ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 57 ตระกูลจ้าวอันยากจนข้นแค้น
บทที่ 57 ตระกูลจ้าวอันยากจนข้นแค้น
ใบหน้าเล็กของจ้าวเอ้อร์หลางเปื้อนดินจนดูสกปรกมอมแมมไม่น้อย
แต่สายตาคู่นั้นช่างแข็งแกร่งและเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณเป็นพิเศษ เทียบกับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านที่เอาแต่เล่นซนไปวัน ๆ แล้วก็สามารถแยกพวกเขาออกจากกันได้ผ่านการมองครู่หนึ่ง
จางซิ่วเอ๋อมองเด็กคนนี้ในทางที่ค่อนข้างดี เมื่อวันนี้มาเห็นเด็กคนนี้ขยันขันแข็งแบบนี้ก็ยิ่งชอบและนึกเอ็นดูมากขึ้น
จ้าวเอ้อร์หลางก็มองจางซิ่วเอ๋ออย่างพินิจพิเคราะห์ สุดท้ายก็ถามเสียงเบา “พี่ซิ่วเอ๋อ ท่าน…..”
จ้าวเอ้อร์หลางไม่ค่อยมั่นใจเท่าใดนัก ด้วยไม่รู้ว่าจางซิ่วเอ๋อตั้งใจมาบ้านตนหรือไม่ ตั้งแต่ที่บิดาป่วย ก็ไม่มีใครมาเยี่ยมเยียนที่บ้านของเขาแล้ว เพราะกลัวว่าจะติดโรค
แต่จ้าวเอ้อร์หลางอยากจะบอกว่าโรคที่บิดาเป็นอยู่นี้ติดต่อสู่ผู้อื่นไม่ได้ เรื่องนี้ท่านหมอเมิ่งเป็นคนพูดกับปากเอง หากร้ายแรงขนาดนั้นในหมู่บ้านนี้ต้องมีคนเป็นโรคปอดกี่คนกันเล่า?
จางซิ่วเอ๋อรีบคลี่ยิ้ม “พวกเราสองบ้านตอนนี้ก็ถือว่าเป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว ข้ามาดูที่บ้านเจ้าหน่อย ไม่รู้ว่ารบกวนหรือไม่?”
จ้าวเอ้อร์หลางมีดวงตาเป็นประกาย รีบเปิดประตูใหญ่และเอ่ยขึ้น “ไม่รบกวน ๆ พี่ซิ่วเอ๋อรีบเข้ามาเร็ว”
จ้าวเอ้อร์หลางวางงานในมือตนลงอย่างตื่นเต้น และเรียกจางซิ่วเอ๋อเข้าบ้าน
คนในบ้านได้ยินเสียงจากด้านนอกก็ไออย่างรุนแรงและถามเสียงแผ่ว “เอ้อร์หลาง เจ้ากลับมาแล้วเหรอ?”
จ้าวเอ้อร์หลางพูดกับคนในบ้านเสียงใส “พี่ซิ่วเอ๋อมาเยี่ยมที่บ้านเราขอรับ”
จางซิ่วเอ๋อเม้มปากยิ้ม เดินตามเอ้อร์หลางเข้าไปในบ้าน
บ้านของตระกูลจ้าวดูซอมซ่อมาก แต่ได้รับการปัดกวาดเช็ดถูอย่างสะอาดสะอ้านจนจางซิ่วเอ๋อนึกอุทานในใจ เด็กบ้านจนล้วนรู้เรื่องรู้ราวไวจริง ๆ ด้วย
ไม่ว่าจะเป็นพวกนางสามพี่น้อง หรือว่าจะเป็นจ้าวเอ้อร์หลางคนนี้ ล้วนเป็นเด็กที่ผ่านความลำบากมาจนชิน
ในห้องมีเตียงกระดานไม้เตียงหนึ่ง มีชายหนุ่มอายุราว ๆ 28-29 ปีนอนตะแคงอยู่บนนั้น ใบหน้าของเขาซีดเผือดมีท่าทางอ่อนแรงเพราะอาการป่วย คนทั้งคนดูโรยราอย่างยิ่ง
นี่คงจะเป็นบัณฑิตจ้าว บิดาของจ้าวเอ้อร์หลาง
คนโบราณแต่งงานเร็ว คนอายุ 28-29 ปีมีลูกอายุ 8-9 ขวบล้วนเป็นเรื่องปกติสามัญ
จางซิ่วเอ๋อหยิบของที่ตัวเองทำออกมา พลางเอ่ยขึ้น “ข้าเพิ่งจะย้ายมาอยู่ในป่าด้านโน้น นี่ก็เพิ่งได้ว่างจึงมาเยี่ยมเยียนหน่อย หวังว่าเอ้อร์หลางกับท่านอาจะไม่รังเกียจนะเจ้าคะ”
จางซิ่วเอ๋อไม่อยากจะเรียกบัณฑิตจ้าวว่าท่านอาเลยสักนิด ถึงอย่างไรอายุจริง ๆ ของเด็กก็น้อยกว่าบัณฑิตจ้าวนิดเดียว แต่ในเมื่อจ้าวเอ้อร์หลางเรียกนางว่าพี่ นางก็ทำอะไรไม่ได้
สีหน้าของบัณฑิตจ้าวแดงนิดหน่อย ความซีดขาวบนใบหน้าลดลงเล็กน้อย เขาพูดด้วยความตื้นตัน “เจ้าทำอะไรน่ะ? เจ้าอยากจะมาเยี่ยมเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เจ้าเอาของมามากขนาดนี้ ข้า….”
“โอ๊ย ท่านอาจ้าว อย่าปฏิเสธเลยเจ้าค่ะ เราเป็นเพื่อนบ้านกันนะ แค่ของกินนิด ๆ หน่อย ๆ ก็อย่าเกรงใจกันเลย” จางซิ่วเอ๋อบอกยิ้ม ๆ
จางซิ่วเอ๋อรู้ว่าบัณฑิตจ้าวเป็นคนมีการศึกษา มีความทะนงตนของบัณฑิตอยู่ในตัว คงไม่ยอมรับการช่วยเหลือที่คล้ายการทำทานแบบนี้ง่าย ๆ นางจึงเอ่ยต่อ “หรือท่านรังเกียจที่ข้าอาศัยอยู่ในบ้านผีสิง? จึงไม่อยากนับข้าเป็นเพื่อนบ้านกัน?”
บัณฑิตจ้าวตื่นตระหนกและรีบเอ่ยขึ้น “ไม่….ไม่ใช่แบบนั้น”
จางซิ่วเอ๋อนิ่งไปและพูดต่อ “อีกอย่าง เมื่อวานเอ้อร์หลางช่วยข้าไว้มากเลยล่ะเจ้าค่ะ”
“ช่วยเหรอ?” บัณฑิตจ้าวมองจ้าวเอ้อร์หลางอย่างสงสัย
จ้าวเอ้อร์หลางถึงได้เล่าเรื่องเมื่อวานให้บัณฑิตจ้าวด้วยเสียงอันเบา
จางซิ่วเอ๋อตกตะลึงและถึงบางอ้อว่าที่แท้บัณฑิตจ้าวไม่รู้ นางจึงกังวลในใจอยู่นิดหน่อยว่าบัณฑิตจ้าวจะตำหนิจ้าวเอ้อร์หลางว่าจุ้นไม่เข้าเรื่อง
คิดไม่ถึงว่าบัณฑิตจ้าวหลังมีรอยยิ้มระบายบนใบหน้า เขากล่าวยิ้ม ๆ “เอ้อร์หลาง เรื่องนี้เจ้าทำได้ดีมาก!”
จ้าวเอ้อร์หลางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เป็นเพราะท่านพ่อสอนข้ามาดีมากกว่าขอรับ”
จางซิ่วเอ๋อเห็นภาพนี้ก็รำพึงกับตัวเองในใจ อย่างไรเสียก็เป็นบ้านคนมีการศึกษา นิสัยใจคอช่างดีจริง ๆ
จ้าวเอ้อร์หลางเห็นอาหารที่จางซิ่วเอ๋อเอาออกมาก็กลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ แต่ก็พยายามหักห้ามความต้องการของตัวเอง เขากินไม่อิ่มมานานแล้ว บัดนี้เห็นอาหารน่าอร่อยขนาดนี้ จะไม่อยากกินได้อย่างไร?
ตัวจางซิ่วเอ๋อเองก็ยังไม่กินข้าว นางจึงพูดยิ้ม ๆ “ข้ายังมีธุระที่บ้านอีก ข้าไปก่อนนะ วันหลังข้ามาเยี่ยมพวกท่านใหม่”
บัณฑิตจ้าวพูดอย่างเก้อเขิน “เจ้าเพิ่งมาเอง ไม่นั่งก่อนหรือ?”
จางซิ่วเอ๋อมีสีหน้าเศร้าลง “ชุนเถาอยู่บ้านคนเดียว ข้าไม่สบายใจน่ะเจ้าค่ะ ต้องมีคนดูแลใกล้ ๆ ดังนั้นข้าต้องกลับไปดูแลนาง”
พูดมาถึงตรงนี้ จางซิ่วเอ๋อก็มองจ้าวเอ้อร์หลางพลางเอ่ย “ถ้าเอ้อร์หลางไม่กลัวบ้านผีสิง ว่าง ๆ ก็มาเล่นที่บ้านได้นะ”
จ้าวเอ้อร์หลางมีรอยยิ้มตื่นเต้นดีใจบนใบหน้า รับปากอย่างแข็งขัน “ถ้ามีเวลาว่างข้าจะไปแน่นอนขอรับ”
ที่จริงจ้าวเอ้อร์หลางก็กลัวบ้านผีสิงเหมือนกัน แต่พอนึกได้ว่าคนในหมู่บ้านก็กลัวบ้านของเขาเหมือนกัน ทั้งที่ในความเป็นจริงบ้านพวกเขาก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ดังนั้นบางทีบ้านผีสิงนั่นก็อาจจะไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นก็ได้
อีกอย่าง ขนาดพี่ซิ่วเอ๋อยังมาบ้านของพวกเขาโดยไม่สนอะไรได้ ถ้าเขาไม่ไปบ้านพี่ซิ่วเอ๋อ จะต้องรู้สึกผิดขนาดไหน?
พอคิดได้แบบนี้ จ้าวเอ้อร์หลางก็รับปาก และใส่ใจกับเรื่องนี้จริง ๆ
ตอนที่จางซิ่วเอ๋อเดินออกจากบ้านของจ้าวเอ้อร์หลาง นางมองดูบ้านซอมซ่อที่แลดูจะพังครืนลงมาได้ทุกเมื่อก็นึกเศร้าในใจ ทำไมนางรู้สึกว่าคนดีไม่ได้ดีล่ะ?
เพียงแค่บัณฑิตจ้าวกับจ้าวเอ้อร์หลางสองพ่อลูกที่เป็นคนดีทั้งคู่ อย่างน้อยก็ดีกว่าพวกลิ้นยาวในหมู่บ้านที่เอาแต่ยุให้รำตำให้รั่วเยอะมากแล้ว แต่น่าเสียดายที่มีชีวิตยากจนข้นแค้นถึงเพียงนี้
“ถ้ามีโอกาส ช่วยบ้านตระกูลจ้าวได้สักหน่อยก็น่าจะดี” จางซิ่วเอ๋อพึมพำกับตัวเอง
นางคิดมาถึงตรงนี้ก็ส่ายหัวอย่างนึกขบขัน ชีวิตนางในตอนนี้ยังงง ๆ อยู่เลย คิดจะไปช่วยคนอื่นเสียแล้ว ฝันกลางวันจริง ๆ มาคิดเรื่องพวกนี้ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ตั้งหน้าตั้งตาทำชีวิตให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นดีกว่า
ตอนที่จางซิ่วเอ๋อเดินออกจากบ้านของจ้าวเอ้อร์หลางนั้น แม่หลินกำลังเดินออกจากบ้านพอดี นางที่มีเพลิงโทสะอัดแน่นอยู่ในใจก็ได้หันมองทางบ้านบัณฑิตจ้าวอย่างแค้นเคืองและเอ่ยพึมพำ “ไอ้ขี้โรคนี่ทำไมไม่รีบตาย ๆ ไปเสียที! ไอ้ตัวซวยเล็กนั่นจะได้ไม่เที่ยวพูดเหลวไหลอีก!”
แม่หลินคิดอาฆาตแค้นจ้าวเอ้อร์หลางไปแล้ว นางคิดว่าที่จ้าวเอ้อร์หลางทำแบบนี้เพราะบัณฑิตจ้าวสอนให้ทำ จึงพลอยแค้นบัณฑิตจ้าวไปด้วย
ในตอนนั้นเองนางก็เห็นร่างบางเดินออกจากบ้านของจ้าวเอ้อร์หลาง พอมองดูดี ๆ ดวงตานางก็เป็นประกาย “นั่นคงไม่ใช่จางซิ่วเอ๋อหรอกใช่ไหม?”
จากนั้นหน้าตานางก็ดูเหี้ยมเกรียมขึ้น มิน่าล่ะไอ้หนูจ้าวเอ้อร์หลางถึงพูดเข้าข้างจางซิ่วเอ๋อ ที่แท้บัณฑิตจ้าวก็มีความสัมพันธ์กับจางซิ่วเอ๋อนี่เอง!
………………………………………………………………………………………………………………………