ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 96 ทำไมหนีจื่อไม่ได้แต่งงาน
บทที่ 96 ทำไมหนีจื่อไม่ได้แต่งงาน
แม่เฒ่าโจวถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย จมอยู่ในภวังค์แห่งความทรงจำ “ตอนนั้นหนีจื่อเพิ่งจะอายุสิบสาม ตระกูลโจวของเราถึงจะไม่ได้ฐานะมั่งมี แต่ก็กินอิ่มสบาย”
“ตอนน้าเล็กเจ้ายังเด็ก ข้าหมั้นหมายไว้ให้นาง ฝ่ายชายโตกว่าหนีจื่อสามปี ถ้าพูดถึงเรื่องอายุก็นับว่าเข้ากันได้อย่างเหมาะเจาะ รอแค่ให้หนีจื่อถึงวัยปักปิ่น*ก็แต่งงานกันได้” แม่เฒ่าโจวกำลังระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคะนึงหา
*ช่วงอายุเข้าสู่วัยสาวของหญิงจีนสมัยโบราณ โดยทั่วไปอยู่ที่ราว 14-15 ปี เหตุที่เรียกว่าวัยปักปิ่นเพราะจะมีการเปลี่ยนทรงผมเป็นเกล้ามวยแล้วปักด้วยปิ่น
จางชุนเถาฟังมาถึงตรงนี้ก็อดแทรกขึ้นมาไม่ได้ “แล้วทำไมตอนนี้ท่านน้าเล็กยังไม่แต่งงานล่ะเจ้าคะ? ฝ่ายชายล้มหมั้นเหรอ?”
แม่เฒ่าโจวถอนหายใจ “ถ้าเป็นแค่ล้มหมั้นธรรมดา ต่อให้ชื่อเสียงเราจะไม่ค่อยดี น้าเล็กเจ้าก็คงไม่อยู่อย่างไร้คู่ครองมาจนถึงตอนนี้หรอก”
จางซิ่วเอ๋อจับใจความจากคำพูดของแม่เฒ่าโจวได้ สรุปได้ว่าหนีจื่อโดนล้มหมั้นจริง ๆ แต่ก็ยังมีเรื่องราวที่พูดยากอยู่ด้วย
จางซิ่วเอ๋อจึงรอให้แม่เฒ่าโจวเล่าต่อ
แม่เฒ่าโจวปาดน้ำตาอีกหน “ข้าน่ะ นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็เสียใจตลอด รู้สึกเจ็บใจแทนน้าเล็กเจ้า!”
“ตอนน้าเล็กเจ้าอายุสิบสาม นางก็ไปเจอคู่หมั้นของนางนัวเนียอยู่กับแม่นางน้อยอีกคนในหมู่บ้านเดียวกันตอนปล่อยวัวไปกินหญ้าอยู่บนเขา นางโมโหจึงเข้าไปถาม…..” แม่เฒ่าโจวเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง
“จากนั้นพวกเขาก็เกิดทะเลาะตบตีกัน น้าเล็กเจ้าหัวเดียวกระเทียมลีบ นางโมโหแล้วเผลอไปเตะโดนท่อนสืบพันธุ์ของเขาเข้า…..” แม่เฒ่าโจวพูดมาถึงตรงนี้ก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน
การพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเด็กสองคนนี้นับว่าไม่ดีเท่าไร แต่ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อและจางชุนเถากำลังอยากรู้ นางก็ทำอะไรไม่ได้
จางซิ่วเอ๋อคิดไม่ถึงว่าหนีจื่อจะมีช่วงเวลาที่องอาจขนาดนี้ด้วย หนีจื่อให้ความรู้สึกต่อจางซิ่วเอ๋อว่าเป็นคนเรียบร้อย ตอนนั้นนางคงจะฉุนขาดจริง ๆ
คนในหมู่บ้านหมั้นกัน ก็เท่ากับเป็นของกันและกัน ตอนหนีจื่ออายุสิบสามอาจจะยังไม่รู้ว่าความรักคืออะไร แต่รู้แน่ ๆ ว่าผู้ชายคนนั้นคือสามีตัวเองในอนาคต
ไปเห็นภาพแบบนั้นเข้า การที่หนีจื่อจะพุ่งเข้าไปถามก็เป็นเรื่องปกติ
“จากนั้นล่ะเจ้าคะ?” จางซิ่วเอ๋อถามต่อ
แม่เฒ่าโจวสะอึกสะอื้น “จากนั้นบ้านฝ่ายชายก็มาอาละวาด บอกให้หนีจื่อของเราแต่งเข้าไป แต่ใครจะรู้ว่าชายคนนั้นยังจะเป็นคนปกติดีอยู่หรือไม่? ข้าจะยอมให้หนีจื่อแต่งเข้าไปได้อย่างไร…..”
“แล้วจากนั้น ท่านป้าใหญ่ก็ชดใช้เงินเพื่อให้เรื่องจบใช่ไหมเจ้าคะ?” จางซิ่วเอ๋อถาม ถ้าเป็นแบบนั้นนางคงต้องมองหยางชุ่ยฮวาเสียใหม่แล้ว
คนเห็นแก่ผลประโยชน์อย่างหยางชุ่ยฮวาอย่างกับพวกทาสเงิน ทำเพื่อหนีจื่อได้ถึงขั้นนี้ จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าหาได้ยากมาก
แม่เฒ่าโจวพยักหน้า “ทีแรกเรื่องนี้ก็จบลงแล้วหลังฝ่ายนั้นได้เงินไป แต่บ้านนั้นกลับแค้นฝังใจ หาพวกกุ๊ยมาเล่นงานหมายจะทำมิดีมิร้ายหนีจื่อ ถึงแม้หนีจื่อจะหนีออกมาได้ แต่เรื่องนี้ก็กลายเป็นที่รู้กันทั้งหมู่บ้าน”
“บ้านนั้นปล่อยข่าวลือทำลายชื่อเสียงหนีจื่อออกไปว่าหนีจื่อไม่รักนวลสงวนตัว แล้วยังบอกว่าหนีจื่ออำมหิต ทำร้ายท่อนสืบพันธุ์กันได้ พอเป็นแบบนี้ใครจะกล้ามาสู่ขออีก?” แม่เฒ่าโจวกัดฟัน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
จางซิ่วเอ๋อโมโห “แล้วไม่มีใครมาจัดการเรื่องนี้เหรอเจ้าคะ?”
“จัดการหรือ? จัดการอย่างไรล่ะ? ไม่ต้องพูดเรื่องที่หนีจื่อเป็นฝ่ายลงมือก่อน เพียงแค่พี่ชายของคนผู้นั้นที่ตอนนี้เป็นพ่อบ้านตระกูลเนี่ยแล้ว คนธรรมดาอย่างเราจะไปมีเรื่องด้วยได้อย่างไร……” แม่เฒ่าโจวถอนหายใจ
จางซิ่วเอ๋อผงะ “ตระกูลเนี่ย? เจ้าของที่น่ะเหรอ?”
แม่เฒ่าโจวพยักหน้า “ตระกูลเนี่ยที่เจ้าแต่งไปนั่นแหละ ดูแล้วตระกูลเนี่ยไม่มีคนดีสักนิด รังแกลูกสาวข้าแล้ว ตอนนี้ยังมาทำแบบนี้กับเจ้าอีก…..”
จางซิ่วเอ๋อเห็นว่าแม่เฒ่าโจวดูจะร้องไห้หนักขึ้นเรื่อย ๆ จึงรีบปลอบ “ท่านยาย อย่าร้องไห้เลยนะ ข้ายังมีชีวิตที่ดีไม่ใช่หรือ? โชคดีที่ข้าแต่งงานแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าอาจจะโดนท่านย่าจับไปขายก็ได้ ไม่รู้ว่าชีวิตตอนนี้จะเป็นอย่างไร”
แม่เฒ่าโจวรู้ว่าแม่เฒ่าจางเคยจะขายสองพี่น้อง พอได้ยินจางซิ่วเอ๋อพูดแล้วก็นึกสะเทือนใจ “ฟังที่เจ้าพูดแล้วก็จริง เจ้าก็ถือว่ายังมีความโชคดีในความโชคร้าย”
“มาใช้ชีวิตเองถึงจะลำบากไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าไปรับใช้ผู้อื่น โดนคนอื่นควบคุม” แม่เฒ่าโจวบอกอย่างสงสาร
“แต่น่าเสียที่อีกหน่อยพวกเจ้าสองคนจะแต่งงานยากหน่อย” แม่เฒ่าโจวมองสองพี่น้องแล้วเอ่ย
ที่จริงแม่เฒ่าโจวเครียดแค่เรื่องแต่งงานของหนีจื่อคนเดียว แต่ตอนนี้ต้องเครียดเรื่องของพี่น้องจางซิ่วเอ๋อจางชุนเถาเพิ่มไปด้วย
จางซิ่วเอ๋อปลอบ “ท่านยายไม่ต้องใจร้อนไป ตอนนี้ข้าหาเงินได้แล้ว วันหน้าข้าจะจัดสินเดิมดี ๆ สักสองชุด คนละแวกนี้หรือจะไม่อยากมาสู่ขอพวกเรา?”
แม่เฒ่าโจวได้ฟังก็มีดวงตาเป็นประกายโล่งใจขึ้นไม่น้อย
จางซิ่วเอ่อเสริมอีก “ส่วนเรื่องท่านน้าเล็กก็ไม่ต้องห่วง ข้าจะจัดสินเดิมให้ท่านน้าเล็กด้วย”
สำหรับจางซิ่วเอ๋อแล้วเงินทองเป็นของนอกกาย ถ้าดูแลครอบครัวแทนเจ้าของร่างได้ก็ถือเป็นเรื่องดี
แน่นอนว่าต้องเสียเงินให้กับคนที่คู่ควรเท่านั้น ถ้าเป็นแม่เฒ่าจางอยากมาใช้เงินนางหรือ? ไม่ต้องพูดเงินจำนวนมาก ๆ เลย แม้แต่แดงเดียวนางก็ไม่ให้!
จางซิ่วเอ๋อรู้เรื่องพวกนี้แล้วก็เห็นใจหนีจื่อมากขึ้น
ขณะเดียวกันก็แค้นตระกูลเนี่ยอย่างฝังจิตเพิ่มขึ้น
ว่าแล้วว่าคนตระกูลเนี่ยไม่ใช่คนดี! เฮอะ กลับไปแล้วนางจะตั้งป้ายวิญญาณให้คุณชายเนี่ย สาปแช่งคุณชายเนี่ยให้ตกนรกสิบแปดชั้นทุกวัน! ลงกระทะทองแดงทุกวันไปเลย!
แต่รู้เรื่องพวกนี้ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว
อย่างน้อยตอนนี้สองพี่น้องก็เกลียดหยางชุ่ยฮวาไม่ค่อยลงแล้ว
สองคนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมคนตระกูลโจวถึงอดทนกับหยางชุ่ยฮวาขนาดนั้น ดูแล้วไม่ใช่กลัวหยางชุ่ยฮวาจริง ๆ แต่รู้สึกเศร้าใจในระดับหนึ่ง ที่พวกตนทำผิดต่อหยางชุ่ยฮวา
อย่างไรเสียแค่ให้หยางชุ่ยฮวาลำบากไปกับบ้านตระกูลโจวก็ผิดมากแล้ว ยังต้องให้หยางชุ่ยฮวาเอาสินเดิมมาช่วยรายจ่ายที่บ้านอีก
คนตระกูลโจวมีแต่คนซื่อ ๆ พอเป็นแบบนี้ก็ต้องรู้สึกติดค้างหยางชุ่ยฮวาไม่ใช่หรือ?
ฐานะของหยางชุ่ยฮวาในบ้านตระกูลโจวจึงไม่ได้สูงธรรมดา!
จางชุนเถาเบ้ปาก “คิดไม่ถึงว่าป้าสะใภ้ใหญ่จะมีตอนดี ๆ กับเขาด้วย”
แม่เฒ่าโจวถอนหายใจ “หลายปีมานี้ถ้าไม่ได้นางคอยจัดการเรื่องทั้งในบ้านนอกบ้าน บ้านเราคงอยู่มาไม่ถึงวันนี้”
ตอนนั้นที่ติดหนี้มากมายเพราะเรื่องของหนีจื่อ เจ้าของที่ตระกูลเนี่ยก็ไม่ยอมให้พวกเขาเช่าที่นาต่อเพราะเรื่องนี้ คนตระกูลโจวที่มีที่นาเพียงกระหย่อมหนึ่ง จะพอกินอะไร?
จากนั้นแม่โจวและแม่เฒ่าโจวก็คุยกันอีกมากมาย
แม่โจวไม่ค่อยกล้าเล่าเรื่องที่ตระกูลจางให้แม่เฒ่าโจวฟัง แต่แม่เฒ่าโจวก็พอเดาออก อดปาดน้ำตาไม่ได้
………………………………………………