ทายาทเศรษฐีฉบับหนุ่มจน / ที่แท้….ฉันเป็นลูกเศรษฐี - บทที่140 เพื่อนร่วมห้องมีเรื่อง
บทที่140 เพื่อนร่วมห้องมีเรื่อง
ความหมายนั้นของหลินเจียวเหมือนกำลังพูดว่า คิดไม่ถึงละสิเฉินเกอ ฉันหลินเจียวก็มีวันนี้เหมือนกัน โดนคนรวยแบบคุณชายจ้าวมองว่าเป็นน้องสาวคนสนิท
แถมยังซื้อเสื้อผ้าให้ฉัน แถมยังให้กระเป๋าฉันอีก!
หลินเจียวคิดอยากจะเอาคำสบประมาทที่เฉินเกอเคยว่าเธอไว้ส่งกลับคืนไปให้หมด
แน่นอนว่าเฉินเกอไม่สนใจเธอ แล้วก็ก้มหน้าลงไปกินข้าวต่อ
ส่วนท่าทางนั้นของหลินเจียวก็ทำให้จ้าวยีฟานให้ความสนใจ
ความเป็นจริงแล้ว เมื่อกี้ตอนที่เข้ามาในโรงอาหาร จ้าวยีฟานเห็นเฉินเกอแล้ว
แต่ว่านะ เธอโกรธเฉินเกอก็เลยแค่เหลือบมองไปแป๊บหนึ่ง
พูดถึงเรื่องที่เธอกับคุณชายจ้าวรู้จักกัน
ก็เกี่ยวข้องกับเฉินเกออยู่เล็กน้อย
วันที่สวนเล็กๆ เฉินเกอทิ้งตัวเองแล้วไปตามจีบซูมู่หานใช่ไหมล่ะ? ตัวเธอก็รีบออกมาด้วยความโกรธและความอาย แล้วในเวลานั้นพอดีกับที่เธอเจอเข้ากับคุณชายจ้าว
โดนคุณชายจ้าวขอเพิ่มเพื่อนในวีแชท ทั้งสองคนก็เลยเป็นเพื่อนกัน
และก็เพราะว่ารู้จักกับคุณชายจ้าว รัศมีพวกนั้นของเฉินเกอที่เคยทำลายศักดิ์ศรีของจ้าวยีฟานก็หายไปด้วย
เพราะฉะนั้นจ้าวยีฟานก้ไม่จำเป็นจะต้องใส่ใจเฉินเกออีก !
ยังไงเธอก็สามารถหาผู้ชายที่ดีกว่าเฉินเกอได้เป็นร้อยเท่า
หึหึ !
“ใช่สิมู่หาน เธอบอกว่ามีเรื่องจะพูดกับฉัน เรื่องอะไรเหรอ?”
เฉินเกอดึงความคิดตัวเองกลับมา ตอนนี้ก็กำลังกินข้าวไปแล้วถามซูมู่หานไป
“อืม ใช่ๆ คือเรื่องเกี่ยวกับที่พวกเราจะไปเรียนรู้ที่สถานีโทรทัศน์ก่างเต่าเวลาสามเดือนนะ ฉันสมัครไปแล้วนะ อยากไปลองเรียนรู้ดูน่ะ แล้วค่อยกลับมาจินหลิง ก็น่าจะถึงเวลาฝึกงานแล้ว!”
ซูมู่หานพูดขึ้น
“เห้ย ทำไมกะทันหันจัง?”
เฉินเกอช็อก
“ได้ข่าวมาตอนสายๆน่ะ เสร็จแล้วก็เริ่มเปิดรับสมัครเลย ไม่อย่างนั้น หลังจากที่ฉันสมัครเสร็จแล้วจะประชุมทั้งวันเหรอ? เวลาเรียนคือสามเดือน! ฉันเองก็อยากอยู่ที่จินหลิง แต่ฉันไม่อยากอยู่ที่บ้านของฉัน โดยเฉพาะภายใต้เงาของนาย ฉันอยากจะพัฒนาตัวเองไปอีกขั้น!”
ซูมู่หานพูดขึ้นอย่างแน่วแน่
เฉินเกอพยักหน้าด้วยความผิดหวังเล็กน้อย “ก็ดี พวกเรายังเด็ก เรียนรู้อะไรบ้างก็ดี ไม่ใช่แค่เธอ ฉันเองก็มีแผนการเรียนของขั้นถัดไปเหมือนกัน”
ถึงจะไม่ใช่เลิกกัน
แต่พอคิดว่าพอต้องห่างกันก็ตั้งสามเดือน ทำให้เฉินเกอเองก็ไม่อยากจะจาก
“นายนะ มีเวลาก็ไปหาฉันได้ไหม! ฉันก็ไม่ได้หายตัวไปเสียหน่อย!”
ซูมู่หานจับมือของเฉินเกอเอาไว้แล้วหัวเราะ
“โอเคๆๆ ต่อไปแค่ฉันมีเวลาว่างก็จะไปหาเธอ!”
ได้ยินพี่สาวบอกว่า ศูนย์รวมของตระฉันลอยู่ที่เมืองหนานหยาง ก่างเต่าดูเหมือนจะยังมีกิจการของที่บ้านตัวเองอยู่
ถึงตอนนั้นแค่บอกไปสักคำ ซูมู่หานไปแล้วตัวเขาเองก็สบายใจ
เหอๆ ตอนนี้เฉินเกอคิดแล้วก็เหมือนละครดีนะ
เมื่อก่อนที่จน รู้สึกเหมือนทั้งโลกกำลังทอดทิ้งตัวเอง
ตอนนี้มีเงินแล้ว กลับรู้สึกเหมือนตัวเองได้ครอบครองโลกทั้งใบ
ส่วนเรื่องของจ้าวยีฟาน เฉินเกอก็ไม่ไปคิดถึงแล้ว
ก็ดี ยังไงเฉินเกอก็ไม่อยากจะไปข้องเกี่ยวกับเธอมากนัก ผู้หญิงนิสัยแบบนี้ แม้แต่เพื่อนเฉินเกอก็ไม่อยากเป็น!
ยิ่งหลินเจียวยิ่งไม่ต้องพูดถึง
พอครบสามวัน เฉินเกอก็ไปส่งซูมู่หานขึ้นเครื่องบิน
พอไปส่งแล้ว เฉินเกอเองก็นับได้ว่าจิตใจสงบลงแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรก็เลยไปเรียนเกี่ยวกับการจัดการนิดหน่อย แล้วก็ค่อยไปปัญหาการพัฒนาของเขาหยุนเหมิง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ซูมู่หานไปก็เป็นเวลาสามวันแล้ว
“เหล่าเฉินเหล่าเฉิน นายเห็นปินจื่อบ้างไหม?”
วันนี้เป็นบ่ายวันศุกร์ เฉินเกอกำลังว่างไม่มีอะไรทำ ก็เลยนอนเล่นโ?รศัพทือยู่บนเตียง หยางฮุยกลับวิ่งเข้ามา สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“ไม่นะ พวกนายไม่ได้ไปเล่นอินเทอร์เน็ตด้วยกันเหรอ?”
เฉินเกอคิด ตอนนี้พวกเขาน่าจะรวมกลุ่มกันไปเล่นอินเทอร์เน็ตนี่
ยังไงสองวันนี้ก็ไม่รู้ว่าหลี่ปินเป็นอะไร ดูหงุดหงิดๆทั้งวัน พวกเฉินเกอถามเขา เขาก็ไม่ตอบ!
สรุปปกติเขาก็เป็นคนที่ร่าเริงคนหนึ่ง ตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นแปลกๆ
ตอนเที่ยงที่ไปกินข้าวด้วยกัน หยางฮุยบอกหลี่ปินเรื่องจะเล่นอินเทอร์เน็ต ออกไประบายความเครียดไรประมาณนี้
แต่พอถึงตอนเย็น ก็หาตัวคนไม่เจอแล้ว!
หยางฮุยก็เลยร้อนใจ
เฉินเกอเองก็หน้าผากมีเหงื่อไหล ปินจื่อคงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม?
ทันใดนั้นก็เลยหยิบโทรศัพท์ออกมา เฉินเกอรีบโทรไปหาหลี่ปิน
แต่กลับโดนปิดเครื่องไว้
“แม่งเอ้ย! ตกลงเรื่องอะไรกันวะเนี่ย?” หยางฮุยร้อนใจจนขยี้หัว
เฉินเกอเองก็ไม่มีอารมณ์จะนอนเล่นแล้ว ลงมาจากเตียง แล้วพูดขึ้นเบาๆ
“อย่าว่าไป ช่วงนี้ปินจื่อก็แปลกๆไป ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ฉันเห็นมันชอบแอบยิ้มให้กับโทรศัพท์ ฉันก็ว่าขอดูหน่อย มันก็ไม่ยอมให้ฉันดู ผลลัพธ์คือสองวันนี้ ก็ดูเครียดๆอีก! มันจะต้องมีเรื่องปิดบังพวกเราอยู่แน่ๆ!”
เฉินเกอคิดถึงท่าทางสองวันนี้ของหลี่ปินแล้วว่าขึ้น
แต่ว่าปกติหลี่ปินชอบที่จะทำเสียงดัง มีเงียบๆเครียดๆบ้าง คนในห้องเองก็ไม่มีใครคิดมาก คิดแค่ว่าแค่ชวนมันไปที่ยวก็หายแล้ว
“ใช่นะสิ ฉันเองก็ใส่ใจกับปัญหานี้เหมือนกัน ตอนนี้ที่สำคัญคือพวกเราจะต้องรีบหามันให้เจอ อย่าให้มีเรื่องอะไรก็พอ!”
หยางฮุยพูดจบ พวกพี่ๆน้องๆก็เตรียมตัวแยกกันหา
เฉินเกอร้อนใจจนแทบจะโทรหาตำรวจ
แต่พอเปิดประตู ทุกๆคนก็ชะงักไป
หลี่ปินกลับมาแล้ว!
ทั้งตัวของเขาเปียกเหงื่อไปหมด
แถมยังดูซีดเซียวจนผิดปกติ
“แม่ง! ปินจื่อ นายไปทำอะไรมาวะ?” หยางฮุยร้อนใจจนด่าออกมา
“อ๋อๆ ฉันออกไปข้างนอกมา สองวันนี้มีเรื่องนิดหน่อย!”
หลี่ปินดูเหม่อลอย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หลังจากนั้นก็อ้าปากหาวแล้วเดินเข้าไปในหอ
“ทำไมโทรศัพท์ปิดเครื่องอ่ะ?”
เฉินเกอเห็นท่าทางของหลี่ปิน ก็คิดว่าประหลาด
“แล้วก็นะปินจื่อ แกมีเรื่องอะไรปิดพวกฉันหรือเปล่า?”
“หา? ฉัน…..ฉันไม่มีนะ!”
“แล้วเมื่อกี้ที่นายบอกว่าสองวันนี้มีเรื่องนิดหน่อย?”
เฉินเกอกับหยางฮุยหันมามองตากัน ถ้าเกิดว่าไม่มีเรื่องจริงๆสิถึงแปลก ตอนนี้ เพื่อนๆสองคนกำลังล้มตัวหลี่ปินเข้ามา
หลี่ปินก้มหน้า ไม่พูดไม่จา สีหน้าก็เต็มไปด้วยความเครียดและความกังวล
“ปินจื่อ แกอยากทำให้พวกฉันว้าวุ่นใจจนตายใช่ไหม?”
เฉินเกอตบไหล่ของหลี่ปิน
แต่การต้องเผชิญหน้ากับคำถามของพวกเพื่อนๆที่สนิท ริมฝีปากของหลี่ปินก็กระตุก สุดท้ายเขาก็เกาหัวของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง
“พวกแกเลิกถามฉันได้แล้วโอเคไหม แล้วก็ไม่ต้องมาสนใจฉันด้วย ฉันไม่ใช่คนดีอะไรหรอก ที่จริงก็เป็นแค่ไอ้คนเลวด้วยซ้ำ ขอร้องพวกนาย เลิกถามฉันได้แล้ว!”
“ฉัน…ที่จริงฉันหลอกพวกนายมาตลอด ฉันมันชาติหมา พวกนายไม่ต้องมานับฉันเป็นพี่น้องเป็นเพื่อนสนิทอีกต่อไปแล้ว! ถ้าเกิดฉันพูดออกมา พวกนายจะต้องดูถูกฉันแน่ๆ!”
???
เฉินเกอกับหยางฮุยรู้สึกมึนงง
หลังจากนั้นเฉินเกอก็ถามขึ้น “จะเป็นไปได้ยังไงกันปินจื่อ นายมีปัญหาแล้วก็หลบหนี พวกฉันถึงได้ดูถูกนาย ยกเว้นนายไม่เคยมองว่าพวกเราเป็นพี่น้องกันเลย!”
“ไม่ๆๆ ฉันมองว่าพวกนายเป็นพี่น้อง ความรู้สึกของฉันที่มีต่อห้องของพวกเรานี่มันเป็นจริงนะ!” หลี่ปินเกาหัว “โอเค ฉันจะพูดออกมาทั้งหมด บางทีพูดออกมา ใจฉันอาจจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง!”
“เหล่าเฉิน เหล่าหยางที่จริงแล้วครอบครัวฉันก็จน ไม่ใช่ว่าพวกนายชอบคิดว่าบ้านฉันเองก็พอจะมีเงินอยู่บ้างใช่ไหม ที่จริงแล้วฉันแสร้งทำทั้งหมดเลย! สถานการณ์ครอบครัวของฉันไม่ได้ดีไปกว่าเหล่าเฉินเมื่อก่อนเลย พ่อแม่ของฉันป่วย น้องสาวทั้งสองคนของฉันก็ป่วยหนัก!”
“ตั้งแต่เล็ก ไม่เคยไม่มีใครไม่ดูถูกครอบครัวฉัน พวกนายรู้ไหม? ตอนฉันเจ็ดขวบฉันไปยืมเงินที่บ้านน้ากับแม่ พวกเขาไล่ฉันกับแม่ออกมา! แถมยังโยนพวกผลผลิตทางการเกษตรออกมาหมดเลยด้วย!”
“ดังนั้น ฉันเลยก็กลัวการที่โดนคนอื่นดูถูกมาก กลัวมาตั้งแต่เด็ก ฉันกลัวมากว่าถ้าฉันไม่มีเงินแล้วคนอื่นก็จะดูถูกฉัน เพราะฉะนั้นตั้งม.ปลาย ฉันก็เลยแสร้งแกล้งว่าตัวเองมีเงิน!”
“อาทิตย์ที่แล้ว ฉันจีบหัวหน้าห้องตอนม.ปลาย เธอยอมตอบตกลงเป็นแฟนฉัน แต่ว่าเธอไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่น เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เห็นแก่นั้นพวกนั้น แต่ฉันกลับหลอกเธอ ฉันหลอกเธอว่าตอนฉันอยู่ที่มหาลัยฉันไปได้สวย แถมยังเปิดร้านอยู่สองสามร้าน แต่ว่าตอนนี้……”
หลี่ปินก้มหน้า เหมือนกับลูกบอลที่โดนเอาลมออกจบแฟบ
เฉินเกอเข้าใจเขา “จากนั้น ตอนนี้เธอเลยอยากมาหานาย?”
“ใช่นะสิ ตอนแรกคุยกันแล้วว่าฉันจะไปหาเธอเอง แต่ว่าเธอจะมาให้ได้ อย่างนี้จะทำยังไงดีล่ะ? ถ้าเกิดว่าเธอรู้ว่าฉันหลอกเธอ จะต้องเลิกกับฉันแน่ๆ ฉันชอบเธอมากจริงๆ! ดังนั้นสองวันมานี้ฉันก็เลยไปทำพาร์ทไทม์หาเงิน!”
เห็นหลี่ปินเป็นแบบนี้
เฉินเกอเองก็ไม่รู้ว่าจะโน้มน้าวเขายังไง
ตัวเองก็หลอกซูมู่หานบ่อยๆ
แต่ก็เข้าใจความรู้สึกของหลี่ปิน เขาแค่อยากได้รับความรัก แต่ก็คงเพราะกลัวว่าความจนความรักครั้งนี้ก็จะหายไป ดังนั้นก็เลยเป็นแบบนี้
“เอาอย่างนี้แล้วกันปินจื่อ นายก็อย่าเพิ่งเครียด ฉันมีอยู่หนึ่งวิธี!”