ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 266 ดอกเบญจมาศ
บทที่ 266 ดอกเบญจมาศ
ทำไมมันถึงเป็นเช่นนี้ในแบบที่ยากจะอธิบาย?
เนี่ยหย่วนเฉียวรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปแล้ว
อืม ดูเหมือนเขาจะไม่รู้จักตัวเองแล้ว
เนี่ยหย่วนเฉียวอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ “ข้าเป็นอะไรไป? ”
จางซิ่วเอ๋อมองเนี่ยหย่วนเฉียวอย่างสงสัย “เป็นอะไรไป? ”
เนี่ยหย่วนเฉียวได้สติกลับมาจากความคิดและมองไปที่จางซิ่วเอ๋อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา
จางซิ่วเอ๋อที่อยู่ตรงหน้าเขาเหมือนกับดอกเบญจมาศป่าในภูเขา ต่อให้ไม่ได้งามเลิศนัก แต่นางก็ให้ความรู้สึกสดชื่นและเป็นธรรมชาติ และเต็มไปด้วยพลังชีวิต
ดวงตาของนางเป็นประกายราวกับดวงดาวที่สุกสว่างที่สุดในคืนนั้น ซึ่งดวงตาคู่นั้นกำลังมองเขาอยู่
เมื่อมองไปยังจางซิ่วเอ๋อตรงหน้า เนี่ยหย่วนเฉียวพลันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะชอบการเปลี่ยนแปลงแบบนี้
“เฮ้ ทำไมเจ้าถึงมองข้าแบบนั้น? ข้ามีดอกไม้ติดบนหน้าหรือ? “จางซิ่วเอ๋ออดถามไม่ได้ นางคิดว่าหนิงอันคนนี้แปลกไปมาก! ความคิดของเขาเป็นเรื่องยากที่คนธรรมดาจะเข้าใจ
“ใบหน้าของเจ้าไม่มีดอกไม้หรอก ข้าแค่คิดว่าเจ้าเหมือนดอกไม้” เนี่ยหย่วนเฉียวตัดสินใจทำตามใจตัวเองและพูดความคิดของตัวเองออกมา
จางซิ่วเอ๋อพูดอย่างสบาย ๆ “ข้าว่าสายตาเจ้าต้องไม่ดีแน่ ข้าเหมือนดอกไม้งั้นเหรอ? อย่างมากก็เป็นเพียงวัชพืชต่างหาก! ”
เนี่ยหย่วนเฉียวกำลังจ้องมองจางซิ่วเอ๋อและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและชมเชยว่า “เจ้าเหมือนดอกเบญจมาศมาก”
เนี่ยหย่วนเฉียวคิดว่าดอกเบญจมาศป่าดูไม่งดงามเท่าดอกเบญจมาศ จึงตัดสินใจไม่พูดคำว่า ‘ป่า’ ออกมา และพูดแค่นี้แทน
ก่อนที่เขาจะมารับจางซิ่วเอ๋อ เถี่ยเสวียนก็บอกว่าสตรีทุกคนน่าจะชมชอบกับการถูกยกย่อง
เพื่อให้จางซิ่วเอ๋อไม่รังเกียจเขา เขาจึงตัดสินใจยกย่องจางซิ่วเอ๋อ
จางซิ่วเอ๋อเกือบจะสำลักออกมาเมื่อได้ยินดังนี้ นางถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าคิดว่าข้าเหมือนอะไร? เหมือนอะไรนะ? ”
“ดอกเบญจมาศ!” เสียงของเนี่ยหย่วนเฉียวทั้งลึกและแหบพร่า ชมเชยจากใจจริง
จางซิ่วเอ๋อมองเนี่ยหย่วนเฉียวนิ่ง ๆ ก่อนผละจากไปตรงหน้าเนี่ยหย่วนเฉียว
เนี่ยหย่วนเฉียวรู้สึกว่าจางซิ่วเอ๋ออารมณ์ไม่ดี จึงคิดในใจ หรือว่าหลังจากที่นางถูกชมเชยแล้ว จะตื่นเต้นและขี้อายจนไม่กล้าเจอใคร?
แต่เมื่อครู่เขาพยายามกลั่นกรองคำพูดออกมา นี่อาจไม่ใช่คำพูดที่มีวาทศิลป์นัก แต่ก็มาจากความคิดของเขา!
จางซิ่วเอ๋อเดินพลางคิดไปพลาง นางไม่สนใจหนิงอันจริง ๆ!
นางไม่อยากอธิบายอะไรให้หนิงอันฟังด้วย!
แม้ว่านางจะรู้สึกว่าดอกเบญจมาศเป็นสัญลักษณ์ของความสวยงาม แต่ในฐานะคนสมัยใหม่นางไม่สามารถยอมรับคำคำนี้ได้!
(เหตุที่จางซิ่วเอ๋อโกรธเพราะถูกชมว่าเหมือนดอกเบญจมาศ อาจเป็นเพราะดอกเบญจมาศในยุคหลังเป็นดอกไม้ที่ใช้ประดับหน้าโลงศพในงานศพ)
เนี่ยหย่วนเฉียวรีบเดินตามหลังจางซิ่วเอ๋อไปราวกับวิญญาณ
เมื่อมาถึงบ้าน จางซิ่วเอ๋อไม่แม้แต่จะมองเนี่ยหย่วนเฉียว และปิดประตูใส่ทันที
ดังนั้นจึงเหลือเนี่ยหย่วนเฉียวยืนอยู่คนเดียวในลานบ้าน
เขาเงยหน้ามองดวงจันทร์บนท้องฟ้า มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ๆ เวลานี้เขากลับรู้สึกว่าท่าทางเขินอายและโกรธเคืองของนางช่างน่ารักยิ่งนัก
วันถัดมา
มันเป็นวันที่มืดครึ้ม จนจางซิ่วเอ๋อกังวลว่าฝนจะตก ถ้าเกิดนางติดฝนอยู่บนภูเขามันคงเป็นเรื่องอันตรายมาก ดังนั้นนางจึงไม่ได้ออกไปไหนเลย
ส่วนหญ้าหมูที่จางซานหยาจะต้องเก็บทุกวัน? จางซิ่วเอ๋อและจางชุนเถาได้ตามพวกเขาไป จนพบกันที่สถานที่ข้างป่าผีสิง ทั้งสี่คนทำงานด้วยกัน และหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เสร็จ
เวลาที่เหลือทุกคนจึงอยู่ในบ้าน
วันนี้มีเวลาเหลือเฟือ จางซิ่วเอ๋ออยากจะกินเกี๊ยวนึ่ง ดังนั้นนางจึงวางแผนจะทำเกี๊ยวตัวใหญ่ไส้แน่น ๆ
นี่เป็นเพราะเมื่อเช้ามีคนขายเนื้อหมูมาที่หมู่บ้าน จางซิ่วเอ๋อได้ยินตอนที่นางตัดหญ้าหมูอยู่ตรงริมแม่น้ำข้างป่าผีสิง
นางซื้อเนื้อหมูสามชั้นมา 2 ชั่ง แล้วคลุกผสมกับผักกาดขาว เพิ่มกุ้งฝอยแห้งจากแม่น้ำลงไปเล็กน้อย เกี๊ยวนึ่งที่ออกมาต้องอร่อยมากแน่ ๆ!
การทำเกี๊ยวนั้นต้องใช้แป้งหมี่ แต่จะทำให้ผิวดูหนา ดังนั้นจางซิ่วเอ๋อจึงผสมน้ำอุ่นกับแป้งหมี่โดยตรง วิธีนี้จะทำให้เปลือกเกี๊ยวบางและยัดไส้ได้มาก
ซึ่งมันเหมาะที่จะนึ่ง!
ตอนนี้บัณฑิตจ้าวกำลังสอนจางชุนเถาและคนอื่น ๆ เขียนและอ่านหนังสือ
บัณฑิตจ้าวเองก็ยุ่งมาก ตอนแรกสามพี่น้องตระกูลจางสามารถเรียนพร้อมกันได้ แต่ตอนนี้สามพี่น้องต้องแยกกันเรียนแล้ว
ไม่ใช่ว่าทั้งสามคนไม่อยากเรียนด้วยกัน แต่ตอนนี้ทุกคนมีความก้าวหน้าไม่เหมือนกัน
เนื่องจากจางซิ่วเอ๋อมีความรู้เกี่ยวกับชาติที่แล้ว นางจึงไม่อยากเรียนคัมภีร์สามอักษรหรือตำราพันอักษร สิ่งที่นางต้องทำคืออ่านออกเขียนได้! เป้าหมายของนางเป็นเช่นนั้น
จางซานหยายังมีอายุน้อยเกินไป ความเร็วในการอ่านออกเขียนได้จึงช้ากว่าทุกคนเล็กน้อย
ส่วนจางชุนเถานั้น บัณฑิตจ้าวเริ่มให้ความสำคัญกับการอบรมสั่งสอนแล้ว แน่นอนว่าไม่ใช่บัณฑิตจ้าวที่ลำเอียง แต่เขาเป็นคนสอนตามความคิดของสามพี่น้อง
จางชุนเถาเสนอว่าต้องอ่านหนังสือให้มาก ดังนั้นตอนนี้บัณฑิตจ้าวจึงไม่เพียงสอนจางชุนเถาให้อ่านออกเขียนได้เท่านั้น แต่ยังสอนให้จางชุนเถาฟังด้วย และให้จางชุนเถาไปอ่านหนังสือบางเล่ม
ของพวกนี้จางซิ่วเอ๋อไม่สนใจที่จะฟัง และจางซานหยาก็ไม่เข้าใจ
ด้วยเหตุนี้ บัณฑิตจ้าวจึงยุ่งอยู่กับงานมากขึ้น
โชคดีที่สภาพร่างกายของบัณฑิตจ้าวดีขึ้นมาก อย่างน้อยเขาก็เดินได้โดยไม่มีอาการหอบแล้ว
นอกจากนี้บัณฑิตจ้าวยังชอบความรู้สึกที่วุ่นวายเช่นนี้มาก อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เขารู้สึกเหมือนคนไร้ความสามารถ และไม่ทำให้เขารู้สึกสูญเปล่า
จางซิ่วเอ๋อหั่นผักกาดขาวและโรยเกลือเล็กน้อย นางต้องการทำให้มันสลด ก่อนจะเริ่มสับเนื้อ
ในเวลานี้เองเนี่ยหย่วนเฉียวได้เดินเข้ามาหานาง “ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
จางซิ่วเอ๋อชำเลืองมองเนี่ยหย่วนเฉียววูบหนึ่ง แล้วยื่นมีดทำครัวในมือให้เนี่ยหย่วนเฉียวทันที
เห็นเพียงเนี่ยหย่วนเฉียวหยิบมีดทำครัวขึ้นมา มือของเขาก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็สับเนื้อจนแหลกละเอียด
ในเวลานี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีขึ้นแล้ว
ถึงตอนเที่ยงเกี๊ยวนึ่งก็เสร็จสมบูรณ์ออกจากหม้อ เกี๊ยวนึ่งของจางซิ่วเอ๋อมีขนาดใหญ่มาก แต่ละชิ้นมีขนาดเท่าฝ่ามือ กัดเนื้อเต็มปากเป็นไส้เกี๊ยว และเนื้อสัมผัสเปลือกเกี๊ยวก็ดีมาก
จางซิ่วเอ๋อแอบคิดในใจ น่าเสียดายที่ตอนนี้นางไม่มีพริกแดง
คราวหน้าตอนไปตลาดคงต้องอย่าลืมซื้อไว้บ้าง ถึงเวลาจะได้ทำน้ำมันพริกกินกับเกี๊ยวนึ่ง แค่คิดก็น้ำลายไหลแล้ว
จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าหม้อหนึ่งยังไม่พอกิน จึงนึ่งหม้อสอง
ตอนที่กินเกี๊ยวหม้อใบแรกกันอยู่นั้นหม้อที่สองกำลังนึ่ง รอให้ทุกคนกินเกี๊ยวในหม้อใบแรกเสร็จ เกี๊ยวหม้อที่สองก็จะสุกพอดี
จางซิ่วเอ๋อเห็นเกี๊ยวนึ่งถูกกินจนหมด นางก็หยิบหม้อขึ้นมาอีกใบ
ครั้งนี้จางซิ่วเอ๋อเก็บเกี๊ยวนึ่งไว้สิบชิ้นให้แม่โจว ส่วนเกี๊ยวที่เหลือถูกยกมาให้คนอื่น ๆ
“แม่นางซิ่วเอ๋อ มื้อต่อไปทำเกี๊ยวอีกได้ไหม?” เถี่ยเสวียนกินเกี๊ยวชิ้นสุดท้ายในชามและรู้สึกว่ามันยังไม่พอ
จางซิ่วเอ๋อเหลือบมองเถี่ยเสวียน “ข้าจำได้ว่าเจ้ายังอยากกินเห็ดผัดเนื้ออยู่เลย”
เมื่อวานนี้เถี่ยเสวียนตะโกนและต้องการที่จะกินเห็ดผัดเนื้อ แต่วันนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
พยายามต่อไปนะพ่อเตาผิง อย่างน้อยก็มีความตั้งใจดีที่จะชมเขา
ผู้แปลเองก็อยากกินเกี๊ยวนึ่งเหมือนกันน้า
ไหหม่า(海馬)