ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 327 ใส่ร้ายป้ายสี
ตอนที่ 327 ใส่ร้ายป้ายสี
เมื่อชายชรากล่าวประโยคนี้ออกมา เขาก็ถอนหายใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าชายชรากําลังประสบปัญหาอันหนักหนาสาหัส จึงจำต้องขายลาของเขา
แต่นี่เป็นเรื่องของครอบครัวคนอื่น จางซิ่วเอ๋อพูดอะไรมากไม่ได้
นางทำได้เพียงไม่กดราคาลงอย่างโหดร้ายเมื่อได้ราคาที่เหมาะสม
จากนั้นทั้งสองจึงไปหาคนกลางเพื่อเป็นพยาน จางซิ่วเอ๋อจ่ายเงินด้วยตนเองและเขียนสัญญาอีกฉบับ ให้คนทั้งสองคนประทับรอยนิ้วมือไว้ ถือว่าการขายเสร็จสมบูรณ์
ขั้นตอนดังกล่าวยังคงมีความจำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต
การซื้อลานั้นง่ายกว่าการซื้อวัวและม้า อย่างน้อยก็ไม่ต้องปรับสภาพให้ลาเหมือนวัวและม้า
เมื่อจางซิ่วเอ๋อซื้อลาเสร็จ ผู้เฒ่าเก๋ออีก็ช่วยจางซิ่วเอ๋อเทียมเกวียนและสุดท้ายก็มอบแส้ให้จางซิ่วเอ๋อก่อนจะจากไป
จางซิ่วเอ๋อจูงลา ในใจบังเกิดความรู้สึกพึงพอใจ ในที่สุดนางก็มีพาหนะสำหรับการเดินทางแล้ว
จางซิ่วเอ๋อจูงเกวียนลาและมุ่งหน้าไปยังร้านเหล็ก
นางสั่งเตาและหม้อมาอีกชุดหนึ่ง ชุดเตาแบบนี้ราคาไม่ถูกเลย เมื่อซื้อของพวกนี้เสร็จ นางก็รู้สึกเหมือนเพิ่งกลับมาจากคืนปล่อยผี นับดูแล้วเหลือเงินแค่ 2 ตําลึงเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้จางซิ่วเอ๋อจึงไม่กล้าซื้ออะไรตามอำเภอใจ นางซื้อเนื้อและหัวหมูอีกหัว
นางตั้งใจจะกลับไปศึกษาเนื้อหัวหมูตุ๋นก่อน ถึงจะบอกว่ามีเครื่องเทศอยู่ แต่ถ้าทำหมูพะโล้ก็คงไม่สามารถใช้สูตรเดิมได้ ซึ่งต่างจากการผัดอย่างสิ้นเชิง ด้วยต้องควบคุมทั้งความร้อนและเวลา
จางซิ่วเอ๋อต้องลองด้วยตัวเอง
แต่โชคดีที่จางซิ่วเอ๋อไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการทำหมูพะโล้ นางแค่อยากจะลองทําให้มันอร่อยก็เท่านั้น
หัวหมูนั้นราคาไม่แพง หัวหมูหนึ่งหัวมีน้ำหนัก 20 ชั่ง และหัวหมูยังมีกระดูกมาก อีกทั้งจะแบ่งขายก็ทำยาก หากมีคนซื้อก็ต้องซื้อไปทั้งหมด
ทว่ามีคนเพียงน้อยนิดที่จะซื้อหัวหมู ดังนั้นราคาของหัวหมูเมื่อเทียบกับเนื้อหมูจึงไม่แพงมากนัก
เนื้อหมูมีราคา 10 เหรียญต่อ 1 ชั่ง ส่วนหัวหมูนี้ราคา 5 เหรียญต่อ 1 ชั่ง
หัวหมูหนัก 20 ชั่ง คิดเป็นราคา 100 เหรียญทองแดงเท่านั้น
แน่นอนว่าเหรียญทองแดงเหล่านี้ไม่มีค่าอันใดสำหรับจางซิ่วเอ๋อ ทว่าสำหรับผู้อื่นแล้วยังมีค่าอยู่มาก จางซิ่วเอ๋อเป็นลูกค้าประจำของคนขายเนื้อซุนแล้ว เมื่อเขาเห็นว่าจางซิ่วเอ๋อนั้นเป็นคนใจคอกว้างขวาง จึงได้มอบตับหมูให้แก่จางซิ่วเอ๋อด้วย
ตับหมูนี้หากปรุงไม่ดีอาจจะมีรสขมเล็กน้อยและขายได้ยาก
ทว่าจางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่านี่เป็นของดี อีกทั้งยังถูกให้มาเปล่า ๆ ดังนั้นนางจึงขอบคุณคนขายเนื้อซุนและใส่ทุกอย่างลงในเกวียน
ในที่สุดจางซิ่วเอ๋อก็ไปที่ร้านสมุนไพรอีกครั้ง และซื้อเครื่องเทศที่นางยังทำไม่เสร็จสมบูรณ์
เจ้าของโรงยาหุยชุนไม่รู้ว่าจางซิ่วเอ๋อซื้อสมุนไพรเหล่านี้มาปรุงเป็นเครื่องเทศ จึงเตือนจางซิ่วเอ๋อว่าอย่าใช้ยาสุ่มสี่สุ่มห้า
เมื่อขับเกวียนลากลับ จางชุนเถาดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ขณะที่นั่งอยู่ในเกวียนก็อดที่จะกระโดดโลดเต้นไม่ได้ “พี่หญิง ข้าดีใจยิ่งนัก ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าบ้านเราจะมีเกวียน! คราวหน้าไปบ้านท่านยายคงไม่ต้องลำบากแล้ว!”
จางซิ่วเอ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว”
“พี่หญิง ท่านวางใจเถอะ ข้าจะตัดหญ้าให้มาก และดูแลมันให้ดี!” จางชุนเถาให้คํามั่นอย่างจริงจัง
จางซิ่วเอ๋อมองไปที่ลาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตกลง จากนี้ไปให้เจ้าเป็นคนดูแลมันนะ”
สีหน้าของจางชุนเถาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที รู้สึกราวกับถูกมอบหมายให้รับผิดชอบงานสำคัญ
จางซิ่วเอ๋อและจางชุนเถาพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ทันทีที่มาถึงหมู่บ้าน ทั้งสองคนก็กระตุ้นความสนใจของผู้อื่นขึ้นมา
คนแรกคือแม่ม่ายหลิว นางเอนกายอยู่ใต้ต้นหวายฉู่ขนาดใหญ่เพื่อทำตัวหว่านเสน่ห์ เมื่อนางเห็นจางซิ่วเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจมากยิ่งขึ้น
“โอ้ จางซิ่วเอ๋อ เจ้าไปเอาเกวียนลามาจากไหน ในหมู่บ้านของเราไม่มีใครมีเกวียนลามิใช่หรือ?” แม่ม่ายหลิวเอ่ยถาม
ตามมาด้วยแม่หลินที่กำลังนินทาอย่างออกรสอยู่ใต้ต้นไม้
ตอนนี้แม่หลินปลงกับเรื่องที่สวี่อวิ๋นซานหนีออกจากบ้านได้บ้างแล้ว แต่เมื่อเห็นจางซิ่วเอ๋อ นางก็ยังไม่มีท่าทางที่ดีต่อจางซิ่วเอ๋อ
“ไม่ใช่ว่าไปขโมยมานะ!” แม่หลินพูดด้วยท่าทางดุร้าย
แม่ม่ายหลิวและแม่หลินไม่ได้เป็นเพื่อนกัน ทว่าทั้งสองต่างไม่ชอบจางซิ่วเอ๋อ
แม่ม่ายหลิวรีบตอบกลับทันที “เลวจริง ๆ ตอนที่นางออกไปไม่ได้ขับเกวียนลา แต่เมื่อกลับมานางกลับขับเกวียนมาหนึ่งคัน อีกทั้งไม่เห็นใครขับเลย คงไม่ใช่ลูกจ้างแน่… ที่มาของเกวียนคันนี้ไม่ชัดเจนจริง ๆ!”
เมื่อจางซิ่วเอ๋อมาถึงหมู่บ้าน นางจึงชะลอความเร็วลง
แน่นอน ไม่ใช่ว่าจางซิ่วเอ๋อตั้งใจอวดดี แต่จางซิ่วเอ๋อพบใครบางคนอยู่ข้างหน้านาง ดังนั้นนางจึงไม่สามารถชนคนได้
เมื่อถึงใต้ต้นหวายฉู่ สองพี่น้องก็ได้ยินบทสนทนานี้
ก่อนที่จางซิ่วเอ๋อจะโต้ตอบ จางชุนเถาผู้ซึ่งกระตือรือร้นที่จะปกป้องพี่สาวก็รู้สึกรำคาญ “พวกท่านกำลังพูดถึงเรื่องอันใด เกวียนของพวกข้าไม่ได้ขโมยมา!”
“โอ้ พวกเราแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย เจ้าจะร้อนตัวด้วยเหตุใด?” แม่หลินแค่นเสียงเย็นชา
จางซิ่วเอ๋อมองไปยังแม่หลิน และหันกลับไปพูดกับจางชุนเถาช้า ๆ “ชุนเถาอย่าโกรธเคืองคนอย่างแม่หลินเลย นางเป็นบ้าไปแล้ว”
“นังแพศยา เจ้าว่าอะไรนะ? ใครบ้ากัน?” แม่หลินจ้องมองจางซิ่วเอ๋อด้วยความโกรธ
จางซิ่วเอ๋อชําเลืองมองแม่หลิน “ข้าว่านะท่านป้าหลิน เหตุใดท่านถึงตื่นเต้นนัก? ข้าแค่พูดเรื่อยเปื่อยกับน้องสาวของข้า”
จางซิ่วเอ๋อย้อนคําพูดใส่แม่หลินโดยไม่มีท่าทางเปลี่ยนแปลงใด ๆ
คราแรกแม่หลินไม่พอใจอยู่แล้วเมื่อนางเห็นจางซิ่วเอ๋อ แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น แม่หลินก็ยิ่งโกรธเคืองมากขึ้น
นางยืนขึ้นและขวางเกวียนลาของจางซิ่วเอ๋อ
จางซิ่วเอ๋อขมวดคิ้ว “ท่านทําอะไรน่ะ? หลีกทางไป!”
“ข้าไม่หลีก! วันนี้ข้าจะอยู่ตรงนี้ เจ้าอย่าคิดว่าจะผ่านที่นี่ไปได้!” แม่หลินพูดด้วยท่าทางหยิ่งยโส
จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่านางเป็นศัตรูคู่แค้นกับแม่หลินจริง ๆ ทุกครั้งที่นางพบกับแม่หลินล้วนไม่เคยเกิดเรื่องดี แม่หลินผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ทำสิ่งอื่นใดเลย นอกจากพยายามหาวิธีสร้างปัญหาให้นางเท่านั้น!
จางซิ่วเอ๋อพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ถนนนี้มิใช่ของบ้านท่าน เหตุใดท่านถึงต้องมาขวางทางด้วย? ”
“ข้าจะขวาง! ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าที่เป็นขโมยกลับไปที่หมู่บ้าน! หากเจ้านำลาตัวนี้กลับไปและในอนาคตมีคนมาตามหาถึงหน้าประตู มันจะต้องเป็นความอัปยศที่ไม่ใช่ของเจ้าแค่คนเดียว” แม่หลินแค่นลมหายใจอย่างเย็นชา
จางซิ่วเอ๋อรู้สึกขบขันเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ลานี่ข้าซื้อมาเอง เหตุใดข้าถึงพามันกลับไปไม่ได้? ”
ในเวลานี้จางซิ่วเอ๋อไม่ต้องการปิดบังเรื่องที่นางซื้อลา แม้นางจะต้องการแสร้งทำเป็นยากจนตลอดเวลา ทว่านางก็ไม่สามารถทำเป็นยากจนไปทั้งชีวิตได้
ลาตัวนี้จำเป็นสำหรับนางจริง ๆ นางจะเลิกล้มความตั้งใจเพราะอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะซื้อลามาเพื่ออะไร?