ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 71 ขอมาไม่ได้
บทที่ 71 ขอมาไม่ได้
จางซานหยาลงจากโต๊ะโดยไม่พูดอะไร นางชินแล้ว
นางรู้ว่านี่ก็เป็นเพราะมีคนคอยสังเกตสถานการณ์ในบ้านตระกูลจางอยู่ ท่านย่าของนางถึงได้เก็บอาการบ้าง ไม่อย่างนั้นตามนิสัยของแม่เฒ่าจาง นางคงโดนตีไปแล้ว
จางซิ่วเอ๋อออกจากบ้านตระกูลจางได้ก็เดินก้มหน้าไปทางบ้านผีสิง ไม่มองคนรอบ ๆ ที่จ้องนางอยู่
นางยกแขนขึ้นมาเช็ดน้ำตาเป็นบางครั้ง และส่งเสียงสะอึกสะอื้นเบา ๆ
มีคนเอ่ยเสียงแผ่ว “เมื่อกี้ข้าดูอยู่นาน ถึงจะได้ยินไม่หมดว่าด้านในคุยอะไรกัน แต่หลัก ๆ ก็แม่เฒ่าจางจะขอเงินจางซิ่วเอ๋อ แต่จางซิ่วเอ๋อเอาเงินไปรักษาจางชุนเถาหมดแล้ว แม่เฒ่าจางก็เลยเปลี่ยนใจไล่นางออกมา!”
“ข้าดูท่าจางซิ่วเอ๋อเหมือนกำลังร้องไห้เลย ต่อหน้าท่านย่าทำท่าทางแข็งกร้าวได้ก็จริง แต่ท้ายสุดก็เป็นแค่ดรุณีน้อยคนหนึ่ง คงน้อยใจอยู่ไม่ใช่น้อย”
“เฮ้อ ว่าไปเด็กคนนี้ก็น่าสงสาร นางเจอแต่เรื่องไม่เคยหยุดหย่อน”
“นั่นน่ะสิ! พวกเจ้าลองคิดดู ตั้งแต่จางซิ่วเอ๋อแต่งงาน คุณชายและคุณนายเฒ่าตระกูลเนี่ยก็ตายกันหมด จากนั้นตัวนางเองก็เกือบตาย แล้วยังจางชุนเถา….พูดถึงจางชุนเถา ก็เกิดเรื่องไปสองหนแล้ว ดูท่าดวงจางซิ่วเอ๋อนี่อาถรรพ์จริง ๆ กินดวงคนอื่น!”
ทุกคนต่างคุยกันเซ็งแซ่
คนพวกนี้พูดกันเซ็งแซ่สักพักแล้วก็แยกย้ายกันไป ก็แค่ดูเพื่อความสนุก อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องของบ้านตัวเอง
จางซิ่วเอ๋อมองแผ่นแป้งข้าวโพดในอกเสื้อ แผ่นแป้งข้าวโพดพวกนี้แม่โจวเป็นคนทำ รสชาติไม่เลว แต่ตอนนี้นางไม่มีความอยากอาหารอะไรจริง ๆ คิดอยู่ว่าเดี๋ยวกลับไปทำข้าวต้มกินดีกว่า
นางห่อแผ่นแป้งข้าวโพดชิ้นหนึ่งไว้ในอก แล้วมุ่งหน้าไปทางบ้านบัณฑิตจ้าว
ช่วงนี้อากาศร้อน แผ่นแป้งพวกนี้เหลือแล้วเก็บยาก สู้กินไปเลยดีกว่า
ตอนนั้นจ้าวเอ้อร์หลางกำลังนั่งตากลมอยู่ในสวนบ้าน เขานับดาวและก้อนเมฆน้อย ๆ บนฟ้า หวังว่าตัวเองจะง่วงเร็ว ๆ
ความคิดเขาล่องลอยไปไกล วันนี้ขึ้นเขาไปผ่าฟืนทั้งวัน ขายได้แค่ 2 เหรียญ ถ้าแค่กินข้าวก็พออยู่ แต่ต้องซื้อยาให้บิดาด้วย เงินพวกนี้จึงไม่พอ
ที่บ้านไม่มีเสบียงแล้วก็ไม่มีเงินซื้อ เย็นนี้พวกเขาได้กินแค่ผักป่า
แต่คนไม่ใช่สัตว์ กินแค่ผักป่าจะอิ่มได้อย่างไร?
เขาหิวมาก ครั้นหิวแล้ว ต่อให้เขาทำงานหนักมาทั้งวัน เวลานี้ก็นอนไม่หลับ
จางซิ่วเอ๋อเห็นจ้าวเอ้อร์หลางอยู่ในสวน ก็ผลักประตูและเดินเข้าไป
นางกระแอมเบา ๆ ขัดความคิดของจ้าวเอ้อร์หลาง
“พี่ซิ่วเอ๋อ ท่านมาได้อย่างไร?” จ้าวเอ้อร์หลางมีท่าทางดีใจอย่างเห็นได้ชัด
จางซิ่วเอ๋อมองจ้าวเอ้อร์หลางด้วยรอยยิ้ม “ข้าผ่านบ้านเจ้าน่ะ เห็นเจ้าอยู่ในสวนเลยแวะมาดู”
“เช่นนั้นข้าจะไปเรียกท่านพ่อ” จ้าวเอ้อร์หลางจะพุ่งเข้าบ้าน เขาเห็นว่ามีคนมาเยือนบ้านทั้งที บัณฑิตจ้าวเป็นเจ้าบ้านก็ควรจะมาทักทายหน่อย
จางซิ่วเอ๋อรีบห้ามจ้าวเอ้อร์หลางไว้ “ไม่ต้องเรียกพ่อเจ้าหรอก เดี๋ยวข้าก็ไปแล้ว”
นางกับบัณฑิตจ้าวเกี่ยวข้องกันมากไม่ได้ อย่างไรเสียฐานะของทั้งสองคนก็ง่ายที่จะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านอยู่แล้ว
จางซิ่วเอ๋อยัดแผ่นแป้งสองแผ่นใส่มือจ้าวเอ้อร์หลาง และพูดกับเขา “เอ้อร์หลาง แผ่นแป้งสองชิ้นนี้ให้พวกเจ้า ทำจากผักป่า คงไม่รังเกียจกันนะ”
จ้าวเอ้อร์หลางเห็นแผ่นแป้งสองแผ่นนี้แต่แรกแล้ว แต่ไม่กล้ามองบ่อยนัก ด้วยกลัวตัวเองจะน้ำลายไหล
จู่ ๆ ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อกลับเอาแผ่นแป้งให้เขา จ้าวเอ้อร์หลางจึงตอบสนองโดยพูดอย่างร้อนใจ “พี่ซิ่วเอ๋อ แผ่นแป้งนี่ข้าไม่เอา พี่เอากลับไปเถอะ”
จางซิ่วเอ๋อคิดในใจว่าจ้าวเอ้อร์หลางคงมีนิสัยเหมือนบัณฑิตจ้าว ไม่ยอมรับการช่วยเหลือจากคนอื่นง่าย ๆ คนทระนงแบบนี้หาได้ยาก แต่ถ้าทระนงเกินไปก็ไม่ดีกับพวกเขาเท่าไรนัก
จางซิ่วเอ๋อจึงพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ไม่พูดถึงเรื่องที่เจ้าอายุยังน้อย ที่หากเจ้าอดข้าวล่ะก็จะตัวไม่สูง ลำพังเพียงพ่อเจ้า เจ้าทำใจให้พ่อเจ้ากินไม่อิ่มได้เหรอ? อีกอย่างของที่ข้าเอามาให้ก็ไม่ใช่ของดีอะไร ถ้าเจ้าไม่เอาก็แปลว่าดูหมิ่นของพวกนี้ เช่นนั้นข้าจะโกรธแล้วนะ”
จ้าวเอ้อร์หลางตกใจ กินไม่อิ่มแล้วตัวจะไม่สูงเหรอ? ตัวไม่สูงแล้วอีกหน่อยจะเป็นเสาหลักของครอบครัวได้อย่างไร?
เขากระวนกระวายนิดหน่อย “พี่ซิ่วเอ๋อ ท่านอย่าโกรธนะ….”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เอาของพวกนี้ไป พวกเราเป็นเพื่อนบ้านกัน เอาของมาให้กันก็เป็นเรื่องปกติ วันหน้าข้าอาจจะมีเรื่องให้เจ้าช่วยก็ได้ ถึงตอนนั้นเจ้าอย่าปฏิเสธแล้วกัน” จางซิ่วเอ๋อยิ้มตาหยี
จ้าวเอ้อร์หลางเป็นคนซื่อ ไม่กี่ประโยคก็หลอกเขาได้แล้ว ส่วนบัณฑิตจ้าว? หรือเขาจะคืนของพวกนี้รึไง?
จางซิ่วเอ๋อมอบของให้เสร็จก็กลับบ้าน
จ้าวเอ้อร์หลางนำแผ่นแป้งเข้าบ้านอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก ถึงแม้เขาหิวจะแย่อยู่แล้ว แต่ถ้าบัณฑิตจ้าวไม่อนุญาตเขาก็ไม่กล้ากิน
ที่คุยกันด้านนอกเมื่อกี้บัณฑิตจ้าวได้ยินหมดแล้ว ที่จางซิ่วเอ๋อพูดว่ากินไม่อิ่มจะทำให้จ้าวเอ้อร์หลางตัวไม่สูงทำให้บัณฑิตจ้าวรู้สึกผิดมาก เพราะบัณฑิตจ้าวกับภรรยาของเขาไม่มีใครเตี้ยเลย
แต่ตอนนี้จ้าวเอ้อร์หลางทั้งตัวเตี้ยและผอมแห้งกว่าคนอายุเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด
เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะกินไม่อิ่ม
เขาพูดอย่างรู้สึกผิด “เอ้อร์หลาง พ่อทำให้เจ้าต้องลำบาก”
“ท่านพ่อ อย่าพูดแบบนี้เลยขอรับ ท่านเป็นศูนย์รวมของครอบครัวเรา ถ้าไม่มีพ่อข้าก็ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร” จ้าวเอ้อร์หลางรีบบอก
บัณฑิตจ้าวถอนหายใจพลางมองจ้าวเอ้อร์หลาง ถ้าไม่ใช่เพราะจ้าวเอ้อร์หลางอายุยังน้อย เขาก็อยากจะสิ้นชีพไปเสียจริง แต่ถ้าเขาตายไปแบบนี้ จ้าวเอ้อร์หลางก็จะเป็นเด็กไม่มีญาติ จะใช้ชีวิตในโลกนี้ต่อไปได้อย่างไร
ไม่รู้ว่ามีคนมากมายขนาดไหนจะมาหลอกจ้าวเอ้อร์หลาง
เขาต้องมีชีวิตอยู่ ต้องอยู่เป็นที่พักพิงให้กับจ้าวเอ้อร์หลาง
“พ่อ พี่ซิ่วเอ๋อเอาแผ่นแป้งมาให้…..” จ้าวเอ้อร์หลางบอกด้วยท่าทางหวาด ๆ
บัณฑิตจ้าวมองจ้าวเอ้อร์หลางอย่างเอ็นดูรักใคร่ “เอ้อร์หลางกินเลย”
“พ่อ กินด้วยกันเถอะขอรับ” จ้าวเอ้อร์หลางยื่นแผ่นแป้งแผ่นหนึ่งให้
บัณฑิตจ้าวส่ายหน้า “เหลือแผ่นหนึ่งไว้เจ้าเก็บกินตอนเช้านะ”
จ้าวเอ้อร์หลางคิด ก่อนจะแบ่งแผ่นแป้งในมือตัวเองเป็นสองส่วนและเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ เราสองคนกินคนละครึ่งนะขอรับ ถ้าพ่อไม่กินข้าก็ไม่กิน ที่เหลือเราเก็บไว้กินพรุ่งนี้เช้า”
บัณฑิตจ้าวมองสีหน้าแน่วแน่บนใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กหนุ่ม รู้ว่าตัวเองเกลี้ยกล่อมเขาไม่ได้แล้ว เวลานี้จึงได้แต่รับแผ่นแป้งมากิน
จ้าวเอ้อร์หลางไม่กล้ากินเร็วเกินไป เขาลิ้มรสแผ่นแป้งทีละคำ
ชีวิตของบ้านนี้ลำบากแร้นแค้นขึ้นเรื่อย ๆ หลายปีมานี้เขาเคยกินอิ่มแค่ครั้งเดียว ซึ่งก็คือครั้งที่ซิ่วเอ๋อเอาปลามาให้
บัณฑิตจ้าวกินเสร็จก็กำชับอย่างจริงจัง “เอ้อร์หลาง พี่ซิ่วเอ๋อของเจ้าก็ไม่ได้มีชีวิตสุขสบายเท่าไหร่หรอกนะ ตอนนี้นางช่วยเราขนาดนี้ เจ้าต้องจดจำบุญคุณครั้งนี้ไว้ ไม่อย่างวันหน้าจะเป็นอย่างไรก็ห้ามลืม”
…………………………………………………