ทายาทเศรษฐีฉบับหนุ่มจน / ที่แท้….ฉันเป็นลูกเศรษฐี - บทที่ 113 ไอ้แมงดา
ดูก็รู้ว่าหญิงสาวคนนี้รู้จักเฉินเกอ
และตัวเฉินเกอนั้น เมื่อเห็นสาวสวยคนนี้ก็ตกใจเหมือนกัน
“เจียงเวยเวย?”
ตั้งแต่เรื่องที่ชกหวังหยางครั้งก่อน ตัวเขาเองกับเจียงเวยเวยก็ได้แตกหักกันแล้ว
เธอหลงรักหวังหยางมาตลอด ถึงแม้ว่าตอนหลังตัวเองได้มอบเสื้อให้เจียงเวยเวยหนึ่งตัว แต่ในสายตาเธอ ตัวเขาเองกับหวังหยางนั้นเทียบกันไม่ได้เลย
และเป็นเพราะตัวเอง ที่ให้เจียงเวยเวยเกือบจะไม่ได้เป็นประธานนักศึกษา ดังนั้นสองสามวันที่เจอกัน เจียงเวยเวยก็จะมองเฉินเกอด้วยหางตา
ไม่คิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกันตรงนี้!
“เฉินเกอ นายมาทำอะไรที่นี่?”
เจียงเวยเวยถามด้วยสีหน้าที่เย็นชา
“เฉินเกอ พวกเธอรู้จักกันเหรอ?”
ขณะนี้เจิ้งยวี่ได้ไปยืนข้างกายเฉินเกอ ถามด้วยเสียงที่ออดอ้อน
“รู้จัก พวกเราเรียนคณะเดียวกัน!”
เฉินเกอยิ้มเจื่อนๆแล้วพูด
แล้วมองไปที่เจียงเวยเวย: “ฉันมาเจอคุณพ่อคุณแม่ของเจิ้งยวี่ไง!”
“พบพ่อแม่ พบพ่อแม่ทำไม?”
สีหน้าของเจียงเวยเวยเย็นวาบทันที
ในเวลาเดียวกัน สมาชิกตระกูลเจียงทั้งสามคน ก็มองมาทางเฉินเกอ
“เฉินเกอเป็นแฟนของฉัน แล้วเธอคิดว่าเขามาพบพ่อแม่ทำไมละ?”
เจิ้งยวี่พูดอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
เธอไม่ได้ชอบคนที่ชื่อเจียงจื่อเฉียวเลยแม้แต่นิดเดียว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หลังจากที่รู้จักเฉินเกอแล้ว มาตรฐานการเลือกผู้ชายของเจิ้งยวี่ก็สูงขึ้น
ในใจได้เห็นคนที่เก่งกาจมาแล้ว ถึงแม้จะดีเด่น ต่อให้คุณจะดีเด่นยังไง ก็คงสู้คุณชายเฉินเกอไม่ได้
ดังนั้นตอนนี้เจิ้งยวี่ก็เลยใช้ความคิดแบบนี้ในการเลือกแฟน
และคำพูดนี้ ราวกับว่าเป็นลูกระเบิดลูกหนึ่ง
ทำให้คนที่อยู่ในนี้ต่างตกตะลึง
โดยเฉพาะคนของบ้านตระกูลเจียง
พวกเขามาอย่างเปรมปรีดิ์ ก็เพราะได้ยินมาว่าเจิ้งยวี่เกี่ยวข้องกับบริษัทจินหลิง อีกอย่างหน้าตาก็สวยด้วย ฐานะทางบ้าน ก็ถือว่าเหมาะสมกัน
โดยรวมๆแล้ว หากมาเป็นลูกสะใภ้ตระกูลเจียง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
แต่ไม่คิดว่า เจิ้งยวี่เธอมีแฟนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ตัวเองยังพาลูกชายมาดูตัว ถึงได้รู้?
“เหล่าเจิ้ง นี่มันอะไรกันแน่?”
ลุงใหญ่ของเจียงเวยเวยถามด้วยสีหน้าที่เย็นชา
คนที่ชื่อเจียงจื่อเฉียวนั้น เวลานี้ใบหน้าที่เขามองเฉินเกอราวกับศัตรู
เจิ้งยวี่ ทำไมเขาจะไม่ชอบเธอละ
ตอนนี้เขาสังเกตเฉินเกอ เพื่อเสาะหาจุดเด่นในตัวของเฉินเกอ แล้วทั้งสองก็เข้าสู่กันเปรียบเทียบ
ด้านคุณพ่อคุณแม่ของเจิ้งยวี่มัวแต่ขอโทษขอโพย พูดว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกัน
ในใจนี้ด่าถึงบรรพชนของเฉินเกอแล้ว ไอ้เด็กนอกคอก วันนี้มาก่อความวุ่นวายอะไรเนี่ย!
“พ่อครับ ใจเย็นก่อนครับ เป็นอย่างที่คุณอาเจิ้งพูด ในนี้คงจะมีอะไรผิดพลาดบางอย่าง อีกอย่าง น้องชายคนนี้ ก็เป็นเพื่อนนักศึกษาของเวยเวยด้วย!”
เจียงจื่อเฉิงยกมือขึ้นจับนาฬิกา
เวลานี้ยิ้มแล้วพูดอย่างเรียบเฉย
“เห่อๆ เพื่อนนักศึกษา? เฉินเกอ ฉันรู้แล้วว่าทำไมนายถึงได้โอ้อวดอย่างไม่สิ้นสุด ที่แท้นายก็มาเป็นแฟนเด็กของคนอื่นนี่เอง พูดตามจริงนะเฉินเกอ ก่อนหน้านี้ถึงแม้นายจะถูกหวย กลายเป็นคนมีเงิน ทำให้ฉันอึดอัดมาก แต่ว่าเห็นแก่ที่นายเคยซื้อเสื้อให้ฉันตัวหนี่ง ถึงแม้ฉันยังคงไม่ชอบนาย แต่ว่าก็ไม่ได้ขยะแขยงนายเหมือนก่อน
“ดูจากตอนนี้แล้ว นายน่าขยะแขยงกว่าที่ฉันคิดไว้มาก!”
“ฉันถึงว่าล่ะ ทำไมนายถึงมีเงินขนาดนั้น ก็แค่ถูกหวย ทำไมถึงใช้ไม่หมดเสียที ที่แท้ก็มีคนเลี้ยงนี่เอง และพวกก็เขามีความสัมพันธ์กันจริง!”
ตั้งแต่ที่เจียงเวยเวยเข้าในห้องวีไอพีแล้ว ก็ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่
สำหรับเจิ้งยวี่คนนี้ เธอก็ค่อยๆจะจำได้แล้ว
เป็นคนที่ครั้งก่อนถูกพวกสวี่ตงและหลินเจียวจับไว้ เป็นผู้หญิงที่สวี่ชาวตามจีบ และเฉินเกอที่ถูกผู้หญิงที่รับเลี้ยงเก็บไว้บนรถ
ภาพตอนนั้นที่ตัวเองมองเห็น
แต่เรื่องบางอย่างที่ต่อจากนั้น ทำให้เจียงเวยเวยคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้
มองจากมุมของเธอ หากจะเลี้ยงแมงดาสักคน จะไม่มีทางเลี้ยงเศษสวะอย่างเฉินเกออย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ ผู้หญิงคนนี้ยอมรับด้วยตัวเอง เฉินเกอก็คือแฟนเด็กของเธอ!
เหตุนี้ เจียงเวยเวยจึงได้พูดขึ้นมา และก็พูดอย่างไม่สนใจใครทั้งนั้น
จ้องมองเฉินเกอ ใบหน้ายโสโอหัง นายไม่ใช่ไอ้โคตรเทพเหรอ? ฮ่าๆๆๆๆ ที่แท้ก็เป็นไอ้แมงดา
คำพูดเหล่านี้ ทำให้สีหน้าของพ่อแม่เจิ้งยวี่ดูแย่มาก
จากที่ฟังมา เจ้าหนุ่มน้อยคนนี้ก็เป็นไอ้แมงดาจริงเหรอ
แม่ของเจิ้งยวี่ชี้ไปที่เฉินเกอแล้วพูด: “เจิ้งยวี่ แกลองอธิบายให้แม่ฟังหน่อย เฉินเกอคนนี้มันยังไงกันแน่? เขาเป็นแมงดาจริงเหรอ?
“แม่ ไม่ใช่ ฟังหนูอธิบายก่อน!”
เจิ้งยวี่ลนลานเล็กน้อย
ไม่ได้คาดคิดเลย เดิมทีการปฏิเสธการดูตัวที่ง่ายๆอย่างนี้ จึงสามารถวุ่นวายได้ขนาดนี้
เจียงเวยเวยคนนี้ก็เหลือเกิน จะตามพี่ชายไปวันไหนก็ได้ ทำไมต้องตามมาวันนี้ด้วย
“แม่ไม่อยากฟัง ไม่อยากฟัง แกแค่ตอบว่ามาใช่หรือไม่? คุณแม่ของเจิ้งยวี่พูดอย่างเด็ดขาด
เจียงเวยเวยที่อยู่ข้างๆได้กอดอก เดินไปยังข้างกายของเจียงจื่อเฉียว ยิ้มแล้วพูดขึ้น: “พี่คะ พี่ไม่ต้องกลุ้มใจ พี่ยังจำได้ไหมว่าตอนอยู่บ้านฉันเคยพูดถึง ที่คณะของฉันมีคนที่โคตรๆจนคนหนึ่ง? จนถึงขั้นไม่เคารพตัวเอง จนถึงขั้นถูกแฟนเก่าทิ้ง แล้วแฟนเก่าเขาก็ไปคบกับลูกเศรษฐี!”
“จากนั้น เขาก็ถูกหวยนิดๆหน่อยๆ ก็โอ้อวดจนลืมชื่อลืมแซ่ตัวเองแล้ว ยังจำไอ้คนนอกคอกคนนั้นได้ป่ะ? เห่อๆ ก็คือเขาไง”
เจียงเวยเวยพูดในใจ ในเมื่อฉีกหน้ากันอย่างนี้แล้ว ก็ฉีกกันต่อเลย
เฉินเกอช่วงนี้นายก็ทรมานเจียงเวยเวยไว้ไม่น้อยเหมือนกัน
เดิมทีนึกว่านายมีเงิน ยังอยากเป็นแฟนนาย
ตอนที่นึกว่านายมีเงินมากมายนั้น เจียงเวยเวยเกือบจะมีความคิดแบบนั้นแล้ว
โดยเฉพาะที่นายเอาเสื้อตัวละห้าหกหมื่นให้เธอ ถึงแม้จะเป็นการตอบแทน แต่ก็ยังให้เสื้อที่ราคาแพงขนาดนี้กับเธอ
หากพูดว่าไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่นิดเดียวมันคือเรื่องโกหก
แต่ว่าเฉินเกอที่แท้ก็เป็นผู้ชายสารเลวคนหนึ่ง มีเงินห่าอะไร!
เธอตั้งใจพูดต่อหน้าทุกคน เพื่อให้เจิ้งยวี่เข้าใจตัวตนที่แท้จริงก่อนหน้านั้นของเขา แล้วถีบไอ้คนนอกคอกคนนี้ไปให้ไกล!
เวลานี้แววตาคู่นั้นเจียงจื่อเฉียวเปล่งประกาย หากเป็นไอ้โคตรจนคนนั้นจริง อย่างนั้นเขาก็ไม่มีแรงกดดันเลยแม้แต่น้อย “เจิ้งยวี่ แกอธิบายให้ชัดเจนหน่อย คนคนนี้เป็นอย่างที่เจียงเวยเวยพูดหรือเปล่า? เขาก็คือไอ้คนโคตรจน?”
แม่ของเจิ้งยวี่ถามอย่างบีบบังคับ น่าอายจริงๆ วันนี้ช่างน่าอายเสียงจริง!
“หนู………..”
เจิ้งยวี่ลนลาน
ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง
“ใช่ เมื่อก่อนผมจน แต่ว่าผมไม่ได้จนถึงขั้นไม่เคารพตัวเอง ผมแค่ต้องการหาเงินเลี้ยงชีพ แล้วก็ตั้งใจเรียนหนังสือ เพื่ออนาคตที่ดี แบบนี้มันก็ผิดด้วยเหรอ?”
เฉินเกอถูกคำพูดของเจียงเวยเวยทิ่มแทงเข้าไปในใจประโยคแล้วประโยคเล่า
อดไม่ได้ที่จะพูดถึงความหดหู่ในอดีตของตัวเอง
“ทำไมพวกคุณต้องชี้ไม้ชี้มือในขณะที่พูด ผมถึงแม้จะจน แต่ก็ไม่เคยล่วงเกินพวกคุณ แล้วทำไม่ทุกคนต้องรังแกผมด้วย?”
เฉินเกอจ้องมองเจียงเวยเวยแล้วคำรามออกมา
เพราะสามปีมานี้ ความอัปยศอดสูที่เจียงเวยเวยนำมาให้เฉินเกอนั้น ไม่ได้น้อยไปกว่าพวกลู่หยาง
ต่อหน้าผู้คน เธอไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขากับหยางเส่วบางเอิญเจอกับเธอที่นอกห้องเรียน
เธอก็ด่าเขาต่อหน้าผู้คนแบบนี้:
“เฉินเกอ ไอ้โคตรจนอย่างนายยังสามารถหาแฟนได้ด้วยเหรอ? ไม่น่าเชื่อเห่อๆ โอ้มายก๊อต”!
“ใช่แล้ว นายไปทำความสะอาดห้องรายงานตัวด้วย ไม่ต้องไปกินข้าวกับแฟนแล้ว อีกอย่าง คนอย่างนายจะไปโรงอาหารหรือไม่ไปก็คงจะไม่เป็นไร ไอ้โคตรจนอย่างนายแค่ไม่ทำงานวันเดียวก็ไม่มีเงินกินข้าวแล้ว!”
“อะไรนะ? นายไม่ไป? เพี้ย!” ก็ตบเข้าที่บ้องหู เชื่อหรือไม่ว่าฉันจะตัดทุนการศึกษาของนาย ทำให้นายต้องไสหัวออกไป
เรื่องราวเหล่านี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเรียนปีหนึ่งปีสอง เจียงเวยเวยทำอย่างนี้กับเขาต่อหน้าของหยางเส่ว
เพราะเรื่องนี้หยางเส่วยังทะเลาะกับเขาหลายครั้ง
แต่แล้วเฉินเกอ ก็เหมือนถูกปีศาจครอบงำ หดหู่มาโดยตลอด
ปีสามสถานการณ์ดีขึ้นมาหน่อย เพราะเจียงเวยเวยเบื่อที่จะด่าเขาแล้ว เห่อๆ……..
เรื่องราวเหล่านี้ เฉินเกอได้แต่เก็บความหดหู่ไว้ในใจ เขาไม่พูด แต่ไม่ได้แปลว่าเขาลืม
“ฮึ่ม ที่แท้นายมันก็ไอ้โคตรจน อย่ามาทำให้ลูกสาวฉันเสียเวลา แกรีบไสหัวไปให้ไกล!”
ทันใดนั้น คุณแม่ของเจิ้งยวี่ที่โกรธจนอาละวาด ได้ยกแก้วชาร้อนที่อยู่บนโต๊ะ สาดไปยังหน้าของเฉินเกอ……