใจ เขากินคนเดียวโดยไม่ได้ส่งให้แม่ของเขาเลยสักนิด
มองสายตาเป็นประกายของเขาแล้ว จางซิ่วเอ๋อก็รู้ได้ว่าจางต้าหูกำลังคิดอะไรอยู่
จางซิ่วเอ๋อเหลือบมองจางต้าหู “ขนาดตอนที่ท่านกินท่านยังไม่ได้คิดเลย ตอนนี้ไปบอกมันจะมีประโยชน์อะไร? เมื่อถึงเวลานั้นท่านย่าจะไม่โกรธพวกเราหรอก แต่นางจะโกรธท่านคนเดียว!”
จางต้าหูจมดิ่งสู่ห้วงความคิด
จางซิ่วเอ๋อทำสีหน้าเรียบเฉย “แต่ถ้าท่านอยากจะพูดก็พูดไปเถอะ อย่างไรข้าก็ไม่เอาของมาให้ท่านกินทุกครั้งหรอก ถ้าย่าข้ารู้ว่าท่านได้กินเหมือนแม่ข้า และได้กินอิ่มทุกวัน หลังจากนั้นท่านก็คงต้องหิวโหย”
ที่จริงแล้วจางซิ่วเอ๋อไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องที่ว่าแม่เฒ่าจางจะรู้เรื่องนี้หรือไม่
ต่อให้แม่เฒ่าจางรู้แล้วจะทำอะไรได้?
เหตุผลที่นางไม่ยอมให้จางต้าหูพูดในตอนนี้ ก็เพราะรู้สึกว่าช่วงนี้จางต้าหูทำผลงานได้ไม่เลว และดูเหมือนจะกลับตัวกลับใจได้ แน่นอนว่าจางซิ่วเอ๋อไม่มั่นใจในการเปลี่ยนแปลงของจางต้าหูเลย
แต่จางซิ่วเอ๋อยังรู้สึกว่าอยากจะลอง หากเห็นว่าจางต้าหูมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ดังนั้นในบั้นปลายชีวิตของแม่โจวก็จะมีที่พึ่ง
เรื่องหย่าร้างไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรในยุคปัจจุบัน แต่ในสมัยโบราณนั้นเป็นเรื่องยากลำบากเกินไป ถึงตอนนั้นต่อให้หย่ากัน ต่อให้ฝ่ายหญิงไม่ผิด สุดท้ายแล้วคนที่ได้รับคำติฉินนินทามากที่สุดก็ต้องเป็นฝ่ายหญิง
บวกกับตอนนี้แม่โจวยังไม่มีลูกชายเลย ถ้าในท้องเป็นลูกสาวอีกคน คงหนีไม่พ้นการถูกครหาว่าเป็นคนอกตัญญูต่อตระกูล นี่เป็นหนึ่งในกฎเจ็ดหย่าสามไม่หย่า*ที่บังคับใช้ในยุคสมัยนี้
*กฎหมายจารีตในสมัยโบราณของจีน ฝ่ายชายสามารถฟ้องหย่าฝ่ายหญิงได้ เพียงแค่อีกฝ่ายมีการกระทำที่เข้าข่ายหนึ่งในเจ็ดประการ อันได้แก่ อกตัญญูต่อบิดามารดา ไร้ทายาทสืบสกุล คบชู้สู่ชาย อิจฉาริษยา เป็นโรคร้ายแรง ขี้นินทา และลักขโมย
พูดง่าย ๆ ก็คือไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ขอเพียงทั้งสองคนไม่อยากอยู่ด้วยกัน ก็เกือบจะแน่ใจแล้วว่าแม่โจวจะต้องถูกขับไล่แน่ ๆ
ผู้หญิงที่ถูกหย่าในสมัยโบราณถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป มีแต่คนถ่มน้ำลายใส่จนแทบจะจมน้ำตาย!
สรุปแล้ว การลองเสี่ยงในเรื่องนี้ดูก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรมากนัก
แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่จางซิ่วเอ๋อก็รู้สึกว่ามันช่วยสร้างความร้าวฉานระหว่างจางต้าหูกับแม่เฒ่าจางได้
ครั้งนี้หากจางต้าหูไม่บอกแม่เฒ่าจาง คราวหน้าจางต้าหูก็อาจจะไม่บอกแม่เฒ่าจาง และครั้งต่อ ๆ มา จางต้าหูก็เรียนรู้ที่จะกินคนเดียวได้
ใช่แล้ว ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อแค่อยากจะสอนจางต้าหูให้กินคนเดียว อย่ามัวแต่คิดถึงแม่เฒ่าจาง
หลังจากสองครั้งผ่านไป จางต้าหูอาจจะรู้สึกผิดบ้าง แต่พอหลายครั้งผ่านไป จางต้าหูอาจเริ่มหาข้อแก้ตัวสำหรับเขาแล้ว ครั้นมีข้อแก้ตัวแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปเขาจะไม่รู้สึกผิดใด ๆ
แม่โจวมองจางต้าหูแล้วพูดเสียงอู้อี้ “ข้าอุตส่าห์แงะอาหารจากซอกฟันเก็บไว้ให้ท่านแล้ว หากท่านบอกท่านแม่ นางต้องสร้างปัญหาแน่! ”
จางซิ่วเอ๋อเบิกตากว้างและมองไปที่แม่โจว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจางต้าหูถึงเปลี่ยนไป
นอกจากตระกูลโจวจะเคยทะเลาะกับจางต้าหูจนทำให้เขาหวาดกลัวไม่อยากไร้ทายาท อีกเรื่องหนึ่งก็คือแม่โจวได้เปลี่ยนไปแล้ว
แม่โจวคนก่อนรู้เพียงว่านางต้องนอบน้อมเชื่อฟังจางต้าหูเท่านั้น เมื่อใดกันที่นางพูดกับจางต้าหูเช่นนี้? โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดที่โน้มน้าวจิตใจจางต้าหูและไม่สามารถโต้แย้งได้?
จางซิ่วเอ๋อมองแม่โจวอย่างสงสัย คิดไม่ถึงว่าแม่โจวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
เป็นเรื่องหนึ่งที่จางซิ่วเอ๋อไม่รู้มาก่อนเลย
ก่อนที่หยางชุ่ยฮวาจะออกจากตระกูลโจว นางก็ได้พบกับแม่โจว จากนั้นไม่นาน นางได้บอกแม่โจวอย่างละเอียดว่าจะจัดการกับผู้ชายของนางอย่างไร
ดูจากสถานะของหยางชุ่ยฮวาในตระกูลโจวแล้ว จะพบว่าหยางชุ่ยฮวาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ทีเดียว!
แม่โจวฟังแล้วเหมือนนางจะเข้าใจอยู่บ้าง ถึงแม้จะยังกังขากับสิ่งที่หยางชุ่ยฮวาพูด แต่หลังจากนั้นนางก็ลองทำดูและพบว่ามันใช้งานได้จริง
เช่นเดียวกับที่หยางชุ่ยฮวาพูด บางครั้งบุรุษก็ทำตัวไม่ดีและจำเป็นต้องบอกพวกเขาอย่างต่อเนื่องว่าควรทำอย่างไร ลมข้างหูนี้ต้องเป่าแรง ๆ
และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับบุรุษ การพึ่งพาแต่ความคิดของเขาจะเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ เวลาต้องการอะไรจากบุรุษจะต้องบอกและแจ้งกับเขาให้รู้ว่าตนลำบากแค่ไหน
เด็กที่ร้องไห้เป็นจะได้กินขนม!
ตอนนี้แม่โจวเข้าใจความจริงบางอย่างแล้ว
แม้ว่านางจะเข้าใจถึงเหตุผลนี้ช้าไปบ้าง แต่มันก็ยังได้ผล แม้ว่าจางต้าหูจะยังทำเรื่องที่ชวนโมโหอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือจางต้าหูแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมาก
หากไม่เปรียบเทียบกันก็ไม่รู้ ครั้นเอาจางต้าหูตอนนี้มาเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนหน้านี้ แม่โจวก็รู้สึกว่าจางต้าหูในตอนนี้ก็ใช่ว่าจะเหลือทนนัก ยังทำให้นางรู้สึกมีความสุขขึ้นมาบ้าง
ก็เหมือนกับคนดีที่ทำสิ่งดี ๆ มาตลอดแล้วจู่ ๆ ทำเรื่องไม่ดีขึ้นมา ก็เป็นเรื่องยากจะทนได้
แต่ต่อให้เขาจะเป็นคนดี เขาก็ไม่เคยทำอะไรเลย จู่ ๆ วันหนึ่งเขาเกิดรู้แจ้งเห็นธรรมและเริ่มกระทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จ มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะยอมรับเขา
ซึ่งจางต้าหูเป็นกรณีหลัง
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะที่เห็นแม่โจวกับจางต้าหูมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาบ้าง เมื่อก่อนเอาแต่แปลไปด่าไป ขอบคุณนะที่ลุกมาเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง ไม่ทำให้ผู้แปลต้องปวดหัวว่าเมื่อไหร่สองคนนี้จะหายโง่หายยอมคนกัน
ไหหม่า(海馬)