ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 391 สัญญา
ตอนที่ 391 สัญญา
นางโจวพยักหน้าทันทีพร้อมกล่าวว่า “แน่นอนว่าทางเราไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ การตัดสินใจส่วนใหญ่ยกให้เป็นสิทธิ์ของหมอเมิ่ง”
นางโจวเห็นด้วยกับแม่สื่อฮวาทันที
นางโจวนั้นจริงใจกับจางซิ่วเอ๋ออย่างแท้จริง และนางก็รู้สึกได้ว่าจางซิ่วเอ๋อตกหลุมรักหมอเมิ่งแล้ว มิฉะนั้นนางโจวคงไม่อาจหาญทำเรื่องเช่นนี้ได้
แม่สื่อฮวายิ้มพร้อมกล่าวว่า “ข้าเชื่อว่าหมอเมิ่งย่อมมีความสุขยิ่ง เช่นนี้เรามาตกลงกันก่อนเถิด ข้าจะกลับไปถามหมอเมิ่งก่อน ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เรื่องปีที่ผ่านมาก็แล้วกัน นไป”
นางโจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่างนั้นข้าจึงต้องรบกวนท่านแล้ว”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น นางโจวหยิบถุงผ้าใบเล็ก ๆ ออกมาจากแขนเสื้อ นางคลำเอาเศษเหรียญที่หักยื่นให้แม่สื่อฮวา “ข้าขอโทษที่ต้องรบกวนให้ท่านเดินทางไปมาเช่นนี้ เงินนี้สามารถซ ซื้อน้ำชาได้”
ตามธรรมเนียมในหมู่บ้าน หากแม่สื่อยอมรับคำขอแล้ว แม้แต่ฝ่ายหญิงก็ต้องมอบเงินค่าน้ำชาให้แก่แม่สื่อเช่นกัน
หากเป็นเมื่อก่อน แม้นางโจวอยากจะให้ แต่นางก็ไม่สามารถหาเงินได้
นางไม่มีนิสัยเก็บเงินไว้เป็นของส่วนตัว ยิ่งไปกว่านั้นนางโจวอาจจะไม่มีโอกาสรอดเช่นกัน
แต่ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อให้เงินกับนางโจว
แม้แต่จางชุนเถา และจางซานหยายังประหยัดค่าขนมที่จางซิ่วเอ๋อมอบให้ เอามาให้กับนางโจวอีกด้วย
นางโจวให้กำเนิดลูกสาวสามคนติดกัน ในหมู่บ้านถือว่านี่เป็นโชคร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในขณะเดียวกัน นางโจวก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง บุตรสาวทั้งสามที่นางให้กำเนิดมาล้วนกตัญญ ญูยิ่งกว่าบุตรชายครอบครัวอื่น
ในเวลานี้ นางโจวต้องการจัดการงานแต่งงานของจางซิ่วเอ๋อให้ดี เช่นนี้นางจึงคิดใจกว้างหยิบยื่นเงินให้กับอีกฝ่าย
แม่สื่อฮวารับเงินจากนางโจวมา จากนั้นนางก็ยิ่งกล่าวตอบอย่างหนักแน่น “น้องหญิงใหญ่ เจ้าวางใจเถิด ในอีกไม่กี่วัน ข้าจะช่วยหมอเมิ่งจัดเตรียมสินสอดทองหมั้น และจะตรวจสอบให้แน น่ใจว่ามันถูกส่งมาที่นี่อย่างงดงามและมีเกียรติ ทุกคนในหมู่บ้านจะต้องชื่นชมซิ่วเอ๋อของเรา!”
ในเวลานี้ แม่สื่อฮวาเรียกหาจางซิ่วเอ๋อว่าซิ่วเอ๋ออย่างสนิทสนม
นางโจวนั่งพูดคุยกับแม่สื่อฮวาต่อไปอีกสักพักหนึ่ง
โดยปกติแล้ว นางโจวควรจะเชิญแม่สื่อฮวารับประทานอาหารค่ำด้วยกัน แต่นางโจวรู้ดีว่าการเชิญชวนแม่สื่อฮวารับประทานอาหารค่ำในบ้านของตนนั้นไม่สะดวกนัก
นางไม่สามารถปล่อยให้แม่สื่อฮวาอยู่กับตนเองที่ต้องอยู่ในบ้านอย่างหลบซ่อนและกินอาหารที่จางซิ่วเอ๋อส่งให้ ดังนั้นนางจึงไม่กล้าเอ่ยปากชักชวนให้แม่สื่อฮวาอยู่ต่อ
แม่สื่อฮวาก็มองว่าเรื่องนี้ไม่ได้สำคัญนัก
ก่อนที่นางจะมาที่นี่ นางถามถึงสถานการณ์ของตระกูลจางมาแล้ว และยังรู้ด้วยว่านางโจวไม่ได้รับการดูแลจากตระกูลจาง เมื่อเป็นเช่นนี้หากนางจะอยู่ร่วมรับประทานมื้อเย็นเกรงว่าจะไ ไม่สะดวกนัก
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การจะกินอาหารมื้อนี้หรือไม่เป็นเพียงเรื่องรอง หลักๆ แล้วสำคัญที่เงินมากกว่า
แม่สื่อฮวาไม่ได้รบกวนอะไรมากนักในคราวนี้ และนางยังได้รับผลประโยชน์จากหมอเมิ่งและนางโจวโดยตรง ดังนั้นนางจึงไม่คิดปริปากบ่น
หากมีเงิน ก็สามารถซื้ออาหารที่อยากกินได้ ใครจะกล้าละโมบคิดอยากกินข้าวในบ้านตระกูลนี้?
จางซิ่วเอ๋อไม่รู้เลยว่าหลังจากที่ตนออกจากบ้านมา มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น
ไม่นานหลังจากที่นางกลับมาถึงบ้าน เนี่ยหย่วนเฉียวและเถี่ยเสวียนก็กลับมา
จางซิ่วเอ๋อคิดว่าเนี่ยหย่วนเฉียวจะถามตนเองว่าวันนี้นางถูกใครรังแกในเมืองหรือไม่ นั่นเพราะเนี่ยหย่วนเฉียวเคยจริงจังกับเรื่องนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เนี่ยหย่วนเฉียวดูปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่พูดอะไรเลย
จางซิ่วเอ๋อเม้มริมฝีปากไว้แน่น และในที่สุดนางก็หันหลังกลับและตรงไปที่ห้องครัวเพื่อทำมื้อเย็น
ไม่รู้เพราะเหตุใด จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่ามีเงาแห่งความเสียใจปรากฏขึ้นในใจ
นางส่ายศีรษะเบา ๆ ก่อนจะใช้กระบวยตักน้ำขึ้นมาดื่ม จากนั้นจึงรู้สึกผ่อนคลายและปลอดโปร่งมากขึ้น ความหงุดหงิดในใจพลันหายไปหมดสิ้น
หลังจากที่นางอารมณ์เย็นลงแล้ว นางลอบคิดในใจว่า คงเป็นเพราะหนิงอันห่วงใยตนเองอยู่เสมอ แต่เมื่อหนิงอันไม่สนใจนางแล้ว นางจึงรู้สึกไม่สบายใจ
สองวันผ่านไปอย่างปกติสุข
ไม่นานนัก ก็มาถึงเวลาที่จางซิ่วเอ๋อต้องเอาพะโล้ไปขายในเมือง
คราวนี้จางซิ่วเอ๋อก็ยังคงถือป้ายไม้ตำแหน่งวิญญาณของเนี่ยหย่วนเฉียวไปด้วยเช่นเคย นางยังคงกังวลว่าเฝิงซูเหวินหรือฟู่ต้าเตาจะไม่ยอมแพ้และกลับมาสร้างปัญหาให้กับตนอีกครั้ง ง
ขณะจางซิ่วเอ๋อกำลังจัดร้าน ก่อนที่ร้านจะถูกตั้งได้สำเร็จ มีคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น
หลังจากรอให้บุคคลนั้นวิ่งเข้ามาใกล้ จางซิ่วเอ๋อจึงมองเห็นใบหน้าของบุคคลนั้นได้อย่างชัดเจน
“เฝิงซูเหวิน?” ดวงตาของจางซิ่วเอ๋อเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
เฝิงซูเหวินที่ยืนอยู่ตรงหน้าเผยความประหม่าออกกเล็กน้อย เขาก้มลงราวกับว่าเขาได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถยืนตัวตรงได้
“เฝิงซูเหวิน! เจ้ายังคิดสร้างปัญหาให้กับข้าอีกหรือไร?” ปฏิกริยาแรกของจางซิ่วเอ๋อคือเข้าใจว่าเฝิงซูเหวินไม่คิดยอมแพ้และยังต้องการสร้างปัญหาต่อไป
เฝิงซูเหวินตัวสั่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาคุกเข่าลงกับพื้นทันที “ท่านย่า ท่านย่า”
จางซิ่วเอ๋อตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะชี้ตัวไปที่ตนเองอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าเรียกขานข้าว่าท่านย่างั้นหรือ?”
ขณะจางซิ่วเอ๋อพูด นางมองไปรอบ ๆ และเห็นว่ายังไม่มีร้านมาตั้ง ดูเหมือนว่าตรงนี้จะไม่มีใครอื่นนอกจากนางและจางชุนเถา เฝิงซูเหวินคนนี้กินยาผิดมาหรือไม่?
ขณะจางซิ่วเอ๋อกำลังประหลาดใจ เฝิงซูเหวินยกมือขึ้นพร้อมตบหน้าตนเอง
“เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ…”
เสียงตบดังขึ้นเรื่อย ๆ เฝิงซูเหวินคนนี้กำลังใช้กำลังทั้งหมดของตนเพื่อทำร้ายตัวเอง
จางซิ่วเอ๋อจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
จางชุนเถาดึงมุมเสื้อของจางซิ่วเอ๋ออย่างระมัดระวังพร้อมกระซิบว่า “พี่หญิงใหญ่ เฝิงซูเหวินผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วหรือไม่? หรือเขาคิดที่จะสาดน้ำสกปรกใส่เรา?”
เมื่อได้ยินคำเตือนจากจางชุนเถา จางซิ่วเอ๋อจึงมองดูด้วยความระมัดระวังยิ่งขึ้น
นางก้าวถอยหลัง
ในเวลานี้เอง เฝิงซูเหวินที่คุกเข่าอยู่พลันคลานไปด้านหน้า “ท่านย่า”
“เฝิงซูเหวิน เจ้ามีเรื่องอะไรจงรีบพูด! อย่าเข้ามา! หากเจ้ายังเป็นเช่นนี้อยู่ข้าจะไม่อดทน!” จางซิ่วเอ๋อมองเฝิงซูเหวินอย่างเย็นชา
เช้าตรู่ จู่ ๆ เฝิงซูเหวินก็วิ่งเข้ามาเช่นนี้ มันทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
ใจไม่อาจทำร้ายผู้อื่น และใจก็ไม่อาจป้องกันผู้อื่นที่คิดร้ายได้เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น นางต้องเผชิญหน้ากับคนเช่นเฝิงซูเหวิน
เฝิงซูเหวินเงยหน้าขึ้นพร้อมจ้องมองจางซิ่วเอ๋อ “ท่านย่า ข้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ทั้งยังทำให้ท่านขุ่นเคืองใจ โปรดอย่าคิดถือสาข้าเลย ข้าขอโทษท่านแล้ว”
หลังพูดจบ เฝิงซูเหวินก็เริ่มตบหน้าตนเองอีกครั้ง
ถึงตอนนี้ เป็นจางซิ่วเอ๋อที่ยิ่งสับสนมากขึ้น
เฝิงซูเหวินมาที่นี่เพื่อขอโทษนางงั้นหรือ?
เฝิงซูเหวินในยามปกติเป็นคนน่ารังเกียจและไร้ยางอาย ไหนจะได้รับความคุ้มครองจากคุณนายเนี่ย หากเขาไม่สร้างปัญหาใดๆ ให้นางอีกถือเป็นเรื่องดี แต่เหตุใดเขาจึงวิ่งมาคุกเข่าข ขอขมานางถึงที่นี่?
“เฝิงซูเหวิน เจ้าไม่กลัวว่าคอจะหลุดบ้างหรือ?” จางซิ่วเอ๋อถามอย่างสงสัย
เป็นไปได้ไหมว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นจากทางทิศตะวันตก? จางซิ่วเอ๋อไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เหตุใดเฝิงซูเหวินจึงเปลี่ยนจากรูปลักษณ์ที่เย่อหยิ่งและคลั่งอำนาจมาเป็นคุกเข่ากล่าวขอโทษเช่นน นี้?