ทายาทเศรษฐีฉบับหนุ่มจน / ที่แท้….ฉันเป็นลูกเศรษฐี - บทที่188โทษตัวเองในใจ
บทที่188โทษตัวเองในใจ
“คนที่ห้องสมุดเยอะมาก ผมไม่อยากไป เลยอ่านที่ห้องสมุด!”
เฉินเกอตอบไปหนึ่งประโยค
“อ้อ อย่างนั้นต่อไปพวกเราสองคนก็รีบไปได้นะ ใครมาเช้า ก็จองที่ให้อีกคนก่อนดีไหม……”
“อืออือ ผมยังมีธุระ เดี๋ยวกลับมาคุยกัน!”
หลังจากเฉินเกอตอบข้อความเสร็จ ก็เอาโทรศัพท์วางไว้ข้างๆ
กำลังหลบฉินหยาอยู่แน่นอน ที่จริงแล้ว ตั้งแต่ที่ดีกับซูมู่หานแล้ว เฉินเกอก็จงใจรักษาระยะห่างกับผู้หญิง
ส่วนฉินหยา ยังไงครั้งนี้สอบเสร็จ เปิดเทอมอีกที สาขาของพวกเฉินเกออาจจอยู่ตอบข้อโต้แย้งของวิทยานพนธ์อีกสามเดือน
ส่วนสาขาของพวกฉินหยา น่าจะออกไปฝึกงาน
และก็คงไม่เจอกันอีก
ที่สำคัญคือสังคมของฉินหยา เฉินเกอคิดว่าตัวเองปรับเข้าไปไม่ได้
และก็ไม่คิดอะไรให้วุ่นวายซ้ำซ้อนแล้ว
จึงเป็นแบบนี้ ผ่านไปอีกสองวัน
ในสองวันนี้ แทบจะทั้งเช้าและบ่ายฉินหยาเอาแต่ถามหาเฉินเกอ บอกว่าจองที่นั่งดีๆให้เฉินเกอแล้ว รอเฉินเกอไปอ่านหนังสือ
เฉินเกอก็ข้ออ้างเลื่อนไป
ฉินหยาก็ยังอยากเลี้ยงข้าวเฉินเกอตลอด บอกว่าเป็นการขอบคุณ และยังรู้ว่าเฉินเกอกับพวกจ้าวถงถงอยู่ด้วยกันอึดอัด ดังนั้นมีครั้งหนึ่งก็เลยบอกว่ามีแค่ตัวเอง ให้เฉินเกอออกมา
เฉินเกอยังคงหาเหตุผลเลื่อนออกไป
จนวันที่สาม วันที่สี่ วันที่ห้าถัดมา สามวันติดผ่านไป ฉินหยาไม่ได้ชวนเฉินเกอคุยอีก
ก็เหมือนกับหายไปเลย
เฉินเกอก็ไม่คิดว่ามีอะไร ทุกวันนอกจากตัวเองจะเรียนและทบทวนบทเรียนแล้ว ก็คุยกับซูมู่หานเกี่ยวกับสถานการณ์ช่วงนี้ของเธอ
ทุกอย่างต่างปกติมาก
ช่วงบ่ายของวันนี้เอง เฉินเกอมาจากหลี่เจิ้นกั๋วกลับมาที่โรงเรียน ที่ร้านชานมหน้าประตูโรงเรียน เตรียมสั่งเครื่องดื่มกลับไปให้พวกหยางฮุย
“เฉินเกอ?”
ตอนนี้เอง เสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็เรียกเขาไว้
หันไปมอง ก็เป็นจ้าวถงถง เธอก็มาซื้อชานมด้วย ในเวลานี้เห็นเฉินเกออยู่ ในขณะที่เธอไม่คาดคิดเล็กน้อย การแสดงออกบนใบหน้าก็ดูแย่มาก
เมื่อก่อนเธอเห็นเฉินเกอ ก็มักจะขำและเยาะเย้ยเฉินเกอสักนิด
ตอนนี้เห็นเฉินเกอ ก็ดูไม่ชอบหน่อยๆ
เฉินเกอก็ไม่แคร์ ตอนนี้ชานมเสร็จพอดี เฉินเกอพูดขำๆ:“บวกของสาวสวยคนนี้ด้วย ผมจ่ายรวมเลย!”
“โอเค!”
ผู้ชายที่ขายชานมยิ้มตอบไป
“ไม่ต้องๆ ใครให้คุณจ่ายเหรอ ต้องการให้คุณมายุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่งด้วยเหรอไง!”
จ้าวถงถงจ้องมองเฉินเกออย่างดูถูก
“ผม……เพื่อนนักเรียนถงถง ผมทำไมเหรอ?”
เฉินเกอพูดอย่างสงสัย
“คุณทำอะไรไปไม่รู้ตัวเลยหรือไง?หึ คุณรู้ใช่ไหม คุณผิดนัดเสี่ยวหยามากี่ครั้งแล้ว?”
จ้าวถงถงขมวดคิ้ว พูดอย่างโกรธๆ
แค่กๆ
เฉินเกอก็คิดเรื่องนี้ได้
จ้าวถงถงพูดอีก:“คุณรู้ไหม ช่วงก่อนหน้านี้เสี่ยวหยา ตื่นเร็วกว่าเมื่อก่อนยี่สิบนาทีทุกวัน วิ่งไปจองที่ที่ห้องสมุด พวกเราถามเธอทำไมถึงตื่นเช้าขนาดนี้ เธอก็บอก ต่อไปเฉินเกอจะไปอ่านหนังสือกับพวกเรา แล้วไงล่ะ พอทุกวันหลังจากไปจองที่ คุณก็เอาแต่บอกว่ามีธุระมาไม่ได้!”
“อีกอย่าง บ่ายวันนั้น เสี่ยวหยาก็นัดกับคุณดีแล้ว อีกอย่างยังซื้อผลไม้ให้คุณด้วย บอกว่าคุยกับคุณแล้ว ตอนบ่ายไปห้องสมุดด้วยกัน สุดท้ายล่ะ คุณก็ไม่ไป!”
“ติดกันสองวันเลยนะพี่ชาย แล้วก็อย่าพูดถึงเรื่องที่เธอจะเลี้ยงคุณกินข้าวเลย เธอกลัวคุณจะไม่ชินที่ออกไปกิน ก็เลยสั่งข้าวให้คุณที่โรงอาหาร อยากเลี้ยงคุณกินข้าวเที่ยง และยังกลัวพวกเราจะเยาะเย้ยคุณ แม้แต่พวกเราเธอก็ไม่ให้ไป บัดซบ สุดท้ายคุณก็ยังผิดนัดเธอ!”
“คุณหลบทำไมเหรอ?จะทำใจกว้างมากเหมือนผู้ชายไม่ได้นะ อีกอย่าง ฉันมองออก เสี่ยวหยาเธอรู้สึกดีกับคุณมาก พวกเราไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกดีกับคุณ แต่ คุณทำให้เสี่ยวหยาผิดหวังอย่างเจ็บปวดจริงๆ!”
จ้าวถงถงพูดทั้งหมดออกมาอย่างตรงไปตรงมา
พอเฉินเกอฟังจบ จู่ๆในใจก็รู้สึกโทษตัวเอง
แน่นอน ฉินหยาชวนตัวเองซ้ำไปมาอยู่หลายรอบ แต่ถูกตัวเองปฏิเสธ
เฉินเกอแค่คิดว่าฉินหยาจะเกรงใจ คิดไม่ถึง ที่เธอพูดจะเป็นจริง อีกอย่างเลี้ยงตัวเองที่โรงอาหาร เธอก็สั่งอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว
ให้เฉินเกอรู้สึกผิดดต่อเธอ
“คุณหรือไหมว่าก่อนหน้านี้เสี่ยวหยาพูดถึงคุณว่าไง?”
“พูดอะไร?”
“เสี่ยวหยาบอกว่าคุณ ซื่อสัตย์ต่อคนมาก และยังจิตใจดีสุดๆ และยังน่ารักมากๆแบบโง่ๆ เธอรู้สึกกับคุณแปลกมาก บอกว่านี่คือเพื่อนผู้ชายคนเดียวที่เธอใส่ใจมาก สุดท้าย……ถุย ตอนนี้เสี่ยวหยาเกิดเรื่องแล้ว คุณกลับไม่แยแส และคุณยังจะมีอารมณ์พูดว่าเลี้ยงชานมคนสวย!เสี่ยวหยาตาบอดจริงๆ!”
จ้าวถงถงด่าจบ ในใจก็สบายขึ้นมาหน่อย
ส่วนเฉินเกอกลับตะลึงเล็กน้อย:“ฉินหยาเธอเกิดเรื่องเหรอ?”
“ไม่ใช่เสี่ยวหยาเกิดเรื่อง เมื่อกี้นี้เกิดจนสับสน แต่แม่ของเธอป่วย โรคที่ยากจะรักษาพวกนั้นแหละ พูดถึงก็ยิ่งโกรธ บ่ายวันก่อนนั้น เสี่ยวหยาไม่ได้เรียกคุณไปกินข้าวโรงอาหารด้วยกัน ครั้งนี้เธอเอาของกินมาจากบ้าน เลยไปนั่งรอคุณที่โรงอาหาร จากนั้นคุณก็บอกว่าคุณมีธุระอีก และก็ครั้งนั้นแหละ บ้านเธอโทรมา บอกว่าแม่เธอเป็นลมไป เสี่ยวหยาก็เลยลาไป”
“และพวกเรายังดูออก เดิมทีคุณก็ไม่ได้คิดเป็นเพื่อนกับเสี่ยวหยา อย่างนั้นคุณจะเอากำไลหยกที่ราคาแพงขนาดนี้ให้ฉินหยาทำไม?”
จ้าวถงถงมองเฉินเกออย่างดูถูก
จากนั้นชานมของเธอก็เสร็จ จ่ายเงิน แล้วหันเดินออกไป
ส่วนเฉินเกอกลับตะลึงอยู่ที่เดิม
ในใจมีความเจ้บปวดที่ยากจะบรรยายขึ้นมาได้
นี่แน่นอนว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องรักๆใครๆใดๆ
ก็มองออกว่า ฉินหยาถือว่าตัวเองเป็นเพื่อนจริงๆ
ส่วนตัวเอง กลับไม่ได้จริงใจต่อฉินหยาเพื่อนคนนี้ ตอนนี้บ้านเธอเกิดเรื่องใหญ่มาก อีกอย่างบ่ายวันนั้นที่เกิดเรื่อง เธอยังรอตัวเองไปกินข้าว
อีกอย่างในสามวันนี้ ตัวเองก็ไม่ได้ติดต่อเธอ
ตอนนี้ เฉินเกอเลยเปิดโมเม้นต์ในวีแชทของเธอดู จริงๆด้วย ฉินหยาบอกว่า แม่ หวังว่าครั้งนี้แม่จะผ่านไปได้ ทุกอย่างจะต้องดี!ฉันกับพ่อจะหาหมอที่ดีที่สุดในโลกมาให้แม่นะ จะต้องรักษาอาการของแม่ได้ดีแน่!
ในโมเม้นต์คือลงเมื่อสามวันก่อน
เห้อ ตัวเองไม่มีแม้แต่ประโยคทักทายห่วงใย!
คิดยังไง ตัวเองก็เหมือนคนไร้น้ำใจไร้คุณธรรมเสียจริง
และก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร ตอนนี้มองจ้าวถงถงที่ยังเดินไปไม่ไกล เฉินเกอก็จะตามไปอีกครั้ง
“ทำอะไร?”
จ้าวถงถงพูดอย่างเย็นชา
“อ้ออ้อ ผมขอถามหน่อยแม่ของเสี่ยวหยาอยู่โรงพยาบาลไหน เป็นโรคอะไร?”เฉินเกอถาม
“บัดซบ ตอนนี้คิดขึ้นได้ก็ถาม ไสหัวไปเถอะ!”
จ้าวถงถงดื่มชานมไปคหนึ่งแล้วด่าไปอีกฉอดหนึ่ง แต่ก็ยังพูดไปว่า:
“ที่โรงพยาบาลเฉิงลี่เหรินหมิง เป็นโรคที่ลำบากมาก หมอหลายคนต่างหมดหนทาง จนตอนนี้ก็ยังไม่มีทางวินิจฉัยได้ ยังไงซะก็เป็นโรคที่หาเจอยากในวงการแพทย์ รายละเอียดฉันไม่แน่ใจ!”
พูดจบจ้าวถงถงก็ออกไป
เฉินเกอกำลังสับสนกับตัวเอง ว่าตัวเองจะไปเยี่ยมสักหน่อยดีไหม?หรือว่าไม่ไป?
ไปเยี่ยม ถึงตัวเองพูดอะไร ยังไงก็ช่วยอะไรไม่ได้
ใช่สิ!
จู่ๆเฉินเกอก็คิดเรื่องหนึ่งได้ นั่นก็คือตอนนี้ตัวเองมีอำนาจในการควบคุมเรื่องฉุกเฉินได้อย่างอิสระแล้ว
รวมถึงอำนาจทางฐานทัพทางการแพทย์และหน่วยสืบราชการลับ เป็นต้น
ลุงคางบอก ว่าอำนาจพวกนี้ต่างเป็นอันดับต้นๆของโลก ไม่รู้ว่าอำนาจทางการแพทย์ของตัวเองจะช่วยอะไรได้ไหม
คิดถึงตรงนี้ เฉินเกอก็เลยโทรหาเทียนหลงสองพี่น้องแห่งบอดิการด์เทียนหลงตี้หู