ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 326 ซื้อลา
ตอนที่ 326 ซื้อลา
เรื่องราวกลับตาลปัตรไปในทันที
แม่ฟางเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วเอ่ยขึ้น “วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีจริง ๆ!”
“ใช่แล้ว อากาศดียิ่งนัก ข้าคิดว่าปีนี้เป็นปีที่ดี ข้าวสาลีของครอบครัวข้ากำลังสุกแก่แล้ว อีกไม่กี่วันก็พร้อมเก็บเกี่ยว” ใครบางคนกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงก้องกังวาน
ส่วนแม่เฒ่าหลิวนั้นไม่รู้สึกอับอายต่อจางซิ่วเอ๋อแต่อย่างใด นางกล่าวขึ้นมาคำหนึ่ง “จางซิ่วเอ๋อ เมื่อวานมีคนเห็นเจ้ากับอวี๋รุ่ยเซียงเดินด้วยกัน ข้าขอแนะนําให้เจ้าอยู่ห่าง ๆ จากอวี๋รุ่ยเซียงซะ”
เมื่อจางซิ่วเอ๋อได้ยินคำพูดเหล่านี้ จึงยิ้มและตอบกลับอย่างสุภาพ “ขอบคุณสำหรับความห่วงใยเจ้าค่ะ”
สิ่งที่ควรอยู่ห่างจากอวี๋รุ่ยเซียงคืออะไรนั้น จางซิ่วเอ๋อจะไม่พูด
นางรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นตัวตนของนางในฐานะแม่ม่าย หรืออวี๋รุ่ยเซียงที่ถูกลักพาตัวไปเป็นนางคณิกาแล้วถูกส่งกลับมา ล้วนไม่มีสิ่งใดเป็นเรื่องผิด
เหตุใดทุกคนถึงปฏิบัติต่อสตรีด้วยความรุนแรงเช่นนั้น?
อวี๋รุ่ยเซียงเต็มใจที่จะเป็นนางคณิกาหรือ? อดีตของนางไม่ได้รุ่งโรจน์มากนัก แต่นางคือผู้บริสุทธิ์และตกเป็นเหยื่อ
คนเหล่านี้ไม่คู่ควรที่จะต่อว่าอวี๋รุ่ยเซียง!
แน่นอนว่าจางซิ่วเอ๋อไม่โง่พอที่จะออกหน้าให้อวี๋รุ่ยเซียง
เจ้าของร่างเดิมกับรุ่ยเซียงเป็นสหายกัน แต่นางกับรุ่ยเซียงได้พบกันโดยบังเอิญ ในหัวใจของจางซิ่วเอ๋อ รุ่ยเซียงเทียบไม่ได้กับจวี๋ฮวาด้วยซ้ำ
นางไม่จําเป็นต้องไปล่วงเกินคนเหล่านี้เพื่อรุ่ยเซียง สิ่งที่จางซิ่วเอ๋อสามารถทำได้คือการปกป้องตัวเองและหลีกเลี่ยงการก่อปัญหา
นางไม่กลัวว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด แต่นางยังมีน้องสาวอยู่! คนเราไม่อาจมัวแต่สนใจกับแค่การเป็นดอกบัวขาวแสนบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียว จนลืมไปว่าตนเองควรใส่ใจสิ่งใดมากที่สุด
แม่เฒ่าหลิวเหลือบมองจางซิ่วเอ๋อและกล่าวขึ้น “โอ้ ข้าคิดว่าในช่วงนี้เจ้าดูอวบอิ่มขึ้นมาก เจ้ามีความเป็นอยู่ที่ดีมากเลย!”
จางซิ่วเอ๋อกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ขอบคุณสําหรับคําชมเชยของท่าน”
แม่เฒ่าหลิวกวาดสายตามองจางซิ่วเอ๋อ เมื่อเห็นว่าไม่ว่าตนจะพูดอะไร จางซิ่วเอ๋อก็วางตัวอ่อนน้อมถ่อมตน ทว่ามีทัศนคติที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่คนที่จะรังแกได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้ล่วงเกินนางแต่อย่างใด แม่เฒ่าหลิวจึงไม่อยากทำให้จางซิ่วเอ๋อลําบากใจอีกต่อไป
เมื่อนึกถึงจางซิ่วเอ๋อที่สามารถตอบโต้แม่เฒ่าจางได้ทุกครั้ง ความประทับใจของแม่เฒ่าหลิวที่มีต่อจางซิ่วเอ๋อก็ดีขึ้นอีกหลายส่วน
เมื่อมาถึงในเมือง จางซิ่วเอ๋อก็พาจางชุนเถาไปยังสถานที่ขายวัว ม้าและลา
นี่เป็นตลาดขนาดเล็กที่สร้างขึ้นแยกจากกัน มีรั้วเลี้ยงปศุสัตว์จํานวนมาก ภายในมีวัว ม้าและปศุสัตว์อื่น ๆ
มีผู้คนมาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างมาก ทว่าคนเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่กันเป็นกลุ่ม 3 ถึง 5 คน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีทั้งชายหญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็มากันหมด
เกษตรกรส่วนใหญ่จะซื้อวัวเป็นหลัก ม้ามีราคาแพงเล็กน้อยสำหรับชาวบ้าน และถึงแม้ม้าจะวิ่งเร็ว แต่พละกำลังของพวกมันยังไม่แข็งแรงเท่าวัว
เกษตรกรเหล่านี้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการซื้อวัว! นี่เป็นงานใหญ่ในตระกูล แน่นอน ครอบครัวต้องมาดู หลังจากคัดเลือกอย่างถี่ถ้วนแล้วพวกเขาจะตัดสินใจว่าจะซื้อตัวไหนดี
เมื่อเทียบกับคนซื้อวัวแล้ว คนที่ซื้อม้าก็ดูจะน้อยลงมาก อย่างแรกคงไม่มีใครมาซื้อม้า อย่างที่สองคือคนซื้อม้าส่วนใหญ่เป็นคนจากครอบครัวที่ร่ำรวย ในเมื่อพวกเขาซื้อม้าได้ ก็หมายความว่าพวกเขาไม่สนใจเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ดังนั้นจึงไม่จําเป็นต้องให้คนในครอบครัวมาดู และยิ่งไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากญาติพี่น้องหรือมิตรสหาย
จางซิ่วเอ๋อเดินไปมาจนสุดทาง และเมื่อสิ้นสุดตลาด นางจึงเห็นชายคนหนึ่งกำลังขายลา
เมื่อกล่าวถึงลา ในบรรดาสัตว์ทั้งสามชนิดคือวัว ม้า และลา มันน่าจะเป็นสัตว์ที่ใช้ประโยชน์ได้น้อยที่สุด
มันไม่เหมาะกับการไถพรวน ทั้งยังไม่มีความเร็วและความอดทนเท่าม้าเมื่อต้องเดินทางไกล
โดยทั่วไปจึงกล่าวได้ว่ามีแต่พ่อค้าเร่ระหว่างหมู่บ้านหรือคนที่เปิดโรงสีข้าวหรือโรงโม่แป้งเท่านั้นที่จะซื้อลา
เมื่อมีคนซื้อน้อยลง คนขายก็ยิ่งน้อยลงตามไปด้วย
ไม่มีใครเลี้ยงลาจํานวนมากเพื่อมาขาย
ลาที่จางซิ่วเอ๋อเห็นตอนนี้ไม่ได้ถูกขายโดยพ่อค้าคนใด ทว่ามีชายชราคนหนึ่งจูงมันไว้เพียงลำพังและยืนอยู่คนเดียว
ชายชราสวมชุดที่เต็มไปด้วยปะชุน ซึ่งสีของผ้าที่เย็บปะบนตัวนั้นไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย เมื่อชำเลืองมองดูก็สามารถบอกได้ว่าครอบครัวของชายชราคนนั้นเป็นอย่างไร
ทว่าลาตัวนี้กลับถูกเลี้ยงจนขนเปล่งประกายเป็นเงางาม
จางซิ่วเอ๋อเดินเข้าไปดูอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนว่าลาตัวนี้จะสนใจใคร่รู้ในตัวของจางซิ่วเอ๋อเช่นกัน จึงอดไม่ได้ที่จะมองอีกหลาย ๆ ครั้ง
ชายชราผู้นั้นนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้นโดยไม่กล่าวอะไรสักคํา ไม่รู้ว่าเขาคิดถึงเรื่องใด หรือมองไม่เห็นจางซิ่วเอ๋อกันแน่
“ท่านลุง ลาตัวนี้ของท่านขายหรือไม่?” จางซิ่วเอ๋อเอ่ยปากถาม
ผู้เฒ่าเก๋ออีเงยหน้าขึ้นมองไปยังจางซิ่วเอ๋อ แววตาของเขาไม่ปรากฏริ้วอารมณ์ใด ๆ ช่างเฉยชายิ่งนัก
บางทีเขาอาจคิดว่าจางซิ่วเอ๋อเป็นเพียงเด็กน้อยที่มาถาม นางคงไม่มีทางซื้อมันหรอก
จางซิ่วเอ๋อจึงเอ่ยถามอีกครั้ง “ลาตัวนี้ขายหรือไม่?”
ผู้เฒ่าเก๋ออีจึงกล่าวขึ้น “พวกเจ้ามากันแค่สองคนหรือ? ครอบครัวของพวกเจ้าล่ะ?”
จางซิ่วเอ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านลุง พวกข้ามีแค่สองคน ไม่ทราบว่าลาตัวนี้ขายอย่างไร?”
” 10 ตําลึง” ชายชรากล่าว
จางซิ่วเอ๋อลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้น “เหตุใดถึงแพงนักล่ะเจ้าคะ? ”
เพิ่มเงินอีกหน่อยก็ซื้อวัวได้แล้ว
ผู้เฒ่าเก๋ออีมองไปที่ลาของเขาด้วยสายตาซับซ้อนและกล่าวขึ้น “นี่นับว่าถูกมากแล้ว หากพวกเจ้าตั้งใจจะซื้อมันจริง ๆ ข้าก็จะมอบเกวียนนี้ให้พวกเจ้าด้วย”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น ชายชราก็มองไปยังด้านหลังของตัวเอง
จางซิ่วเอ๋อมองตามสายตาของชายชราและเห็นเกวียนจอดอยู่ไม่ไกล เกวียนลามีขนาดเล็กกว่าเกวียนวัวเล็กน้อย
แต่ดูเหมือนว่าเกวียนลาของชายชราผู้นี้เพิ่งสร้างมาได้ไม่นาน หากจางซิ่วเอ๋อต้องการเทียมมันด้วย อาจจะต้องใช้เงินถึง 3 ตำลึง
หากกล่าวว่าให้เกวียนลาคันนี้กับนางในราคาแค่ 10 ตําลึง ก็นับว่าน้อยเกินไปแล้ว!
จางซิวเอ๋อมองไปที่ลาอีกครั้ง ในเมื่อขายราคาถูกขนาดนี้ ก็ขออย่าให้ลาตัวนี้มีอะไรผิดปกติเลย
จางซิ่วเอ๋อไม่อยากนึกถึงคนอื่นด้วยจิตใจอันคับแคบ ทว่าการซื้อลาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับนาง จางซิ่วเอ๋อจึงรู้สึกว่านางต้องระมัดระวังตัว
หลังจากดูเสร็จแล้ว จางซิ่วเอ๋อจึงพบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติจริง ๆ
จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าราคาเหมาะสมแล้วจึงไม่ได้ต่อรองอีกและพูดขึ้นมา “ข้าขอซื้อมันแล้วกันเจ้าค่ะ”
ชายชราเงยหน้าขึ้นมองจางซิ่วเอ๋อด้วยความประหลาดใจ “เจ้าหมายความว่าเจ้าตัดสินใจซื้อมันหรือ?”
จางซิ่วเอ๋อพยักหน้าและพูดขึ้น “ซื้อเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องกลับไปถามคนอื่นในครอบครัวของเจ้าหรือ?” ผู้เฒ่าเก๋ออีถามอย่างไม่แน่ใจ
จางชุนเถาได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา “วางใจเถิดเจ้าค่ะ พี่หญิงของข้าตัดสินใจได้แล้ว!”
ผู้เฒ่าเก๋ออีลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น “ดียิ่งนัก ข้ากําลังร้อนเงินอยู่พอดี!”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “หากไม่ใช่เพราะข้ารีบร้อนใช้เงินมากเกินไป ข้าคงขายถูกขนาดนี้ไม่ได้”