ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 310 ความหวังสุดท้าย
บทที่ 310 ความหวังสุดท้าย
ชายวัยกลางคนมองจางซิ่วเอ๋อพร้อมกล่าว “เจ้าเลิกพูดจาไร้สาระเช่นนี้ได้แล้ว ข้าบอกเจ้าตามตรงเลยแล้วกัน ในเมื่อวันนี้ข้าจับตัวเจ้ามาแล้วก็ไม่ปล่อยเจ้าไปหรอก”
“ตอนนี้เจ้าคิดเรื่องที่จะปรนนิบัติข้าอย่างไรดีกว่า ถ้าข้ามีความสุข ข้าจะขายเจ้าไปอยู่ในที่ที่ดีหน่อย” ชายผู้นั้นพูดจาลามก
มือเท้าของจางซิ่วเอ๋อไม่โดนมัด คงเพราะชายวัยกลางคนตรงหน้าคิดว่าคนแขนขาผอมแห้งอย่างจางซิ่วเอ๋อหนีไปไหนไม่ได้หรอก
เวลานี้จางซิ่วเอ๋อไม่กล้ายั่วโมโหชายผู้นี้ ไม่อย่างนั้นได้โดนดีแน่ ๆ
จางซิ่วเอ๋อมองชายผู้นั้นอย่างพิจารณาพลางกล่าว “น่าสงสารเจ้าจริง ๆ”
จางซิ่วเอ๋อเอื้อนเอ่ยแบบนี้ออกไปปุ๊บ ชายวัยกลางคนก็ผงะ สงสารเขา? เขามีอะไรให้สงสาร?
เขาพูดเสียงกร้าว “นังหนู เจ้าพูดบ้าอะไร ข้ามีอะไรให้น่าสงสาร เจ้าสงสารตัวเจ้าเองเสียเถอะ อย่าลืมสิว่าตอนนี้เจ้าเป็นคนอยู่ในมือข้า ไม่ใช่ข้าอยู่ในมือเจ้า”
จางซิ่วเอ๋อเงยหน้ามองชายคนนั้นพลางกล่าว “ตอนนี้ข้าอยู่ในมือเจ้าก็จริง แล้วหลังจากเจ้าขายข้าไปแล้วล่ะ เจ้าได้ประโยชน์ ขายข้าไปก็ได้เงิน”
“แต่เจ้าเคยคิดเรื่องหลังจากนั้นหรือไม่? หลังจากนั้นล่ะ หลังจากนั้นเจ้าจะทำอย่างไร?” จางซิ่วเอ๋อถามต่อ
“หลังจากนั้นอะไร?” ท่าทีประหลาดของจางซิ่วเอ๋อทำให้เขางุนงงมาก เขาไม่เข้าใจเลยว่าหลังจากนั้นที่จางซิ่วเอ๋อพูดถึงหมายความว่าอย่างไร
“ในเมื่อเจ้าจับข้ามาแล้วก็น่าจะรู้นะว่าข้าเป็นใคร เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรู้ว่าบ้านสามีข้าคือตระกูลเนี่ย ตระกูลเนี่ยเป็นคนเช่นไรเจ้าไม่มีทางไม่รู้ ต่อให้ข้าเป็นลูกสะใภ้ตระกูลเนี่ยที่ไม่เป็นที่ต้อนรับนัก แต่ข้าก็ยังเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลเนี่ย” จางซิ่วเอ๋ออ้างตระกูลเนี่ยอีกครั้ง
“ใช่แล้วจะทำไม ตอนนี้เจ้าก็เป็นเพียงแม่ม่ายที่ไม่มีบ้านสามีดูแล” ชายผู้นั้นแค่นเสียงเย็น แสดงถึงความดูแคลนจางซิ่วเอ๋อ
จางซิ่วเอ๋อกล่าว “พวกเขาไม่ได้ดูแลข้าก็จริง แต่ถ้าพวกเขารู้ว่าเจ้าขายข้าไปในที่แบบนั้น นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ชื่อเสียงตระกูลเนี่ยมัวหมองเลยนะ ถึงตอนนั้นคนตระกูลเนี่ยไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
“เฮอะ เจ้าสำคัญตัวเองจริง ๆ เลยนะ คนตระกูลเนี่ยไม่มีทางสนเรื่องของเจ้าหรอก” ชายวัยกลางคนยิ้มเย็นและเอ่ย
“ถ้าตระกูลเนี่ยสนเรื่องข้าล่ะ? ถึงตอนนั้นข้าไม่มีจุดจบที่ดีก็จริง แต่ข้าว่าเจ้าเองก็คงไม่รอด ต่อให้ข้าไม่ดีอย่างไรก็ยังเป็นคนตระกูลเนี่ย เจ้าทำเช่นนี้เท่ากับเป็นปรปักษ์กับคนตระกูลเนี่ย เท่ากับตบหน้าคนตระกูลเนี่ย” จางซิ่วเอ๋อพูดเสียงเข้ม
พูดมาถึงนี่ จางซิ่วเอ๋อชะงักไปเล็กน้อย นางทำหน้าตาเหมือนหวังดีกับคนผู้นี้ “หากทำให้ตระกูลเนี่ยไม่พอใจจริงๆ เจ้าจะจบปัญหายากนะ ข้าว่าคนที่สั่งให้เจ้าจับตัวข้ามาจงใจให้ร้ายเจ้า”
“เป็นไปไม่ได้” ชายวัยกลางคนปฏิเสธในบัดดล
“เจ้าอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ เจ้าลองคิดดูดี ๆ สิ คนที่สั่งให้เจ้าทำเรื่องนี้เชื่อใจได้จริง ๆ หรือ?” จางซิ่วเอ๋อถามกลับ
จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าคนพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วคบกันด้วยผลประโยชน์ จะเชื่อใจกันและกันได้อย่างไร
“เจ้านี่น่าสงสารจริง ๆ โดนผลักออกมารับหน้า” จางซิ่วเอ๋อทอดถอนใจ
“เจ้าหุบปากไปเลยนะ เจ้าคิดว่าเจ้าพูดเหลวไหลเช่นนี้แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปรึ? ฝันไปเถอะ” ชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงเย็น
จางซิ่วเอ๋อหรี่ตาพลางกล่าว “ถ้าเจ้าคิดว่าคนตระกูลเนี่ยไม่สนข้า แล้วตระกูลฉินล่ะ”
“เจ้าน่าจะรู้นะว่าตระกูลฉินเป็นครอบครัวแบบไหน วันนี้ตอนเจ้าจับตัวข้ามา บ้านข้าง ๆ เป็นคนระดับไหนเจ้าน่าจะทราบนะ คนธรรมดาซื้อบ้านเช่นนั้นไม่ได้หรอก” จางซิ่วเอ๋อพูดต่อ
“เจ้าต้องการจะพูดอะไร” ชายวัยกลางคนมองจางซิ่วเอ๋ออย่างลังเล
เขาเห็นกับตาว่าจางซิ่วเอ๋อเดินเข้าไปบ้านหลังนั้น และรออยู่จางซิ่วเอ๋อออกมาที่ข้างนอกตลอด ถึงได้จับจางซิ่วเอ๋อมาได้
จางซิ่วเอ๋อเห็นสีหน้าของชายคนนั้นแล้วก็รู้ว่าเขาน่าจะระแวงบ้านย่อยตระกูลฉิน หรือก็คือคนในบ้านย่อยตระกูลฉินมาก
“ข้ากับคุณชายฉินในบ้านหลังนั้นมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา ถ้าเจ้าปล่อยข้าไปตอนนี้ข้าจะตกรางวัลให้เจ้า แล้วเจ้าจะสามารถใช้ชีวิตหลังจากนี้อย่างสะดวกสบาย แต่ถ้าเจ้าทำอะไรข้าจริง ๆ เจ้าไม่มีจุดจบที่ดีนักหรอก” จางซิ่วเอ๋อพูดต่อ
ชายวัยกลางคนหัวเราะเย็น ๆ “เจ้าเก่งดีนี่ คนที่ดูก็รู้ว่ามาจากตระกูลใหญ่เช่นนี้เจ้ายังไปข้องแวะด้วยได้ แต่คนเช่นนั้นเขาก็แค่เล่น ๆ กับเจ้าเท่านั้นแหละ เจ้าคาดหวังว่าคนเหล่านี้จะมาช่วยเจ้าจริง ๆ รึ ถึงเวลาเขารู้ว่าร่างกายเจ้าแปดเปื้อนแล้วยิ่งไม่มีใครออกหน้าให้เจ้า”
“ข้าจะบอกให้นะ เจ้าเลิกดิ้นรนโดยเปล่าประโยชน์เถอะ อยู่กับข้าทำตัวดี ๆ แบบนี้จะได้ทรมานน้อยหน่อย” ชายวัยกลางคนพูดเสร็จก็ย่างกรายเข้ามา
จางซิ่วเอ๋อหรี่ตา เล็งได้จังหวะและถีบออกมาอย่างแม่นยำและรุนแรง
และก็ได้ยินเสียงเหมือนหมูถูกเชือดดังอยู่ตรงหน้า
ใช่แล้ว จางซิ่วเอ๋อรู้ว่าตัวเองคงมีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะตีโดนตัวชายคนนี้ได้ จางซิ่วเอ๋อจึงไม่อยากเลือกตรงอื่นที่ไม่สำคัญ
สำหรับหญิงยุคโบราณ คงไม่กล้าเอาตัวรอดจากอันตรายด้วยการถีบท่อนสืบพันธุ์หรอก
แต่จางซิ่วเอ๋อเป็นใคร? นางในตอนนี้กล้าที่จะเหี้ยม อย่างแย่ที่สุดก็ต้องถีบให้ชายคนนี้พิการไปซะ เช่นนั้นอย่างน้อยเขาก็ทำอะไรตนไม่ได้ในตอนนี้
จางซิ่วเอ๋อฉวยโอกาสที่ชายวัยกลางคนนี้กำลังเจ็บออกแรงผลักเขาอย่างแรง
ชายคนนั้นกลับยื่นมือมาจับข้อเท้าจางซิ่วเอ๋อไว้ อดทนกับความเจ็บและมัดขาของนาง “เจ้าอยากตายใช่ไหม!?”
“ข้าจะไปตามคนเดี๋ยวนี้แหละ และจับเจ้าไปขายซะ!” ชายผู้นั้นพูดอย่างโกรธแค้น
แต่เวลานี้เขาไม่พูดแล้วว่าตัวเองจะทำอะไรจางซิ่วเอ๋อ
ที่จางซิ่วเอ๋อถีบไปนั้นทำลายอารมณ์ของเขาลงอย่างสิ้นเชิง
จางซิ่วเอ๋อมองปราดเดียวก็เห็นห่อกระดาษที่ร่วงอยู่บนพื้น นางดึงห่อกระดาษนั้นมาและสาดใส่ชายวัยกลางคน
นี่คือเครื่องปรุงที่จางซิ่วเอ๋อเหลือจากคราวก่อน
นางรู้ว่าเครื่องปรุงนี้ไม่ใช่ของจำพวกพริกป่น ไม่มีผลอะไรกับคนอื่น แต่เครื่องปรุงนี้มีกลิ่นแรง
ถ้าชายคนนี้ออกไปตอนนี้ กลิ่นบนตัวเขาเป็นที่สังเกตได้ง่ายมาก
จางซิ่วเอ๋อไม่ค่อยคาดหวังให้ใครมาช่วยตัวเองในตอนนี้เท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดเป็นไปได้ล่ะ?
ถ้าเกิดมีคนที่คุ้นเคยกับเครื่องปรุงได้กลิ่นนี้ ต้องมาช่วยตัวเองใช่ไหม?
นี่เป็นความหวังสุดท้ายของจางซิ่วเอ๋อแล้ว
ชายวัยกลางคนจามสองที สะบัดผงเครื่องปรุงบนตัวออกและพูดเสียงเข้ม “ก็แค่สมุนไพร เจ้าหวังว่าข้าจะถูกพิษของพวกนี้รึ?”
จางซิ่วเอ๋อเม้มปากไม่พูดอะไร นางไม่ยอมบอกเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเองให้เขาได้รู้หรอก