ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 324 ความคิด
ตอนที่ 324 ความคิด
เมื่อจางซิ่วเอ๋อได้ยินเช่นนั้น นางก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
เนี่ยหย่วนเฉียวยืนอยู่ตรงหน้า มือสองข้างไพล่หลัง หยัดตรงราวกับต้นสนอันสูงตระหง่านที่แผ่ทรงพุ่มบดบังท้องฟ้า ราวกับว่ากำบังทั้งลมและฝนได้หมดสิ้น
จางซิ่วเอ๋อกระซิบกับตัวเองเสียงแผ่ว “แล้วข้าควรทำเช่นไร?”
เนี่ยหย่วนเฉียวมองจางซิ่วเอ๋ออย่างสงสัย “ข้าควรทำเช่นไร?”
จางซิ่วเอ๋อเผยแววอึดอัดใจออกมาทางสีหน้า นางเดินเข้าห้องไปอย่างรวดเร็วโดยไม่กล่าวอะไรอีก
เวลานี้เสียงฝีเท้าของจางซิ่วเอ๋อฟังดูสะเปะสะปะไม่น้อย เห็นได้ชัดว่านางกำลังอยู่ในห้วงความสับสนและกระสับกระส่ายยิ่ง
จางซิ่วเอ๋อกลับมาที่ห้องพร้อมกับนั่งลงอย่างว่างเปล่า ใบหน้าของนางไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ก็จริง แต่ในใจกลับครุ่นคิดถึงสิ่งต่างๆ มากมาย
หนิงอัน… นางควรทำอย่างไรดี? นางต้องควบคุมตนเองให้ได้ หนิงอันดูลึกลับเกินไป นางจะต้องอย่าสนใจหนิงอันไปมากกว่านี้
หนิงอันปฏิบัติต่อนางอย่างดีก็เพียงเพราะนางมีบุญคุณเคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้
หลังจากที่จางซิ่วเอ๋อเตือนสติตนเองอยู่สองสามครั้ง จิตใจของนางจึงสงบลงได้
หลังจากครุ่นคิดแล้ว นางก็ถือตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นไปบนภูเขา
ในเวลานี้จางซิ่วเอ๋อก็ได้พบกับจางชุนเถา ซึ่งตอนนี้จางชุนเถาพบกับยอดผักกูดพอดี ผักกูดนี้น่าจะเพิ่งเติบโตได้ไม่นาน เวลานี้ยอดของมันยังอ่อนนุ่มนัก จางซิ่วเอ๋อกับจางชุนเถาจึงช่วยกันเด็ดยอดอ่อนของผักกูด
หลังจากเด็ดยอดอ่อนผักกูดเสร็จแล้ว จางซิ่วเอ๋อก็เริ่มเก็บดอกเบญจมาศป่ามาเป็นจำนวนมาก
สิ่งนี้ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ แต่หลังจากการอบแห้งแล้ว มันสามารถนำไปชงชาเพื่อดื่มได้ อีกทั้งยังสามารถช่วยดับร้อน ดับกระหายได้อย่างดี สามารถดื่มได้บ่อยครั้ง
“พี่หญิง เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เรามาปลูกดอกเบญจมาศป่าที่บ้านของเรากันเถอะ” จางชุนเถาถือดอกเบญจมาศป่าจำนวนหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับยกยิ้มสดใส
เมื่อเห็นภาพนี้ จางซิ่วเอ๋อก็จดจำได้ว่าหนิงอันดูเหมือนจะเคยพูดอะไรบางอย่าง เขาบอกว่านางเหมือนกับดอกเบญจมาศ
เมื่อนึกถึงประโยคนั้น สิ่งที่หนิงอันต้องการจะกล่าวก็คือจางซิ่วเอ๋อทั้งงดงามและแข็งแกร่งคล้ายกับดอกเบญจมาศนี้
มุมปากของจางซิ่วเอ๋อยกยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ในขณะนั้นเองรอยยิ้มน้อย ๆ พลันแข็งค้างไปทันที จางซิ่วเอ๋อรีบส่ายศีรษะพร้อมลอบเตือนตนเองในใจ นางต้องห้ามคิดถึงหนิงอันอีก อย่าไปยุ่งเรื่องของหนิงอันอีกเลย แล้วทำไมตอนนี้ยังคิดถึงเขาอยู่ได้?
หลังจากเตือนตัวเองแล้ว จางซิ่วเอ๋อก็มองจางชุนเถาพร้อมกับยิ้มกว้าง “ได้สิ หากว่าเจ้าชอบมัน”
อย่างไรก็ตาม จางซิ่วเอ๋อลอบคิดว่าหากเป็นไปได้ นางก็ต้องการจะสร้างบ้านหลังใหม่ของตัวเองขึ้นมา แม้จะบอกว่าไม่มีใครมาแย่งบ้านผีสิงนี้ไปจากนาง แต่บ้านหลังนี้ก็ไม่ใช่ของนางอยู่ดี ซึ่งนางค่อนข้างไม่สบายใจกับเรื่องนี้
จางซิ่วเอ๋อไม่ได้บอกจางชุนเถาเกี่ยวกับแผนการนี้ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าแผนที่นางคิดเอาไว้จะเกินเอื้อมไปสักหน่อย
การสร้างบ้านในหมู่บ้านชิงสือนั้นไม่แพงนัก แต่จางซิ่วเอ๋ออยากจะคิดให้ถี่ถ้วนกว่านี้ หากนางต้องสร้างบ้านจริง นางจะไม่สร้างให้มันเพียงแค่พออยู่ได้ แต่นางจะสร้างมันให้แข็งแรงเพื่อให้ตนอยู่ในบ้านได้อย่างสบาย ๆ
แต่การสร้างบ้านหลังนี้ต้องใช้เงินอย่างน้อย 50 ตำลึง
ตอนนี้นางมีรายได้เดือนละประมาณ 40 ตำลึง แต่ต้องหักเงินเพื่อเอาไว้ซื้อเครื่องเทศ นอกจากนั้นทั้งอาหารและเสื้อผ้าของคนในครอบครัวล้วนแต่ต้องใช้เงินทั้งสิ้น
หากเป็นครอบครัวธรรมดาทั่วไป ส่วนใหญ่แล้วจะมีเงินเหลือ
แต่จางซิ่วเอ๋อไม่ประหยัดเงินค่าอาหารและเสื้อผ้า โดยเฉพาะอาหาร หากนางไม่รีบบำรุงร่างกายตั้งแต่ยังเยาว์ หากโตไปแล้ว นางต้องการจะบำรุงก็คงจะไม่ทันการเสียแล้ว หากรากฐานเริ่มต้นไม่ดี ต่อไปก็คงจะย่ำแย่ไม่น้อย
และตอนนี้แม่โจวกำลังตั้งท้อง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่กตัญญูต่อนาง
นอกจากนี้คนในครอบครัวก็ยังป่วยและต้องกินยา ซึ่งต้องใช้เงินเช่นกัน
อีกทั้งนางต้องการซื้อลา และต้องใช้จ่ายเงินออกไปเป็นจำนวนมาก
ของบางอย่างในบ้านสามารถใช้กินได้ถ้าไม่มีเงินก็จริง แต่ถึงมีเงิน จางซิ่วเอ๋อก็ไม่คิดจะเก็บไว้เฉย ๆ อยู่ดี
ทั้งหมดนี้รวมเข้าด้วยกันเป็นรายจ่าย ไม่ว่าอะไรก็เสียเงินไปเสียหมด
ดังนั้นอย่ามองว่าจางซิ่วเอ๋อมีรายได้มากกว่า 40 ตำลึงทุกเดือน แต่ตอนนี้นางไม่มีเงินจริง ๆ และไม่ใช่เรื่องง่ายเลยหากต้องการสร้างบ้านในปีหน้า
นางหวังว่าตนจะมีโชคลาภได้ด้วยการร่วมมือกับคุณชายฉินในการขายเครื่องเทศ แต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้เรื่องนี้จะเลือนหายไปแล้ว
จางซิ่วเอ๋อลอบสบถอยู่ภายในใจ นางตระหนักได้ว่านางควรจะพึ่งพาตนเองมากกว่าคิดหวังพึ่งพาผู้อื่น
ถ้ามีเงินไม่พอ นางก็จะหาทางสร้างเงิน จะอาศัยเงินที่ได้จากอิ๋งเค่อจวีทุกเดือนอย่างเดียวไม่ได้
ใช่แล้ว ยิ่งยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ตอนที่ย้ายไปอยู่ในบ้านผีสิงนั้น นางไม่มีเงินติดตัวสักตำลึงเดียว ความคิดของนางในตอนนั้นเรียบง่ายนัก นั่นคือแค่ไม่อดตายก็เพียงพอแล้ว
ตอนนี้นางสามารถกินได้เท่าที่ต้องการแล้ว นางจึงต้องการความปลอดภัยที่มากขึ้นหลังจากนี้
เมื่อก่อนเงินจำนวนนี้อาจจะมากพอแล้วสำหรับนาง แต่ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อกลับรู้สึกว่ามันไม่เพียงพอ
จางซิ่วเอ๋อคิดไตร่ตรองก่อนจะพูดขึ้นว่า “ชุนเถาเราไปซื้อลากัน แล้วพรุ่งนี้ก็ค่อยไปซื้อเกวียนเทียมลา”
ลามีราคาถูกกว่าวัวมาก จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากนักหากว่านางจะซื้อวัวสักตัว อีกทั้งการซื้อวัวยังดูสะดุดตาเกินไป เพราะทุกคนรู้ดีว่าในหมู่บ้านนี้มีวัวไม่มากนัก
ถึงอย่างไรก็ควรมีช่วงเปลี่ยนผ่านสักหน่อย
นอกจากนี้จางซิ่วเอ๋อยังรู้สึกว่าลาควบคุมง่ายกว่าวัว วัวตัวใหญ่มาก จนสาวน้อยสองคนนี้รู้สึกว่าพวกตนยากจนยิ่งหากต้องเลี้ยงดูมัน
แม้จะบอกว่ามีชายสองคนคือหนิงอันและเถี่ยเสวียนอาศัยอยู่ที่บ้านด้วย แต่พวกเขาก็มาพักเพียงชั่วคราวเท่านั้น
ซึ่งไม่รู้เลยว่าทั้งสองจะจากไปเมื่อใด
ทั้งสองคนนี้ไม่ได้อยู่ในความคิดของจางซิ่วเอ๋อเลย!
จางชุนเถาประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะถาม “ซื้อลางั้นหรือเจ้าคะ?” แม้ว่าพี่สาวของนางจะเคยกล่าวเรื่องนี้มาก่อน แต่คราวนี้นางกล่าวชัดเจนยิ่ง อีกฝ่ายตอบกลับว่าใช่และจะซื้อมันในวันพรุ่งนี้! นางคิดทุกสิ่งไว้หมดแล้ว! สิ่งนี้ทำให้จางชุนเถาประหลาดใจไม่น้อย
ในสายตาของจางชุนเถาแล้ว ลาเป็นสิ่งของที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ทำไมจู่ ๆ จึงจะซื้อมันล่ะ?
จางซิ่วเอ๋อมองจางชุนเถาด้วยรอยยิ้มและกล่าวต่อ “ใช่ ครอบครัวของเราต้องมีลาสักตัว เมื่อเรามีเรื่องเร่งด่วน เราไม่จำเป็นต้องเช่ารถ แล้วก็ไม่ต้องยืมรถบ้านผู้อื่นด้วย”
แม้ว่าลาจะไม่แข็งแรงเท่ากับวัว มันอาจจะรับน้ำหนักได้น้อยกว่าวัว แต่จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าแค่ลาก็เพียงพอสำหรับนางแล้ว
“พี่หญิง ท่านต้องการซื้อมันจริง ๆ งั้นหรือเจ้าคะ?” จางชุนเถาถามอีกครั้งอย่างไม่เชื่อ
จางซิ่วเอ๋อพยักหน้ารับพร้อมกล่าวต่อ “ข้าจะซื้อมันจริง ๆ ประการแรกก็คือเราจะได้เอามันมาเทียมกับโม่หิน ยามต้องทำเครื่องเทศผสมก็จะไม่ยุ่งยากนัก ประการที่สอง ข้าอยากเข้าเมืองเพื่อไปเจรจาการค้า การมีลาจะทำให้เดินทางสะดวกกว่ามาก”
จางชุนเถามองจางซิ่วเอ๋อด้วยความสับสน “พี่หญิง? ทำการค้าหรือเจ้าคะ?”
จางซิ่วเอ๋อพยักหน้า “ใช่ ทำการค้า!”
นางไม่มีทางจะใช้ชีวิตเช่นนี้ตลอดไป แม้นางไม่ได้แสวงหาความมั่งคั่งมากมาย แต่นางก็ยังมีความคิดที่อยากจะทำอยู่