ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 365 มาทั้งครอบครัว
ตอนที่ 365 มาทั้งครอบครัว
แต่หญิงชราชุดครามคนนี้มาแกล้งทำเป็นท้องเสียเพราะกินหมูพะโล้ที่นี่เพื่ออะไรกัน?
ขู่เอาเงินหรือ?
มีประโยคหนึ่งที่หญิงชราพูดได้ถูกต้องมาก สภาพยากจนอย่างตนจะมีคนมาหลอกเอาเงินจริง ๆ หรือ?
รอบ ๆ ตัวนางมีร้านขายของอีกเยอะ ไม่ใช่ว่ามีร้านของนางแค่ร้านเดียว
ถ้าจะขู่เอาเงินก็น่าจะไปหาคนที่ขายของมานานและหาเงินได้มากสิ ร้านหมูพะโล้ของนางเพิ่งมาเปิดขายในเมืองได้ไม่กี่ครั้ง ถ้าโดนคนอื่นหมายตาด้วยเหตุนี้ มันก็ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
หากไม่ได้ต้องการขู่เอาเงิน….
แล้วเหตุใดคนผู้นี้ถึงมาหาเรื่องตนโดยไร้สาเหตุเล่า?
พอคิดแบบนี้จางซิ่วเอ๋อก็เริ่มนึกอะไรออก
ก่อนหน้านี้ก็มีคนมาหาเรื่องนางไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ดูแล้วจุดประสงค์ของคนผู้นี้กับคนผู้นั้นคงจะเหมือน ๆ กัน
หมูพะโล้ของนางขายดีเกินไป จนคนที่ขายเนื้อสุกบางคนรู้สึกว่าขายยากขึ้น
ใช่แล้ว เทียบกับหมูพะโล้หอมฉุย ใครจะไปซื้อเนื้อสุกที่ปรุงขึ้นง่าย ๆ กัน? เนื้อพวกนั้นล้วนแข็งกระด้าง อย่างมากก็มีแค่รสเค็มเท่านั้น
คนที่อยากกินเนื้อใจจะขาดได้กินแล้วก็คงคิดว่าไม่เลว
แต่คนที่กินเนื้อบ่อย ๆ คงไม่คิดว่าของแบบนั้นอร่อยหรอก
ถ้าไม่มีหมูพะโล้ของนางเป็นตัวเปรียบเทียบก็ถือว่ายังดี ว่ากันว่าไม่เปรียบเทียบก็ไม่เจ็บ แต่ตอนนี้พอเทียบดูแล้วเนื้อสุกพวกนั้นกลับดูด้อยกว่าอย่างเห็นชัด
ด้วยสถานการณ์แบบนี้แล้ว ย่อมต้องมีคนมาหาเรื่องนาง
หลังจากหญิงชราผู้นั้นได้ยินสิ่งที่จางซิ่วเอ๋อพูด นางก็ลดเสียงตัวเองลงทันใด “โอ๊ย โอ๊ย ข้าปวดท้องเหลือเกิน พวกเจ้าสองคนมันนังอสรพิษ….ทุกคนอย่าไปซื้อหมูของพวกนางนะ”
จางซิ่วเอ๋อชำเลืองหญิงชราและเอ่ยขึ้น “ข้าว่าเจ้านี่เป็นคนที่แปลกจริง ๆ พูดปากเปล่าโดยไม่มีหลักฐาน คิดว่าตัวเองนั่งโหยหวนอยู่ตรงนั้นแล้วจะทำให้ใครเชื่อได้หรือ?”
“ทุกคนยังจะซื้อหมูนี่อยู่หรือไม่?” จางซิ่วเอ๋อพูดพลางหยิบหมูขึ้นมาหนึ่งชิ้นและเอาเข้าปากตัวเอง
“ถึงเวลาอาหารเที่ยงพอดี ข้าจะกินหมูที่ข้าทำต่อหน้าทุกคน หากมีปัญหาอะไรจริงข้าก็ต้องถูกพิษตายก่อน” จางซิ่วเอ๋อพูดพลางตักหมูขึ้นมาหนึ่งชิ้น หั่นเสร็จแล้วนำไปวางไว้อีกด้าน จากนั้นก็หยิบกินทีละชิ้น
จางชุนเถาเห็นภาพนั้นจึงเอ่ยขึ้นตาม “ข้าก็จะกินด้วย!”
จางซิ่วเอ๋อไม่ได้ห้ามจางชุนเถา หมูนี่เป็นอย่างไรนางรู้ดีอยู่แก่ใจ
ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ทำให้จางชุนเถาเป็นอะไรหรอก
พอทุกคนเห็นสองพี่น้องกินหมูต่อหน้าทุกคนอย่างเปิดเผย แล้วหันไปมองหญิงชราที่เช็ดน้ำตาเมื่อครู่ พวกเขาก็เข้าใจในทันทีว่าเรื่องเป็นอย่างไร
ข้อเท็จจริงย่อมอยู่เหนือการอธิบาย
ในเมื่อพี่น้องตระกูลจางกล้ากินหมูของตัวเอง ก็หมายความว่าหมูนี่ไม่มีปัญหา
อย่างไรเสียก็ไม่มีใครเอาสุขภาพของตนเองมาล้อเล่นหรอก
และหญิงชราคนนั้นช่างเสแสร้งได้ไม่เนียนจริง ๆ ถ้าดูมีแรงตลอดยังพอถูไถ แต่ปัญหาอยู่ที่หญิงชราผู้นี้ครั้นโดนจางซิ่วเอ๋อยั่วยุหน่อยก็เปลี่ยนน้ำเสียงไป
ทำแบบนี้จะโจ่งแจ้งไปหน่อยกระมัง
จางซิ่วเอ๋อเอ่ยขึ้นขณะกิน “พอขายดีก็เป็นที่เกลียดชังได้ง่าย วันนี้ต้องให้ทุกคนหัวเราะเยาะเสียแล้ว ถ้าซื้อหมูตอนนี้ข้าลดให้ชั่งละเหรียญ”
ทันทีที่จางซิ่วเอ๋อลั่นวาจาแบบนี้ ก็มีคนจำนวนหนึ่งตื่นเต้นขึ้นมา
เพียงชั่วครู่ที่ได้ดูเรื่องสนุก ๆ หมูนี่ก็ถูกลงเสียแล้ว
ต้องรีบซื้อแล้ว อีกเดี๋ยวจะหมดเสียก่อน
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีบางคนที่ใจกล้าเอ่ยขึ้น “ข้าขอสองชั่ง หมูนี่อร่อยขนาดนี้ต่อให้ข้าต้องถูกพิษตายก็คุ้ม”
จางซิ่วเอ๋อเม้มปากหัวเราะ “จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ข้ามาขายหมูที่นี่ตั้งแต่เช้า มีคนจำนวนหนึ่งมาลองชิมที่ร้านข้าแล้ว ทุกคนลองคิดดูสิว่าเหตุใดถึงมีคนกลับมาหาเรื่องข้าแค่คนเดียว”
เมื่อจางซิ่วเอ๋อพูดแบบนี้ออกไปก็ยิ่งช่วยให้คนจำพวกที่ยังลังเลอยู่มั่นใจขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะซื้อด้วย” มีคนกระเถิบเข้ามา
ยิ่งมีคนซื้อมากขึ้น คนที่ซื้อตามก็มีมากขึ้น
หญิงชราเห็นแบบนั้นก็พบว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ นางจึงคลานขึ้นมาจากพื้นและก้มตัววิ่งออกไป
จางซิ่วเอ๋อเห็นแบบนั้นแล้วคลี่ยิ้ม “ทุกคนเห็นหรือยัง คนไร้เหตุผลหนีไปเองเสียแล้ว”
“ใช่ ๆ คนผู้นั้นจะหน้าด้านไปหน่อยกระมัง เห็นผู้อื่นขายดีก็มาเล่นตุกติก”
“แม่นางซิ่วเอ๋อ เจ้าต้องขายหมูพะโล้ต่อไปเรื่อย ๆ นะ เดี๋ยวนี้ภรรยาข้าชอบกินหมูพะโล้ของเจ้ามาก”
ทุกคนกระตือรือร้นขึ้นมาในบัดดล
จางซิ่วเอ๋อเองก็ใจกว้าง “ในเมื่อชอบกินข้าจะแถมให้เจ้าสักนิดแล้วกันนะ”
พูดเสร็จจางซิ่วเอ๋อก็ตักหมูอีกหนึ่งชิ้นเพิ่มเข้าไป
หมูพะโล้ของจางซิ่วเอ๋อแพงไปนิดก็จริง แต่จางซิ่วเอ๋อไม่เคยขายโดยโกงน้ำหนักเลย และบางครั้งอาจจะให้เพิ่มด้วย จุดนี้ช่วยให้ทุกคนสบายใจมากขึ้น
นางยอมขายเนื้อหมูให้แพงขึ้น แต่ไม่ยอมโกงน้ำหนักเด็ดขาด
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของอุปนิสัย
แต่เกี่ยวพันถึงชื่อเสียง
หากถูกลือกันไปในทางที่โกงน้ำหนัก ต่อให้ขายเนื้อหมูราคาถูกก็ไม่มีคนมาซื้อหรอก
จางซิ่วเอ๋อตัดสินใจได้เด็ดขาด
คราแรกจางซิ่วเอ๋อคิดว่าจัดการปัญหาได้แล้ว แต่ผ่านไปไม่นานก็มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาด้วยท่าทางดุดัน
คนที่เดินนำหน้าคือชายร่างกำยำคนหนึ่ง
จางซิ่วเอ๋อรู้จักคนผู้นี้ ก่อนหน้านี้ไม่นานนางเพิ่งโดนเขาขู่ไปว่าขืนยังขายหมูพะโล้อยู่ที่นี่ เขาจะพังร้านของนางเสีย
ด้านหลังของชายกำยำคนนั้นมีหญิงชราชุดครามตามมาด้วย
หญิงชราอุ้มเด็กอายุราว ๆ 4-5 ขวบไว้ในอ้อมอก ขณะนี้เด็กคนนั้นกำลังหลับตาปี๋
นอกจากคนผู้นี้แล้วยังมีชายฉกรรจ์อีกหลายคนเดินตามหลังมา
ตั้งแต่จางซิ่วเอ๋อเห็นว่าสองคนนี้อยู่ด้วยกัน ก็เข้าใจแล้วว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร
ใช้นิ้วเท้าคิดยังคิดออกว่าทุกคนมาหาเรื่องตนกันหมด
ชายร่างกำยำคนนั้นพุ่งเข้ามา ตบเนื้อหมูในมือลูกค้าคนหนึ่งกระเด็นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ลูกค้าคนนั้นอึ้งงัน “เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร?”
“ข้าช่วยเจ้าอยู่ กลัวว่าเจ้าจะถูกพิษตาย” ชายร่างกำยำกล่าว
จางซิ่วเอ๋อยื่นเงินที่เพิ่งรับมาคืนให้ลูกค้าคนนั้นพร้อมบอก “ขออภัยด้วยนะ ตอนนี้มีเรื่องยุ่งนิดหน่อย อีกเดี๋ยวค่อยขายหมูให้เจ้านะ”
“ถุย เจ้าว่าใครยุ่งยาก” ชายร่างกำยำคนนั้นพูดไปก็ถุยน้ำลายใส่หม้อที่จางซิ่วเอ๋อตุ๋นหมู
จางซิ่วเอ๋อเห็นแบบนั้นก็ขยะแขยงขึ้นมาในทันใด
นางตาโตมองชายผู้นี้ “เจ้าทำอะไรน่ะ?”
ขณะนั้นคนที่มาต่อแถวซื้อหมูอยู่ด้านหลังก็เห็นภาพนี้เช่นกัน สภาพการณ์เช่นนี้ใครจะซื้อหมูอีก
ชายร่างกำยำคนนั้นขยับไปด้านหน้าและพูดอย่างดุร้าย “ข้าทำอะไร? เจ้าก็เห็นแล้วนี่?”
“ก่อนหน้านี้เจ้าก็เคยมาหาเรื่องแล้ว! เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่? เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเอาเรื่องเจ้าไปฟ้องทางการรึ?” จางซิ่วเอ๋อพูดอย่างมีน้ำโห
“เอาสิ? ไปฟ้องทางการเหรอ? ไปเลย! เจ้าทำให้ลูกชายและแม่ข้ากลายเป็นแบบนี้ ข้ายังไม่ฟ้องเจ้าเลย! เจ้ากล้าดีอย่างไรจะมาฟ้องข้า!” ชายร่างกำยำผู้นั้นเอ่ยเกรี้ยวกราด
………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ได้ค่าจ้างเท่าไหร่ จากใครเนี่ย ถึงจะมาพังร้านของซิ่วเอ๋อ
ไหหม่า(海馬)