ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 320 ร่างกาย
ตอนที่ 320 ร่างกาย
จางซานหยาก็ไม่เกรงกลัวจางอวี่หมินอีกต่อไป
เมื่อก่อนจางอวี่หมินมักจะทุบตีจางซานหยาเสมอ ซึ่งจางต้าหูไม่เคยสนใจเลย
แต่ตอนนี้จางต้าหูถึงกับหันมาให้ความสนใจ
จางอวี่หมินไม่กล้าทุบตีจางซานหยาอย่างโจ่งแจ้งเกินไป สำหรับจางซานหยาแล้วการถูกดุด่าเป็นเพียงเรื่องธรรมดา ตราบใดที่จางอวี่หมินไม่ทุบตี นางก็เพิกเฉยต่อไปได้
เมื่อจางซิ่วเอ๋อเข้ามาในห้อง นางก็เห็นแม่โจวกำลังเย็บปักถักร้อยอยู่
จางซิ่วเอ๋อกล่าวรีบร้อน “ท่านแม่ ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าให้ท่านหยุดเย็บเสื้อผ้าให้พวกเรา พวกเราจะใช้เงินเพื่อซื้อทุกอย่างแทน”
“ข้าจะทำรองเท้าสองสามคู่สำหรับพวกเจ้าทั้งสามคน รองเท้าเหล่านี้หากซื้อหาเอาข้างนอก มันคงไม่พอดีนัก ข้าจึงจะทำให้เจ้าเอง”
จางซิ่วเอ๋อรู้ดีว่านางไม่สามารถพร่ำบ่นแม่โจวได้ นางจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ ตอนนี้นางได้แต่หวังว่าแม่โจวจะไม่ทำงานหนักเกินไป
จางซิ่วเอ๋อมองดูร่างกายของแม่โจว แม่โจวสวมเสื้อสีเทาเข้มมีรอยปะชุนเป็นหย่อม ๆ หลายจุด แต่มันก็สะอาดสะอ้าน แม้ว่าชีวิตของแม่โจวจะย่ำแย่ แต่นางก็เป็นคนรักความสะอาด
จางซิ่วเอ๋อก้มมองท้องของแม่โจว นางรู้สึกว่าท้องของแม่โจวใหญ่กว่าแต่ก่อนมาก และดูเหมือนว่าจะใหญ่ราวกับท้องมาหลายเดือนแล้ว
อย่างไรก็ตาม จางซิ่วเอ๋อยังกังวลอยู่บ้าง นางกังวลว่าแม่โจวอาจตกอยู่ในสภาวะคลอดบุตรยาก
ท้องใหญ่แบบนี้หมายความว่าเด็กในท้องตัวใหญ่ ถึงในยุคปัจจุบันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก แต่ในสมัยโบราณแล้วมันสามารถฆ่าผู้เป็นแม่ได้ง่ายดาย
จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าไม่อาจให้แม่โจวกินอาหารสุ่มสี่สุ่มห้าได้ และนางต้องรักษาโภชนาการให้สมดุล หากมีสารอาหารมากเกินไป มันจะไม่เป็นผลดีต่อแม่โจว อีกทั้งอาจเป็นอันตรายต่อแม่โจวได้
ในเวลานี้ แม่โจวได้วางเข็มและด้ายในมือลงและเดินไปที่โต๊ะเพื่อเริ่มกินโจ๊ก
จางซิ่วเอ๋อปอกไข่ให้แม่โจวพร้อมนั่งลงข้าง ๆ มันคือไข่สีเขียว ซึ่งในยุคปัจจุบันจางซิ่วเอ๋อเคยพบเห็นเพียงไข่สีแดง และผิวภายนอกของมันเป็นสีขาว เปลือกของมันจะมีสีเหลืองนวล
ในสมัยโบราณมีไข่ทุกชนิดจริง ๆ อย่างไข่ที่นำมาสองฟองในวันนี้ก็เป็นไข่สีเขียว
ไข่ชนิดนี้มีขนาดเล็ก แต่หลังจากแกะมันออก ส่วนของไข่ขาวจะหนาแน่นมาก และไข่แดงจะมีสีเหลืองนวล ยิ่งทำให้ผู้พบเห็นเกิดความอยากอาหาร
จางซิ่วเอ๋อแกะเปลือกไข่ออกเพื่อนำมันให้แม่โจว เสร็จแล้วนางก็แกะเปลือกไข่อีกฟองให้กับจางซานหยา
จางซานหยาหยิบไข่ออกมาและบิมันออกครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ส่งมันให้แม่โจว “ท่านแม่ กินให้มากหน่อยเถิด”
จางซิ่วเอ๋อมองจางซานหยาด้วยแววตาขบขัน “แม่สาวน้อย เจ้ากินเองจะดีกว่า หากท่านแม่ชอบ คราวหน้าข้าจะนำมาให้อีก ตอนนี้อาจไม่เป็นผลดีต่อร่างกายของท่านแม่นักหากกินมากเกินไป”
แม่โจวมองจางซานหยาพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “แม่รู้ดีว่าเจ้ากตัญญู แต่เจ้ายังเด็กนักและกำลังโต ดังนั้นเจ้าควรจะกินมัน”
เมื่อพูดถึงการเติบโต แม่โจวก็นิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนดวงตาจะจับจ้องที่จางซิ่วเอ๋อคล้ายกับลังเลที่จะกล่าวบางอย่าง
จางซิ่วเอ๋อสังเกตเห็นท่าทางนั้นจึงถามกลับอย่างสงสัย “ท่านแม่ เหตุใดจึงมองข้าเช่นนี้?”
ดูเหมือนแม่โจวจะตัดสินใจแล้วว่าจะตอบ “ซิ่วเอ๋อ แม่อยากถามเจ้าสักหน่อย เจ้ามีระดูหรือยัง?”
หัวข้อสนทนานี้มักไม่มีคนพูดถึงนักในยุคโบราณ แม้แต่มารดาก็ไม่ค่อยพูดคุยเรื่องนี้กับบุตรสาว
จางซิ่วเอ๋อตกตะลึงไม่น้อยเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว นางไม่คิดว่าแม่โจวจะถามเช่นนี้ แต่ถ้าแม่โจวไม่ถาม นางก็คงลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ครั้นถูกถามแล้ว จึงทำให้จางซิ่วเอ๋อรู้สึกประหม่าไม่น้อย
ซิ่วเอ๋อคนเดิมไม่มีประจำเดือนจนกระทั่งแต่งงาน
ส่วนนางที่เพิ่งมาอยู่ในร่างนี้ ก็ไม่เคยได้รับสัญญาณใดเลย
จางซิ่วเอ๋อกล่าวเสียงเบา “ยังเจ้าค่ะ”
แม่โจวมองจางซิ่วเอ๋ออย่างตกประหม่า “ซิ่วเอ๋อ ฟังแม่เถิด เจ้าไปหาท่านอาเมิ่งให้ตรวจดูสักหน่อยเสียดีกว่า”
จางซิ่วเอ๋อรู้สึกเขินอายเล็กน้อยที่ต้องให้ท่านอาเมิ่งเห็นสิ่งนี้… คงจะดีหากว่านางกับท่านอาเมิ่งไม่คุ้นเคยกัน แต่ปัญหาในตอนนี้คือทั้งสองคุ้นเคยกันดี และหากนางต้องให้เขาตรวจรักษาโรคนี้ให้ มันก็ชวนให้อึดอัดใจไม่น้อย
แต่แม่โจวกล่าวเตือนนางอีกครั้ง ทำให้จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าตนต้องใส่ใจกับปัญหานี้ด้วยเช่นกัน
ในสมัยโบราณ เด็กสาวสามารถแต่งงานได้เมื่ออายุครบ 15 ปี และมีหญิงสาวจำนวนมากที่คลอดบุตรในวัยนี้
แม้จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าการคลอดบุตรในวัยนี้ออกจะเร็วเกินไปสักหน่อย แต่สิ่งที่จางซิ่วเอ๋อมั่นใจว่ามันผิดปกติก็คือระดูของนางยังไม่มา
และจะเป็นการดีที่สุดหากรักษาโรคชนิดนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
เดิมทีซิ่วเอ๋อคนเก่าที่ตายตกไป นอกจากจะไม่มีระดูแล้ว แม้แต่หน้าอกก็ยังไม่ขึ้นด้วยซ้ำ…
จางซิ่วเอ๋อลอบถอนหายใจ ตอนนี้นางครอบครองร่างนี้แล้ว เช่นนั้นก็ควรจะดูแลมันให้ดี
อีกอย่างหนึ่งคือนางต้องกินอาหารดี ๆ เพื่อพัฒนาร่างกาย แต่ในอีกทางหนึ่ง นางก็ต้องหาให้พบว่าร่างกายตนผิดปกติใดหรือไม่
ท่านอาเมิ่งเป็นคนที่ไว้ใจได้ที่สุดในตอนนี้แล้ว หากคิดจะรักษาโรคนี้ ก็คงต้องพูดคุยกับท่านอาเมิ่ง
ท่านหมอเมิ่งเป็นหมอ เขาย่อมไม่สนใจความแตกต่างระหว่างชายหญิง
นางเพียงต้องการให้ท่านอาเมิ่งบอกตนเองว่าเกิดอะไรขึ้น หากมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาก็ทำเพียงสั่งยาสำหรับรักษาเท่านั้น ดีกว่าการรักษาด้วยตัวเองแบบไม่รู้เรื่องราว
จางซิ่วเอ๋อตัดสินใจก่อนจะมองแม่โจวและตอบกลับ “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้ว”
แม่โจวมองจางซิ่วเอ๋อด้วยแววตาอ่อนโยน ตอนนี้ซิ่วเอ๋อของนางเริ่มงดงามขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
ว่ากันว่าความรักมักจะถูกเปิดเผยผ่านแววตา อย่างที่ทุกคนทราบดี แม่คนนี้รักลูกของตนมากจริง ๆ และนางก็พอใจยิ่งที่เห็นว่าลูกของตนเติบโตขึ้นอย่างดี
“ชุนเถาเล่าว่าเจ้าเป็นไข้หวัด ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือยัง?” แม่โจวถามอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง
จางซิ่วเอ๋อสั่งไม่ให้ชุนเถาบอกแม่โจวว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ แน่นอนว่านางไม่ได้กังวลว่าชุนเถาจะพูดอะไร แต่นางกังวลว่าแม่โจวจะเป็นห่วงเสียมากกว่า
แม่โจวมีลูกอยู่ในท้อง หากนางต้องกังวลใจกับเรื่องอื่น ๆ มากไปมันจะอันตรายต่อร่างกาย
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าตราบใดที่ตนปลอดภัย นางก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือไม่ แต่คนอื่นมักจะจริงจังกับเรื่องนี้มากเกินไป โดยเฉพาะแม่โจว หากแม่โจวต้องร่ำไห้อยู่เสมอไป นางก็ไม่อาจอดทนได้ไหว!
จางซิ่วเอ๋อมองแม่โจวก่อนจะตอบกลับ “ท่านแม่ ข้าสบายดีแล้ว ท่านก็เห็นแล้วนี่เจ้าคะว่าข้าสามารถนำอาหารมาให้ท่านได้ ความเจ็บป่วยทั้งหมดหายไปสิ้นแล้ว”
เมื่อเห็นว่าจางซิ่วเอ๋อแข็งแรงและสดใส แม่โจวจึงยกยิ้มก่อนจะกล่าวตอบ “ลูกเอ๋ย ต่อไปเจ้าจงระวังตัวให้มากกว่านี้ เจ้าต้องปิดหน้าต่างเมื่อมีลมแรงและฝนตก เช่นนั้นเจ้าจะไม่ป่วย”
เมื่อได้ฟังคำพูดของแม่โจว หัวใจของจางซิ่วเอ๋อพลันอบอุ่นขึ้น นางยิ้มตอบรับด้วยความรัก “ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลตัวเองให้ดีเพื่อไม่ให้ท่านแม่ต้องกังวล”