ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 325 ความคิดเห็น
ตอนที่ 325 ความคิดเห็น
เมื่อจางซิ่วเอ๋อเห็นสีหน้าว่างเปล่าของจางชุนเถา นางจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตกลงตามนี้ ข้าจะไปขายหมูพะโล้ในเมือง”
ในระยะแรก นางไม่จำเป็นต้องเช่าร้านค้าหรืออะไรทั้งสิ้น เพียงตั้งแผงขนาดเล็กก็พอ มีผู้คนจำนวนมากขายเนื้อปรุงสุกในเมืองแห่งนี้ แต่จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่ารสชาติที่คนเหล่านั้นทำยังไม่น่าพอใจนัก
นางมีเครื่องเทศอยู่ในมือแล้ว และนางไม่สามารถหยิบเครื่องเทศเหล่านี้ออกมาโดยตั้งใจได้ แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังสามารถขายหมูพะโล้ได้อยู่
นางไม่ได้ขายเครื่องเทศเพราะนางวางแผนไว้ว่าจะใช้มันเป็นรากฐานตั้งต้นการค้าของตนเอง โดยปกติแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยหากจะหยิบมันมาขายอย่างโจ่งแจ้ง
หมูพะโล้นั้นถือว่าเป็นทางออกที่ดี รสชาติของเนื้อปรุงรสแต่ละบ้านล้วนไม่เหมือนกัน นางเพียงทำให้รสชาติของมันดีขึ้น เช่นนี้มันจะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากได้
นางไม่ได้คาดหวังว่าหมูพะโล้นี้จะทำเงินได้ นางเพียงต้องการหาเงิน อย่างดีที่สุดนางอาจจะได้สร้างบ้านในปีหน้า
ดวงตาของจางชุนเถาเป็นประกายเมื่อได้ยินพี่สาวกล่าวเช่นนั้น “พี่หญิง ท่านตั้งใจทำหมูพะโล้ขายงั้นหรือ?”
จางซิ่วเอ๋อพยักหน้าพร้อมกล่าว “นั่นคือสิ่งที่ข้าหมายถึง”
“พี่หญิง ข้าคิดว่ามันสามารถทำได้ หมูพะโล้ที่ท่านทำจะต้องอร่อยแน่ ต้องมีคนซื้อ!” ในเวลานี้จางชุนเถาดูตื่นเต้นยิ่ง ราวกับว่าเห็นเงินก้อนใหญ่กำลังกวักมือเรียกนาง
“หากเราทำการค้านี้จริง ๆ เราจะเดินทางด้วยเท้าไม่ได้ใช่หรือไม่? เช่นนี้เราจึงต้องมีเกวียนลา” จางซิ่วเอ๋อสรุป
จางชุนเถาพยักหน้ารับ “พี่หญิง! อย่างนั้นข้าจะเชื่อท่าน! พรุ่งนี้ไปซื้อเกวียนลากันเถอะ! แต่… เรามีเงินเพียงพอหรือไม่?”
จางชุนเถาไม่รู้เลยว่าในครอบครัวเหลือเงินอยู่เท่าใด นางรู้เพียงว่าพี่สาวของตนพร้อมที่จะซื้อทุกสิ่งอย่าง และครอบครัวก็ขาดแคลนทุกสิ่ง พี่สาวของนางจึงจ่ายเงินออกไปราวกับน้ำไหล
จางซิ่วเอ๋อมองจางชุนเถาพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวล ข้าคิดไว้แล้ว”
ซื้อเกวียนลาและวัตถุดิบสำหรับทำหมูพะโล้ก็เพียงพอแล้ว
ทว่ามันก็มีเงินเหลือไม่มากนัก
แต่จางซิ่วเอ๋อไม่ได้กังวลเรื่องนี้ เมื่อทุกสิ่งพร้อมสรรพแล้ว การค้าเล็ก ๆ นี้ก็ไม่ต้องใช้จ่ายอะไรเลย หากนางถอยกลับก็เพียงแค่ขาดทุน ถึงอย่างไรก็ยังมีเงินจากเถ้าแก่เฉียนที่มอบให้ทุกเดือนอยู่แล้ว
ตราบใดที่กิจการของเถ้าแก่เฉียนเฟื่องฟูขึ้นเรื่อย ๆ เงินที่มอบให้นางก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนไม่น้อย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางจึงไม่มีอะไรต้องกังวลเลย
แทนที่จะมัวกังวลและกลัวกับสิ่งนั้น นางควรจะริเริ่มลองทำ
และจางซิ่วเอ๋อรู้สึกได้ว่าหมูพะโล้ของนางจะไม่ขาดทุน
นอกจากนี้ ต้นทุนที่แท้จริงยังเป็นแค่ชุดเตาที่เคลื่อนย้ายเข้าเมืองได้ ส่วนเนื้อหรือของอย่างอื่นก็ไม่จำเป็นต้องซื้อมากนัก นางจะซื้ออย่างประหยัดในปริมาณเท่าที่ต้องใช้
หลังจากจางชุนเถายินยอม จางซิ่วเอ๋อก็เริ่มจัดการเรื่องทั้งหมดให้สมบูรณ์โดยเร็ว
ใช่แล้ว นางมีสิ่งใดก็มักจะบอกกล่าวกับจางชุนเถาเสมอ นอกจากนี้นางยังรับฟังความเห็นของจางชุนเถาอีกด้วย เพราะทั้งสองคนอาศัยอยู่ด้วยกัน แม้ว่านางจะสามารถตัดสินใจได้โดยตรง แต่นางก็ต้องเคารพจางชุนเถาด้วยไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
หากจางชุนเถาคัดค้าน นางจะนึกหาวิธีเกลี้ยกล่อมจางชุนเถาใหม่ หรือหาวิธีอื่นในการสร้างรายได้
อย่างไรก็ตาม จางชุนเถาไม่เคยคัดค้านใด ๆ เลย
ในสายตาของจางชุนเถา ตอนนี้พี่สาวของตนดูราวกับเทพธิดามาโปรด! เพราะพี่สาวต้องการทำเช่นนี้ มันย่อมทำเงินได้แน่นอน!
หนึ่งวันผ่านไป
จางซิ่วเอ๋อเป็นคนช่างคิดช่างทำ ส่วนจางชุนเถาก็เป็นคนมีระเบียบเรียบร้อย
ตอนนี้จางชุนเถาพร้อมสนับสนุนจางซิ่วเอ๋อทุกสิ่ง ดังนั้นในตอนเช้าก่อนที่จางซิ่วเอ๋อจะตื่น หลังจากจางชุนเถาตระเตรียมอาหารเช้าเสร็จสิ้น นางก็ปลุกจางซิ่วเอ๋อให้ตื่นเพื่อรีบเข้าไปหาซื้อลาในเมือง
จางซิ่วเอ๋อมองจางชุนเถาด้วยใบหน้าขบขัน ดูเหมือนว่าสาวน้อยผู้นี้จะกังวลยิ่งกว่านางเสียอีก
แต่เมื่อคิดอีกครั้ง จางชุนเถาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไรกัน?
มันคือลา! เมื่อคิดว่าจะมีลาอยู่ในบ้าน ไม่ต้องไปร่วมเกวียนกับผู้อื่น ไม่ต้องไปขอยืมวัวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน! เพียงเท่านี้จางชุนเถาก็มีความสุขล้นในใจแล้ว!
เพื่อไม่ให้จางชุนเถาต้องกังวล จางซิ่วเอ๋อจึงรีบเก็บข้าวของพร้อมกล่าว “อย่างนั้นก็รีบไปกันเถิด แต่วันนี้ยังเช้ามากนัก เราคงต้องอาศัยเกวียนของท่านปู่หลี่เพื่อเข้าเมืองแล้ว”
ในเกวียนของผู้อื่น โดยสารรถผู้อื่นแล้วต้องเคารพเวลาผู้อื่นเช่นกัน
ขณะที่พี่น้องทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ในลานบ้าน เนี่ยหย่วนเฉียวก็เดินออกมาจากบ้าน เขามองจางซิ่วเอ๋อพร้อมถามว่า “เจ้าจะเข้าเมืองอย่างนั้นหรือ?”
จางซิ่วเอ๋อพยักหน้ารับ “ใช่!”
“ข้า…” ‘ข้าจะไปด้วย!’ เนี่ยหย่วนเฉียวเกือบจะหลุดคำนั้นออกไป แต่เมื่อคำพูดนั้นมาถึงปาก เขากลับหยุดยั้งมันไว้และกลืนลงคอ
เขารู้ว่าจางซิ่วเอ๋อจะต้องไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาจะกล่าวออกแน่นอน
แม้เนี่ยหย่วนเฉียวรู้ว่าจางซิ่วเอ๋อไม่ได้ต่อต้านเขาและยังปฏิบัติกับเขาอย่างดีในตอนนี้ แต่นางก็ยังคงห่างเหินกับเขาอยู่ ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เนี่ยหย่วนเฉียวไม่กล้าที่จะเข้าใกล้จางซิ่วเอ๋อมากเกินไป
“มีอะไรหรือ?” จางซิ่วเอ๋ออดไม่ได้ที่จะถามเมื่อเห็นว่าเนี่ยหย่วนเฉียวหยุดพูด
เนี่ยหย่วนเฉียวกล่าวอย่างกระตือรือร้น “ในเมืองอันตรายยิ่ง เจ้าระวังตัวด้วย”
จางซิ่วเอ๋อหัวเราะ “ไม่ต้องกังวล ข้าจะระวังตัว อีกอย่างคราวนี้ชุนเถาก็จะไปด้วยเช่นกัน”
“อย่าไปในที่ลับตาคน!” เนี่ยหย่วนเฉียวมองจางซิ่วเอ๋อด้วยแววตาจริงจังและเน้นถ้อยคำหนักแน่น
จางซิ่วเอ๋อพยักหน้ารับ “ข้าจะไม่ไปในสถานที่ลับตาคน”
ดังคำกล่าวที่ว่าหนึ่งกล้ำกลืนเกิดหนึ่งปัญญา ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อเห็นแล้วว่าหัวใจของผู้คนนั้นเลวร้ายเพียงใด ต่อไปนางย่อมระวังตัวมากขึ้น
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จสิ้น จางซิ่วเอ๋อและจางชุนเถาจึงไปรอรถที่ต้นหวายฉู่ใหญ่และนั่งเกวียนวัวไปด้วยกัน
มีลูกสะใภ้และแม่ยายมากมายนั่งอยู่บนเกวียนแล้ว พวกเขากำลังกระซิบบางอย่างต่อกันในเวลานี้
จางซิ่วเอ๋อลอบฟังอย่างระมัดระวัง ปรากฎว่าทุกคนกำลังพูดถึงรุ่ยเซียงอยู่
“ข้าไม่รู้ว่าตระกูลอวี๋ไปทำอะไรเพื่อให้นังแพศยารุ่ยเซียงนี้กลับมาได้ ในอนาคตข้าคิดว่าชื่อเสียงของตระกูลอวี๋คงต้องถูกอวี๋รุ่ยเซียงทำลายย่อยยับ” แม่เฒ่าหลิวพ่นลมหายใจพร้อมกล่าวดูถูกเหยียดหยาม
สตรีแซ่ฝางได้ยินคำนั้นจึงกล่าวแทรก “ข้ารู้สึกว่าในภายภาคหน้าหมู่บ้านนี้จะสดใสมากขึ้นหากว่าอวี๋รุ่ยเซียงถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน”
“เจ้าจะขับไล่นางออกจากหมู่บ้านได้อย่างไร! สตรีเช่นนี้ควรถูกขังไว้ในกรงหมู!”
“ข้าคิดว่าอวี๋รุ่ยเซียงนั้นดีกว่าหญิงม่ายในหมู่บ้านของเราเสียอีก” แม่ฝางกล่าว
จางซิ่วเอ๋อไม่พอใจที่ได้ยินเรื่องเหล่านี้ แต่นางก็ยังไม่มีแผนจะทำอะไร แต่เมื่อจางชุนเถาได้ยิน นางก็พ่นลมหายใจแรงออกอย่างจงใจ
คนที่กำลังซุบซิบนินทาอยู่พลันเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดจึงเห็นจางซิ่วเอ๋อและจางชุนเถาเต็มสองตา
นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีคนพูดไม่ดีเกี่ยวกับจางซิ่วเอ๋อหรือไม่ ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงเผยสีหน้ารู้สึกผิด อีกทั้งพวกเขายังกังวลว่าจางซิ่วเอ๋อและจางชุนเถาจะนำถ้อยคำที่ทั้งหมดซุบซิบเกี่ยวกับอวี๋รุ่ยเซียงไปบอกกล่าวตระกูลอวี๋อีกด้วย ทุกคนจึงรีบหุบปากและนั่งอย่างสงบนิ่ง