ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 290 อรุณสวัสดิ์
บทที่ 290 อรุณสวัสดิ์
จางซิ่วเอ๋อเล่าทุกอย่างด้วยรอยยิ้ม
ก่อนหน้านี้นางยังรู้สึกโมโหเพราะเรื่องนี้อยู่ แต่ตอนนี้ได้สติกลับมาแล้ว ดูเหมือนการไปครั้งนี้จะไม่ได้เสียเปรียบอะไร มิหนำซ้ำยังได้สร้างความร้าวฉานระหว่างตระกูลเถาและตระกูลจางด้วย
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้ช่างน่าขันไม่น้อย
เมื่อเล่าจบ จางซิ่วเอ๋อก็ชะงักไปนิดหน่อย “ท่านแม่ของข้าไม่เป็นอะไร”
พูดมาถึงตรงนี้ จางซิ่วเอ๋อมองท่านหมอเมิ่งและเอ่ยถาม “ท่านหมอเมิ่ง น้องสาวข้า…..จะไม่เป็นไรจริง ๆ ใช่ไหมเจ้าคะ?”
“น้องสาวเจ้าฟื้นตั้งแต่ตอนที่ข้าไปตรวจสอบบาดแผลให้นางแล้ว” ท่านหมอเมิ่งบอก
จางซิ่วเอ๋อได้ยินดังนั้นก็โล่งอก ดูท่าจางซานหยาจะพอรู้เรื่องอยู่ ตอนนั้นแค่ไม่อยากฟื้นและจงใจโยนความผิดให้คนตระกูลเถา
จางซิ่วเอ๋อลอบถอนหายใจ จางซานหยาได้นิสัยไม่ดีของนางไปหรือไม่กันนะ? ถ้าเป็นแต่ก่อนจางซานหยาจะทำอะไรแบบนี้ได้อย่างไร?
แต่ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ก็ทำให้จางซิ่วเอ๋อรู้สึกดีใจ
ดีกว่าซื่อเกินไปจนโดนคนอื่นรังแก
ท่านหมอเมิ่งมองจางซิ่วเอ๋อและเอ่ยขึ้น “หน้าเจ้าเป็นแผลหนักไหม? เจ้ามานี่เถิดข้าจะดูให้”
จางซิ่วเอ่อพยักหน้าและเดินไปอยู่ตรงหน้าท่านหมอเมิ่ง
ท่านหมอเมิ่งเป็นหมอ จางซิ่วเอ๋อจึงไม่นึกถึงเรื่องที่ควรรักษาระยะห่างระหว่างชายหญิง
ท่านหมอเมิ่งยื่นมือไปแตะจุดที่เขียวช้ำบนหน้าของจางซิ่วเอ๋อและกล่าว “เจ็บมากไหม?”
น้ำเสียงของท่านหมอเมิ่งมีแต่ความเป็นห่วง
จางซิ่วเอ๋อฟังแล้วอบอุ่นหัวใจ จึงตอบไปว่า “ข้าไม่คิดว่าร้ายแรงมากหรอกเจ้าค่ะ ไม่กี่วันก็หายแล้ว”
ท่านหมอเมิ่งพยักหน้าและหยิบยาขวดหนึ่งให้จางซิ่วเอ๋อ “ก่อนนอนทายานี้นะ จะช่วยให้แผลหายไวขึ้น”
จางซิ่วเอ๋อพยักหน้าก่อนจะเอ่ยถาม “ยานี้ราคาเท่าใด? ข้าจะจ่ายให้ท่านอาเดี๋ยวนี้เลย”
จางซิ่วเอ๋อรู้ว่าท่านหมอเมิ่งให้ยากับตนด้วยความเป็นห่วง ไม่ได้คิดเรื่องตำลึงเงิน แต่จะให้นางใช้ของท่านหมอเมิ่งเฉย ๆ นั้น จางซิ่วเอ๋อทำไม่ได้
ท่านหมอเมิ่งช่วยนางมามากแล้ว นางจะเอาแต่เอาเปรียบท่านหมอเมิ่งไม่ได้ถูกไหม?
ท่านหมอเมิ่งได้ยินแบบนี้แล้วก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย “เจ้าต้องแยกแยะชัดเจนขนาดนี้เชียวหรือ?”
“ท่านอาเมิ่ง ข้ารู้ว่าอาหวังดี แต่….ข้าละอายแก่ใจจริง ๆ” จางซิ่วเอ๋อพูดพลางหน้าแดง
ท่านหมอเมิ่งก็จนปัญญา จึงเอ่ยขึ้น “เจ้าเอาไปเถอะ ไม่ได้กินกับข้าวที่เจ้าทำพักใหญ่แล้ว ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้สะดวกทำกับข้าวให้ข้ากินสักมื้อไหม?”
มาถึงตอนนี้ จางซิ่วเอ๋อรู้แล้วว่าตัวเองคงจะปฏิเสธไม่ได้ จึงบอกออกไป “สะดวกเจ้าค่ะ ๆ”
นางรู้สึกได้ว่าหากตัวเองพูดเรื่องยาอีก ท่านหมอเมิ่งต้องโกรธแน่
จางซิ่วเอ๋อรำพึงในใจ พรุ่งนี้ต้องทำกับข้าวเยอะ ๆ เพื่อตอบแทนท่านหมอเมิ่ง ไหนจะจ้าวเอ้อร์หลางอีก ครั้งนี้หากไม่ได้จ้าวเอ้อร์หลางนางก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะทำอย่างไร
นี่ก็มืดมากแล้ว แต่ท่านหมอเมิ่งกับบัณฑิตจ้าวก็ตั้งใจมาเยี่ยมจางซิ่วเอ๋อ เมื่อแน่ใจแล้วว่าจางซิ่วเอ๋อไม่เป็นอะไรจึงไม่อยู่นาน
อย่างไรพวกเขาก็เป็นบุรุษกันทั้งคู่ ค้างคืนที่บ้านของจางซิ่วเอ๋อดูจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก
หลังจากที่พวกเขากลับไปแล้ว จางซิ่วเอ๋อก็เตรียมตัวเข้านอน
วันนี้นางเหนื่อยเหลือเกิน การทะเลาะกับคนอื่นนอกจากต้องใช้สมองแล้วยังต้องใช้พละกำลังด้วย ซึ่งจางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าเหนื่อยยิ่งกว่าไปทำงานในไร่อีก
จางซิ่วเอ๋อหลับจนถึงตอนสายถึงได้ตื่น
จางซิ่วเอ๋อเดินออกมาจากห้องไม่นานก็เห็นว่าในลานบ้านมีไก่ป่าสองตัว กระต่ายป่าหนึ่งตัว พวกมันยังมีชีวิตอยู่ทั้งคู่ และขณะนี้ถูกมัดไว้ด้วยกัน
จางซิ่วเอ๋อมองไปทางห้องของเนี่ยหย่วนเฉียวตามสัญชาตญาณ
บัดนี้หน้าต่างห้องโน้นได้เปิดออกแล้ว
นางมองผ่านหน้าต่างเข้าไปก็เห็นเนี่ยหย่วนเฉียวในชุดเทาที่กำลังนั่งเขียนอะไรอยู่ที่โต๊ะ ส่วนเถี่ยเสวียนตอนนี้กำลังนอนพิงเตียงและเปิดอ่านหนังสือที่เอามาจากไหนไม่รู้อย่างหงุดหงิดใจ
เนี่ยหย่วนเฉียวในห้องเหมือนจะสัมผัสถึงสายตาของจางซิ่วเอ๋อได้ จึงเงยหน้ามองมาทางนาง
จางซิ่วเอ๋อเดินหน้าไปอีกสองสามก้าว ขยับริมฝีปากตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อคำพูดมาจ่ออยู่ที่ปากแล้วกลับไม่รู้จะพูดอะไร
ขอบคุณที่หนิงอันนำกระต่ายมาให้? จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าตัวเองพูดขอบคุณทุกวัน พูดบ่อยจนดูไม่มีความจริงใจเอาเสียเลย กลับดูน่ารำคาญมากกว่า แถมนี่ถือว่าเป็นค่าอาหารของหนิงอัน ไม่จำเป็นต้องขอบคุณอะไร
ถามว่าเมื่อคืนนี้หนิงอันไปล่าสัตว์มาเหรอ? เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่
มิฉะนั้นด้วยความสามารถของหนิงอันและเถี่ยเสวียน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เอาของป่ากลับมาแค่นี้หรอก
แต่ถ้านางถาม จะดูเหมือนหลอกถามหนิงอันว่าเมื่อคืนไปทำอะไรมา
แม้ว่านางจะ….สงสัย….อยู่นิดหน่อย แต่นางก็รู้ว่าตัวเองไม่ควรถาม
สายตาของเนี่ยหย่วนเฉียวลึกล้ำดั่งบ่อน้ำโบราณ เงียบไปชั่วขณะ
ดูเหมือนชั่วขณะนั้นทั้งสองลืมไปหมดแล้วว่าต้องพูดอะไร หรืออาจไม่รู้ว่าต้องเอ่ยปากอย่างไร ผ่านไปพักใหญ่ทั้งสองก็เอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์”
คำเดียวกันออกจากปากของทั้งคู่และเสียงซ้อนเข้าด้วยกัน
เถี่ยเสวียนได้ยินแล้วเงยหน้ามาพูด “ไม่เช้าแล้ว นี่จะเที่ยงอยู่แล้ว แม่นางซิ่วเอ๋อรีบทำกับข้าวเถอะ”
เถี่ยเสวียนไม่ได้กินข้าวเช้า ตอนนี้หิวมาพักใหญ่แล้ว
จางซิ่วเอ๋อเงยหน้ามองดวงตะวันทอแสงแรงกล้าแล้วกระอักกระอ่วนนิดหน่อย นางพึมพำ “ไม่เช้าแล้วจริง ๆ ด้วย”
เนี่ยหย่วนเฉียวกลับนิ่งเป็นพิเศษ เขามองจางซิ่วเอ๋ออย่างพิจารณา นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยและถามเสียงเข้ม “แผลบนหน้าเจ้า….ยังเจ็บอยู่ไหม?”
จางซิ่วเอ๋อมองเนี่ยหย่วนเฉียวอย่างแปลกใจ นางรู้สึกว่าที่เนี่ยหย่วนเฉียวถามมานั้นไม่ค่อยปกติ แต่จางซิ่วเอ๋อคิดไม่ออกจริงๆ ว่าไม่ปกติตรงไหน
จางซิ่วเอ๋อตอบโดยไม่คิดอะไร “ไม่เป็นไรหรอก แผลเล็กน่ะ”
จากนั้นนางมองเถี่ยเสวียนและเอ่ยขึ้น “ข้าจะไปทำกับข้าวเดี๋ยวนี้แหละ”
จะว่าไป ถ้าเถี่ยเสวียนไม่พูดนางก็ไม่รู้สึกว่าหิว พอเถี่ยเสวียนพูด จางซิ่วเอ๋อก็พลันรู้สึกว่าตัวเองก็ชักจะหิว
ต้องบอกว่าหิวตั้งแต่เมื่อคืน
การทะเลาะเป็นเรื่องที่เปลืองพลังงานมากเชียวล่ะ เห็นจางซิ่วเอ๋อทะเลาะอย่างออกรสแบบนั้น แต่ในใจของนางกลับรู้สึกว่าถ้าเป็นไปได้ นางหวังว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิตนี้ของตนจะไม่ต้องทะเลาะกับใครอีกแล้ว
จางซิ่วเอ๋อพูดจบก็เดินออกไปโดยไม่มองเนี่ยหย่วนเฉียว
เนี่ยหย่วนเฉียวหรี่ตามองเถี่ยเสวียนอย่างตักเตือน
เถี่ยเสวียนรีบลุกขึ้นจากเตียง เกาหัวพลางเอ่ย “เจ้านาย คือว่า….ข้าหิวแล้วจริง ๆ”
เจ้านายต้องโกรธเพราะเขาไปเร่งเร้าให้จางซิ่วเอ๋อทำกับข้าวแน่ ๆ เลย
แต่เรื่องนี้น่าโมโหตรงไหนกัน….เถี่ยเสวียนคิดไม่ตกเลยว่าทำไมเนี่ยหย่วนเฉียวถึงโมโห
“นางบาดเจ็บอยู่ ไม่ควรต้องเหนื่อย” จู่ ๆ เนี่ยหย่วนเฉียวก็พูดขึ้น