ทายาทเศรษฐีฉบับหนุ่มจน / ที่แท้….ฉันเป็นลูกเศรษฐี - บทที่284 ภัยพิบัติ
บทที่284 ภัยพิบัติ
เฉินเกอเดินอยู่ข้างหลังพวกเขาแทบจะหมดความอดทนเต็มที
ให้ตายเถอะ ทุกครั้งที่ตัวเองออกตัวช่วยเหลือ ความดีเหมือนโดนคนอื่นเอาไปตลอดเลย
ตอนแรกคิดว่าครั้งนี้คงจะไม่
แต่แม่งไอ้เวรหยูเฉียงก็จริงๆเชียว แกก็ไม่ใช้สมองคิดหน่อยหรือว่าที่แกขอน่ะคือรองผู้จัดการ ผู้จัดการจะเป็นคนโทรมาสั่งด้วยตัวเองอย่างนั้นเหรอ?
คิดไปคิดมาเหตุผลก็คงเป็นเพราะตัวเองไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ
แต่จะทำยังไงได้ เฉินเกอไม่อยากที่จะทำตัวเป็นจุดสนใจเกินไป โดยเฉพาะตอนนี้ต่อพวกหวูเชี่ยน
ความรู้สึกก็ประมาณว่ามีเรื่องคับข้องใจแต่พูดออกมาไม่ได้
ตอนที่เข้าไป ทั้งสองกลุ่มก็รวมกันเป็นกลุ่มเดียว
โดยเฉพาะการช่วยเหลือจากหยูเฉียงในครั้งนี้ ทำให้หญิงสาวของอีกฝ่ายรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก หลักๆก็คือทำให้เธอมีความรู้สึกชื่นชมหยูเฉียง
นี่ทำให้หลินเยว่เกิดความรู้สึกมีวิกฤติเกิดขึ้นอย่างหนักหน่วง
เพราะว่าผู้หญิงคนนั้นก็สวย เข้ามาจู่โจมทักทายหยูเฉียง แน่นอนว่าภายในใจของหลินเยว่ก็ต้องรู้สึกหงุดหงิด
มองบนใส่ผู้หญิงคนนี้อยู่ตลอดๆ
“เอากระเป๋าฉันกลับไปเก็บที่เดิมเลยนะ!”
เดินมาถึงเฉินเกอทางนี้ แล้วก็โยนกระเป๋าใส่ตัวเฉินเกอหลินเยว่เดินกลับไปเงียบๆ และไปอยู่ข้างๆหยูเฉียง
“หยูเฉียงวันนี้พวกเราจะไปเที่ยวที่ไหนกันเหรอ? นายไม่ได้บอกว่าจะพาฉันไปแช่น้ำร้อนเหรอ แถมจะพาฉันไปกินของอร่อยๆด้วย!”
หลินเยว่มาทำตัวออดอ้อนข้างๆหยูเฉียง
ตัดสินใจที่จะรุกก่อน ถ้าไม่รุกละก็ เกรงว่าชายที่จะได้มาเป็นแฟนหนุ่มในกำมือของตัวเองจะโดนคนอื่นแย่งไป
เพราะว่าไม่กี่วันมานี้หวางห้าวหวูเชี่ยนก็ช่วยๆกันจับคู่ให้กับหยูเฉียง
บวกกับหลินเยว่หุ่นผอมเพรียวแล้วก็หน้าตาสวย ทั้งสองคนก็เลยดูมีสถานการณ์คลุมเครือต่อกัน
เหลือแค่ผ่านเส้นกั้นบางๆเส้นเดียวนั่นแล้ว
“ได้สิ ได้หมดเลย!”
หยูเฉียงหัวเราะ
“หยูเฉียงนี่เป็นแฟนของคุณเหรอ?”
ส่วนผู้หญิงฝั่งนั้นก็ยิ้มแล้วถามขึ้น “สวยจังเลยนะคะ!”
หลินเยว่ไม่พูดอะไร มองหยูเฉียงนิ่งๆ
หยูเฉียงหัวเราะแห้งๆแล้วพูดขึ้น “ไม่ใช่ครับ นี่คือเพื่อนสนิทของผม!”
“จริงสิคนสวย ยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร?”
ผู้หญิงคนนี้ ก็ทั้งสวยแล้วก็มีเสน่ห์จริงๆ
“ฉันชื่อหวางหมิน แหะๆ วันนี้ต้องขอบคุณคุณมากจริงๆนะคะ ไม่อย่างนั้นเป็นเพื่อนกันไหม?”
หวางหมินพูดไปยิ้มไป
“ได้สิ!”
จากนั้นหยูเฉียงก็ขอวีแชทของหวางหมินแล้วเพิ่มเพื่อนกัน
หลินเยว่โมโหจนหน้าแทบเขียว
ส่วนเฉินเกอนะเหรอ ตอนแรกมองแล้วก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้เหมือนหวางเสี่ยวไม่น้อย พอได้ยินชื่อก็รู้ในทันที
ในใจก็คิด คงไม่บังเอิญขนาดนั้นมั้ง?
ส่วนหวูเชี่ยนก็ชะงักไปในทันทีเหมือนกัน แต่ก็ไม่กล้ามั่นใจ ก็แค่ถามขึ้นมา “ใช่สิ คุณรู้จักคุณปู่หวางหงเฟยไหมคะ?”
“คะ? นั่นเป็นคุณปู่ของฉันเองค่ะ!” หวางหมินเอ่ยขึ้น
“โอ้โห บังเอิญจังเลยนะคะ ปู่ของฉันชื่อหวูไป๋หัว!พี่หวางหมินรู้จักไหมคะ?”
“พรู่ด!” หวางหมินเองก็ตกใจ จะไม่รู้จักได้ยังไงล่ะ ไอ้ขี้แพ้เฉินเกอไม่ใช่เกลอหวูไป๋หัวของคุณปู่แนะนำให้ตัวเองหรือยังไง
“ฉันรู้จัก เธอชื่อหวูเชี่ยนใช่ไหม? หลานสาวของคุณปู่หวู! จำได้ว่าตอนเด็กพวกเราเคยเจอกันอยู่ไม่กี่ครั้ง!”
หวางหมินคุ้นเคยขึ้นมาในทันที
เฉินเกอรู้สึกอาย แม่งสิโว๊ย บังเอิญเกินไปแล้วจริงๆ
โชคดีนะ เมื่อวานตอนเที่ยงที่อากงหวูเรียกให้ตัวเองไปกินข้าว ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ไปดูตัวมา
เพราะว่าเห็นได้ชัดเจนว่าหลังจากที่อากงหวูโทรศัพท์หาตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงค่อยจะขับรถไปบ้านอากงหวู
จากนั้นต่อหน้าของหวูเชี่ยน ถึงแม้อากงหวูอยากจะถาม แต่ก็ไม่ได้ถาม เฉินเกอเองก็ไม่ได้เป็นคนเริ่มพูดถึงก่อน
ก็รอหลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้ว ตอนช่วงบ่ายถึงจะค่อยคุยกับอากงหวู
ยังไงก็มีผู้หญิงดีๆแนะนำให้กับเฉินเกอไม่ได้แนะนำให้หวูเฟิง กลัวว่าหวูเฟิงจะคิดมาก ถ้าเกิดปล่อยให้หวูเชี่ยนรู้ละก็หวูเฟิงก็จะต้องรู้ด้วยแน่ๆ
เพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหา
เห้ย นี่ก็คือพี่สาวของหวางเสี่ยว คนที่ควรจะมาดูตัวกับตัวเองตอนแรก
ช่างมีเสน่ห์มากจริงๆ
เฉินเกออดไม่ได้ที่มองหวางหมินหลายครั้ง
แต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้คือหวางหมินน่าจะเพราะเรื่องที่หยูเฉียงช่วยเธอเมื่อกี้ ก็เลยสงสัยในตัวของหยูเฉียง
บวกกับตอนนี้กำลังคุยกัน แถมยังรู้จักกับหวูเชี่ยนอีก แน่นอนว่าก็ต้องคุยกันอย่างสนิทสนม
ส่วนหลินเยว่กลับหึงหวงเอามากๆ
ในระหว่างการพูดคุยกันก็เหวี่ยงอยู่หลายครั้ง
ก็ถือว่ามีความสัมพันธ์ที่คลุมเครืออยู่กับหยูเฉียง หยูเฉียงก็ไม่ได้ว่าอะไร
ส่วนเฉินเกอ ก็โดนคนอื่นเมินจนตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว
ก็เดินไปเรื่อยๆอย่างนี้จบครบสองชั่วโมง ก็เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว
พอดีกับที่ภายในจุดชมวิวมีร้านอาหารหลายร้าน
ดังนั้นหยูเฉียงก็เลยออกคำแนะนำ ไม่อย่างนั้นก็ให้ทุกคนไปนั่งด้วยกันในร้านข้าวเสียเลย
ไปคุยกันให้ดีๆ
แน่นอนว่าพวกหวางหมินไม่มีทางปฏิเสธ
ดังนั้นก็เลยนั่งกินข้าวด้วยกัน
เฉินเกอพอวางของแล้วก็นั่งลง
“ใครใช้ให้นายนั่งกัน!”
คิดไม่ถึงว่า ในตอนนี้อยู่ๆก็ตะโกนใส่เฉินเกอ
“กินข้าวไง? ทำไมฉันจะนั่งไม่ได้?”
เฉินเกอมองไปทางหลินเยว่ด้วยท่าทางค่อนข้างจะหงุดหงิด
หลินเยว่ก็หึงหวง เห็นหยูเฉียงคุยกับผู้หญิงชื่อหวางหมินคนนั้นตลอด
ความรู้สึกของการมีอยู่ของตัวเองก็ถูกลดต่ำลง
ดังนั้นก็เลยทำนิสัยคุณหนูนิสัยเสีย
ด่ากราดใส่เฉินเกอ เพื่อที่จะหาความรู้สึกของการมีอยู่
“เฉินเกอ ไม่ดูตัวเองบ้างว่านายมีพฤติกรรมแบบไหน พวกเรานั่งกินข้าวด้วยกัน นายเองก็นั่งลงแล้วกินข้าว นายคิดว่านายเป็นใครกัน? นายเหมาะสมเหรอ? นายกล้าจริงๆสิ? หัดอายบ้างได้ไหม?”
หลินเยว่ด่าขึ้น
ชัดเจนว่ากำลังมีความหมายด่าอยู่อย่างอ้อมๆ
“ฉันหน้าไม่อายตรงไหน?” เฉินเกอเองก็โมโหแล้ว
“พอได้แล้วเฉินเกอ นายมาโมโหอะไรหลินเยว่กันน่ะ? เธอว่านายสองคำนายก็ว่าเธอกลับสองคำ นายยังเป็นผู้ชายอยู่ไหม ถึงกับโมโหผู้หญิงคนหนี่ง เหอะ!”
หวูเชี่ยนเห็นว่าวันนี้หลินเยว่ก็เสียเปรียบอยู่ไม่น้อย ดังนั้นก็เลยช่วยด่าเฉินเกอ
“เฉินเกอ?”
ส่วนหวางหมินกลับเบิกตากว้างมองมาทางเฉินเกอ
เพราะว่าคนที่ต้องดูตัวกับตัวเอง ไม่ใช่เฉินเกอหรือไง!
เป็นเขา?
“อ้อ เหอๆ พี่หวางหมินพี่คงไม่รู้จักเขา เขาเป็นเพื่อนบ้านของคุณปู่ฉันค่ะ แน่นอนล่ะ บ้านก็เช่าของตระกูลเราอยู่ วันนี้ให้เขามาก็เพื่อที่จะให้เขามาถือกระเป๋าให้พวกเรา ตอนแรกสัญญากับเขาไว้ วันนี้ตอนเที่ยงจะเลี้ยงข้าวอร่อยๆเขาหนึ่งมื้อ”
หวูเชี่ยนกลัวว่าหลินเยว่กับหวางหมินทะเลาะกัน ดังนั้นก็เลยใช้โอกาสนี้เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา
“อ้อๆ ฉันเข้าใจแล้ว!”
หวางหมินหน้าแดง มองเฉินเกอแวบหนึ่ง แล้วอายมากๆ
เธอเองก็เคยจินตนาการว่าเฉินเกอจะหน้าตาเป็นยังไง คิดว่าถึงแม้ว่าเฉินเกอจะจน แต่ว่าหน้าตาก็ดูไม่เลวหรือจะพูดว่าเสน่ห์ก็ดี
แต่ตอนนี้เหรอ เขากลับยอมแบกกระเป๋าให้คนอื่นเพื่อข้าวหนึ่งมื้อ
ถึงแม้จะหน้าตาสะอาดสะอ้าน แต่ว่าอย่างนี้ก็ดูต่ำไปหน่อยมั้ง
มองท่าทางของหวูเชี่ยนดูเหมือนว่าจะไม่รู้เรื่องเขาดูตัวเมื่อวานนะ
แต่ว่าทั้งหวูเชี่ยนทั้งเฉินเกอไม่ได้พูดอะไรแบบนี้ หวางหมินเองโดนตีให้ตายก็ไม่ยอมเป็นคนเริ่มพูด
“คุณหนูช่วยหลบหน่อยค่ะ เสิร์ฟอาหารค่ะ!”
ในตอนนี้พนักงานมาแล้ว
ถือถาดแล้วก็เตือนหลินเยว่ที่กำลังยืนอยู่ต้องการจะเสิร์ฟอาหาร
ผลลัพธ์ก็คือหลินเยว่ หมุนตัวก็ชนเข้ากับกับข้าวพอดี อีกนิดเดียวก็จะทำให้ถาดนั้นคว่ำอยู่แล้ว ซุปกระเด็นมาโดนข้อศอกเธอเล็กน้อย
“ขอโทษด้วยนะคะคุณหนู คุณไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?” พนักงานรีบถามขึ้นอย่างมีมารยาท
เพี๊ยะ!
คิดไม่ถึงว่าหลินเยว่จะยกมือขึ้นมาริมฝีปากยกยิ้มแล้วตบลงไปบนใบหน้าของพนักงาน
“แม่สิ แกไม่มีตาหรือไง! กล้าจะทำซุปกระเด็นมาบนตัวฉันเหรอ?”
ตอนแรกหลินเยว่ก็มีอารมณ์โกรธเพราะหึงหวงอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต้องการจะหาซีนให้ตัวเอง ในตอนนี้กลับรู้สึกว่าตัวเองเสียหน้าต่อหน้าหยูเฉียง ก็เลยสาดอารมณ์โมโหกับพนักงาน
พนักงานคนนี้ดูแล้วคงจะเพิ่งจบมัธยมปลายมาอะไรแบบนั้น อายุยังน้อย ผิวเนียนนุ่มเด้ง
ตบนี้ถึงกับทำให้เธอรู้สึกมึน
พวกเฉินเกอเองก็มึนงงเหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าหลินเยว่จะกล้าตบคน
“ฉุนเยว่ เป็นอะไร ใครตบหนู?”
ในเวลานี้ผู้จัดการสาวของร้านอาหารกับพนักงานก็รีบวิ่งมาดู
พยุงพนักงานตัวเล็กเอาไว้ด้วยท่าทางทั้งเคารพและเกรงกลัว ผู้จัดการร้านอาหารตกใจจนหน้าซีด
“เป็นเธอ เธอที่ตบหนูค่ะ!”
ฉุนเยว่เอามือปิดหน้าแล้วพูดขึ้น
“คุณถึงกับกล้าตบคน? คุณรู้ไหมว่าเธอเป็นใคร?”
ผู้จัดการร้านอาหารตะคอกใส่หลินเยว่