ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 4 สัปดาห์ที่ 5 อาคิยามะ เออิชิ (1)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 4 สัปดาห์ที่ 5 อาคิยามะ เออิชิ (1)
เกือบ 4 สัปดาห์แล้วที่ผมเข้ามาเรียนที่อาคิรุไดแห่งนี้ ถ้าหากนับกันแค่เรื่องการเรียนการสอน ผมพบว่าที่นี่เรียนกันสบายมาก อาจารย์เข้ามาสอน สอนเสร็จก็ออกไป แทบจะไม่มีการบ้าน ตั้งแต่เปิดเรียนมาผมมีการบ้านแค่ 3 ครั้ง แล้วก็มาจากอาจารย์ที่ปรึกษาทั้ง 3 ครั้ง
พูดถึงอาจารย์ที่ปรึกษาคนนี้แล้วผมคงต้องขอย้อนกลับไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อนซะหน่อย หลังจากถูกรุ่นพี่นาคาจิมะลากไปพัวพันกับเรื่องราวที่ราวกับมังงะนักเลงยุคเก่า พอวันรุ่งขึ้นชื่อเสียงของผมก็เป็นที่รู้จักไปทั่วโรงเรียนในฐานะเด็กใหม่คู่ใจราชา
ฉายาแบบเด็กเบียวขั้นสุดนี่ทำเอาผมงงไปทันทีที่โคสุเกะทักในตอนที่ไปถึงห้องเรียนในตอนเช้า แต่งงยิ่งกว่าเมื่ออาจารย์เคนทาโร่เรียกผมไปพบตอนพักกลางวันเพราะฉายานี้
หลังเสียเวลาอธิบายให้อาจารย์ฟังว่าผมเป็นผู้เสียหายอยู่พักใหญ่จนเกือบหมดเวลาพักจึงได้ถูกปล่อยตัวออกมา ผมไม่รู้ว่าอาจารย์เชื่อที่ผมอธิบายไปมากแค่ไหน เพราะจากสีหน้าแล้วเดาอารมณ์อาจารย์ไม่ออก แต่ก็ต้องขอบคุณที่เขาไม่เรียกผู้ปกครองมาโรงเรียนเพราะเรื่องนี้ละนะ
แต่ถึงอาจารย์จะปล่อยผ่าน แต่คนในโรงเรียนกลับไม่ยอมปล่อยผ่าน ผมผ่านสองสัปดาห์ที่แสนจะวุ่นวายมาได้ยังไงก็ยังสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกัน
เริ่มจากตอนที่มีข่าวเกี่ยวกับเด็กใหม่คู่ใจราชากระจายออกไป ผมก็ถูกเพื่อนในห้องมองด้วยสายตาแปลกๆ
โมโมสุเกะบอกว่าทุกคนตกใจกันมากที่ได้ข่าววีรกรรมของผม เพราะถ้านับคนที่ราชาหรือก็คือรุ่นพี่นาคาจิมะยอมรับเป็นพวกด้วยตัวเอง ผมนับเป็นคนที่ห้า แถมยังเป็นครั้งแรกที่ยอมรับเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาด้วย
ต่อมาก็เริ่มมีคนที่ไม่รู้จักมาด้อมๆ มองๆ ผมที่ห้องเรียน แรกๆ ก็เป็นนักเรียนปีหนึ่งของห้องอื่น ต่อมาอีกสองสามวันก็เป็นพวกรุ่นพี่ปี 2 และสุดท้ายก็เป็นพวกรุ่นพี่ปี 3
มีอยู่ครั้งนึงที่รุ่นพี่ปี 3 ที่เหมือนจะชื่อ ยู อะไรสักอย่างนี่แหละ เรียกผมไปพบตอนพักกลางวันที่หลังตึก แต่พอถึงเวลาเขากลับเดินมาพร้อมรุ่นพี่นาคาจิมะที่ยิ้มแฉ่ง แล้วชวนผมไปกินข้าวด้วยกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูจากรูปการณ์แล้วผมคงต้องหาเวลาเลี้ยงรุ่นพี่นาคาจิมะซักมื้อ
แต่เหตุการณ์ใหญ่ที่สุดคงเป็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อยู่ๆ พวกโคสุเกะสามคนก็มาตามผมให้ออกไปที่หลังโรงเรียน ตอนแรกก็เข้าใจว่าคงไปแอบดูใครทำอะไรไม่ดี พอไปถึงจริงๆ ถึงได้รู้ว่าคนที่ทำเรื่องไม่ดีคือพวกรุ่นพี่นาคาจิมะ
ภาพที่เห็นคือรุ่นพี่นาคาจิมะกับพวกเกือบสิบคนกำลังทะเลาะวิวาทกับกลุ่มคนน่าจะเกือบสามสิบคนได้
แต่คนที่ทำให้ผมตกใจจริงๆ คือ ฟูจิชิมะ จิน ชายหนุ่มหน้านิ่ง หนึ่งในเพื่อนใหม่ของผมที่พุ่งเข้าไปร่วมวงตะลุมบอนทันที ตามด้วยโคสุเกะ และโมโมสุเกะซึ่งลากผมเข้าไปด้วย
คนเกือบห้าสิบคน แต่ผมไม่รู้จักใครเลยนอกจากรุ่นพี่นาคาจิมะ และเพื่อนตัวแสบทั้งสาม ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุผิดพลาดผมจึงพุ่งเข้าใส่คนที่กำลังรุมรุ่นพี่อยู่
“โอ้ มารุ มาได้ไงเนี่ย”
รุ่นพี่หันมาทักผม พร้อมกับหลบหมัดไปด้วย สุดยอดไปเลยคนๆ นี้
“มีเรื่องอีกแล้ว คุณคาวากุจิไม่ว่าเอาหรอครับ”
ผมตอบกลับไปโดยไม่มอง เพราะมีเท้าลอยมาตรงหน้าพอดี
“ครั้งสุดท้ายแล้วน่ะ ขออนุญาตแล้วด้วย”
ผมคิดในใจว่ารุ่นพี่นี่สุดยอดจริงๆ กล้าขอแฟนตัวเองมามีเรื่องชกต่อย ปกติเรื่องพวกนี้มันต้องปกปิดกันไม่ใช่รึไง
ตุ้บ..หน้าผมสะบับวูด
ไม่รู้ว่าโดนหมัดใคร แต่อาศัยจังหวะนั้นเปลี่ยนคู่กับรุ่นพี่ได้พอดี
“ช่วยได้เยอะเลยมารุ”
ไม่รู้ใครช่วยใคร เพราะหลังจากผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ผมก็นั่งแผละบนพื้นหายใจหอบ เนื้อตัวมีแต่รอยมือรอยเท้า ในปากก็มีรสเลือด แถมยังเจ็บที่หน้าอีกด้วย
หันมองรุ่นพี่นาคาจิมะ เจ้าตัวยังปกติดีสุดๆ ถ้าไม่นับรอยยับย่นของเสื้อผ้า กับเหงื่อที่ไหลย้อยบนในหน้านั่น ต้องเรียกว่าสะอาดสะอ้านเลยทีเดียว
พวกโคสุเกะสามคนก็ยังอยู่ดี โคสุเกะกับโมโมสุเกะมีสภาพไม่ต่างจากผมนัก ส่วนจินกำลังยืนหน้านิ่งฟังรุ่นพี่คนนึงบ่นอยู่ แต่ดูแล้วสภาพดีกว่าพวกผมเยอะ
“ฮ่าๆ ไหวไหมมารุ”
รุ่นพี่นาคาจิมะ ยื่นมือมาดึงผมลุกขึ้น
“ไม่ไหวแล้วครับ รู้สึกเหมือนจะตายเลย”
“ฮ่าๆ นายก็พูดเกินไป”
รุ่นพี่นาคาจิมะตบไหล่ผมก่อนออกเดินไปคุยกับคนอื่นๆ ตอนนั้นเองผมจึงมีเวลามองสำรวจรอบๆ
รอบตัวผมมีคนอยู่ 14 คน ส่วนใหญ่มีสภาพเละเทะแบบผมแต่ไม่มีใครเป็นอะไรมาก ส่วนอีกฝ่ายหนีหายไปหมดแล้ว ผมยืนนิ่งอยู่แบบนั้นจนโคสุเกะกับอีกสองคนมาเรียก บอกว่าเดี๋ยวจะไปกินขนมกับพวกรุ่นพี่ และผมต้องไปด้วย
สุดท้ายวันนั้นผมก็โดนลากไปมีเรื่องชกต่อย แล้วก็โดนลากไปกินขนมไม่ต่างจากคราวก่อน ตอนที่กินขนมก็ฟังสรุปเหตุการณ์คร่าวๆ จากจินว่ารุ่นพี่นาคาจิมะอยากจะตั้งใจเรียนจริงๆ จังๆ เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ติดตรงที่ชอบมีคนมาหาเรื่อง สุดท้ายทนรำคาญไม่ไหวจึงมาชวนพี่ชายของจิน 1 ใน 3 อสูร ไปกำราบนักเรียนทั้งโรงเรียน จะได้ไม่มีใครมาวุ่นวายกับเขาอีก
ฝั่งพี่ชายของจินก็เห็นดีด้วย เพราะเป็นห่วงน้องชาย ไม่อยากให้คนอื่นมาหาเรื่อง
สรุปแล้วทั้งคู่เลยพาพวกไล่เก็บ 2 อสูรที่เหลือเพื่อไม่ให้มีใครมาก่อกวนอีก ส่วนพวกเมื่อกี้ก็เป็นกลุ่มสุดท้ายแล้ว หลังจากนี้ก็คงจะสงบสุขกันไปอีกนาน อย่างน้อยๆ ก็จนกว่าพวกรุ่นพี่นาคาจิมะจะจบการศึกษาออกไป
ผมฟังจินเล่าเรื่องด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ใจคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในมังงะสักเรื่องใช่ไหม หรือตอนนี้กำลังฝันอยู่ ทำไมเรื่องราวมันถึงฟังดูแปลกประหลาดราวกับไม่ใช่เรื่องจริง แถมไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไร
เอาแค่ว่านักเรียนเกือบ 50 คน มีเรื่องชกต่อยกันหลังโรงเรียน แต่กลับไม่มีอาจารย์เข้ามาห้ามเลยสักคน จะบอกว่าอาจารย์ไม่รู้ก็ไม่น่าใช่ คิดแล้วก็ประหลาดใจจริงๆ
แต่ข้อประหลาดใจของผมอยู่ได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง เพราะวันรุ่งขึ้นพวกเราถูกครูที่ปรึกษาเรียกพบ ผม โคสุเกะ โมโมสุเกะ และจิน ถูกอาจารย์ที่ปรึกษาสวดยับฐานที่เป็นนักเรียนปีหนึ่งแค่ 4 คน ที่เข้าไปร่วมเหตุทะเลาะวิวาทครั้งนี้
และที่ผมคิดไปว่าอาจารย์ไม่สนใจแม้นักเรียนจะตีกันนั่นก็ไม่ใช่ความจริง แต่เพราะการลงโทษนักเรียนมันทำได้ยากหากนักเรียนช่วยกันปกปิดความผิดโดยอ้างว่าแค่เล่นกันรุนแรงไปหน่อย แม้จะไม่สมเหตุสมผล แต่เมื่อไม่มีทั้งโจทก์และจำเลย บรรดาอาจารย์ก็ทำอะไรไม่ได้
คราวนี้พวกอาจารย์จึงดัดหลังพวกนักเรียนหัวหมอโดยเก็บหลักฐานชนิดเอาให้ดิ้นไม่หลุดเพื่อจัดการเหล่าตัวปัญหาให้หมดทีเดียว
หลังออกจากห้องพักครู พวกโคสุเกะสามคนหน้าถอดสีเพราะถูกเรียกผู้ปกครองมาในวันพรุ่งนี้แล้วจึงค่อยกำหนดบทลงโทษอีกที ส่วนผมสบายหน่อยตรงที่ทั้งปู่และย่าไม่มีใครยอมมา แถมยังบอกอาจารย์เคนทาโร่ทางโทรศัพท์อีกว่าจัดการได้ตามสบาย ทางบ้านไม่ติดใจอะไรทั้งนั้น
อาจารย์เคนทาโร่มองหน้าผมขณะคุยกับทางบ้าน หลังวางสายก็บอกให้พวกผมทำตัวดีๆ รอรับบทลงโทษด้วยความสำนึกผิดเสีย
และบทลงโทษที่พวกเราสี่คนได้รับคือโทษภาคทัณฑ์ 1 เดือน เป็นการคุมประพฤติทั้งที่บ้านและโรงเรียน หากยังทำตัวไม่อยู่ในกรอบก็อาจนำไปสู่บทลงโทษที่แรงขึ้นจนถึงขั้นไล่ออกจากโรงเรียนได้
พวกโคสุเกะสามคนถูกทางบ้านลงโทษอย่างหนัก โดยเฉพาะจินที่คราวนี้โดนเรียกผู้ปกครองพร้อมกันทั้งพี่ทั้งน้อง พ่อของจินโกรธมากถึงขั้นจะให้ทั้งคู่เลิกเรียนแล้วออกมาทำงานช่วยทางบ้านเลย โชคดีที่แม่ของจินยังกล่อมได้ ไม่งั้นผมคงไม่ได้เห็นจินสภาพเด็ก ม.ปลาย อีกแล้ว
ส่วนผมสบายกว่าใครอื่น ปู่พูดกับผมแค่ว่า
“อย่าทำอะไรให้เสียหายมาถึงฉันอีก เพราะฉันจะไม่ช่วยเหลืออะไรแกทั้งนั้น”
แค่นั้นเลยจริงๆ
ตัดภาพมาปัจจุบัน ผมกับเพื่อนทั้งสามที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทที่ร่วมสมรภูมิรบด้วยกันมากำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่โรงอาหาร
“พวกนายรู้สึกไหมว่าตอนนี้ความเป็นส่วนตัวของพวกเรากำลังถูกคุกคาม”
โคสุเกะเริ่มเปิดประเด็น สายตามองกวาดไปรอบๆ
“นายเพิ่งรู้ตัวหรอ?”
โมโมสุเกะถามย้อนกลับ พร้อมกับตักแกงกะหรี่เข้าปาก
ผมเงยหน้ามองรอบๆ ก็เห็นนักเรียนหลายคนในโรงอาหารมองมาที่พวกเรา ที่จริงเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ที่พวกเราไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทครั้งก่อน ถึงจะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วแต่ดูเหมือนสายตาที่มองมาจะยังไม่ลดลงเลย
“ช่างเถอะ ยังไงก็ไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับเรานิ”
ผมบอกให้โคสุเกะเลิกสนใจ แต่เหมือนจะไม่ได้ผล
“พวกนายเนี่ยน๊า กำลังล่วงถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวแล้วนะเฟ้ย”
ผมและอีกสองคนเลิกสนใจและปล่อยให้โคสุเกะบ่นพึมพำต่อไป แต่ใจจริงแล้วก็รู้สึกรำคาญสายตาพวกนั้นอยู่ไม่น้อย
ติ๊งง..เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ของผมทำให้รู้ว่าว่าตัวเองลืมปิดเสียงซะสนิท ดีนะไม่ดังตอนอยู่ในคาบเรียน
ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกางเกง หน้าจอแสดงข้อความแจ้งเตือนว่า
[ มารุ ช่วยฉันด้วย >/< ]
ผมมองรายชื่อผู้ติดต่อที่ไม่เคยเห็นมาก่อนพลางขมวดคิ้ว
[‘รุ่นพี่นาคาจิมะหรอ?’]
คนเดียวที่เรียกผมว่ามารุก็คือรุ่นพี่นาคาจิมะ แต่รุ่นพี่นาคาจิมะเอาข้อมูลติดต่อของผมมาจากไหน
“พวกนายได้ให้ข้อมูลการติดต่อของฉันกับใครบ้างรึป่าว?”
ผมเงยหน้าถามสหายทั้งสามของผม เนื่องจากคนในโรงเรียนที่มีข้อมูลการติดต่อของผมนอกจากอาจารย์แล้วก็มีแค่สามคนนี้เท่านั้น
“อ่อ ฉันให้พี่ไปน่ะ เห็นว่ารุ่นพี่นาคาจิมะขอมา ทำไมหรอ ลำบากใจอะไรหรือเปล่า?”
จินที่นั่งเงียบมาตลอดเปิดปากอธิบาย จะว่าไปพี่ของจินก็อยู่ปี 3 เหมือนกัน แถมเป็น 1 ใน 3 อสูรด้วย ถ้าไม่บอกใครจะไปเชื่อ
“เปล่าหรอก พอดีรุ่นพี่ส่งข้อความมาน่ะ”
“เอ๊ะ? ไม่ใช่ว่าพวกรุ่นพี่ถูกพักการเรียนกันหรอ?”
โมโมสุเกะถามแล้วดูดน้ำจากขวด ส่วนแกงกะหรี่หมดไปแล้ว กินเร็วจริงๆ
“พี่นายก็ด้วยใช่ไหมจิน?”
“อื้ม ตอนนี้เลยนอนเล่นสบายใจอยู่ที่บ้านน่ะ”
ผมฟังโคสุเกะกับจินคุยกัน ตาก็อ่านข้อความที่รุ่นพี่ส่งมาอีก
[ เสาร์นี้นายว่างใช่ไหม? มาช่วยฉันเลือกของขวัญให้มินะหน่อยซิ เจอกันที่สถานี E ตอน 10 โมงนะ ^.^/ ]
ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำอีกสองรอบถึงเข้าใจว่าถูกรุ่นพี่นาคาจิมะมัดมือชกอีกแล้ว หนนี้ลากไปซื้อของขวัญให้คนชื่อมินะ จะใช่คุณคาวากุจิหรือเปล่านะ แต่หนก่อนยังเรียกมินามิอยู่เลย อ๊ะ..หรือว่ารุ่นพี่มีกิ๊ก
คิดไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะตอบตกลงรุ่นพี่ไป ใจจริงก็ไม่ได้ติดธุระหรือมีอะไรเป็นพิเศษ ปกติก็ไม่อยากอยู่บ้านอยู่แล้ว รุ่นพี่นาคาจิมะมาชวนแบบนี้ก็เข้าทางผมพอดี
คาบสุดท้ายวันนี้เป็นชั่วโมงเรียนอิสระที่ไม่อิสะ เพราะอาจารย์เคนทาโร่เข้ามาแจ้งเรื่องการแข่งขันกีฬาบอลระหว่างห้องเรียน จินบอกว่างานนี้เป็นอีเว้นท์ประจำฤดูใบไม้ผลิของโรงเรียน จะจัดขึ้นหลังสอบกลางภาค และมีกีฬาบอล 4 ประเภท คือ ฟุตบอล บาสเกตบอล เบสบอล และวอลเลย์บอล
นักเรียนคนนึงจะลงเล่นได้ไม่เกิน 2 ชนิดกีฬา เพื่อไม่ให้เกิดการชนกันของตารางแข่งขัน และป้องกันนักเรียนเหนื่อยเกินไป
หลังจากคุยกัน พวกผมสี่คนเลือกลงแข่งกันคนละ 1 ชนิดกีฬา โคสุเกะกับจินลงชื่อฟุตบอล ส่วนผมกับโมโมสุเกะลงชื่อบาสเกตบอล
หลังลงชื่อเรียบร้อย อาจารย์เคนทาโร่ปล่อยให้นักเรียนคุยกันเอง ผมกับโมโมสุเกะไปจับกลุ่มกันเพื่อนร่วมห้องอีก 3 คน ที่ลงชื่อเล่นบาสเกตบอลเหมือนกัน อันที่จริงลงชื่อไว้ 10 คน แต่กระจายไปอยู่กลุ่มอื่นกันหมด
หลังการพูดคุยตกลง พวกเราเลือกสวนสาธารณะใกล้ๆ โรงเรียนที่มีแป้นบาสเกตบอลสำหรับฝึกซ้อมในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน กำหนดซ้อมกันสัปดาห์ละ 4 วัน โดยเว้นวันพุธ และเริ่มซ้อมสัปดาห์หน้าเลย
ตกเย็นหลังเลิกเรียนผมเดินเล่นสำรวจที่สถานี E ที่จริงก็เป็นสถานีรถไฟที่อยู่ใกล้โรงเรียนที่สุด แต่เป็นเพราะไม่ได้เดินทางมาโรงเรียนด้วยรถไฟจึงไม่ได้มาใช้บริการที่นี่นัก
ครั้งแรกและครั้งล่าสุดที่มาคือตอนที่รุ่นพี่นาคาจิมะพาไปเลี้ยงข้าวไกลถึงห้างบันโชวที่เมืองข้างๆ ครั้งนั้นได้รู้จักกับแฟนรุ่นพี่ที่ดูดีจนผมอยากรู้ว่ารุ่นพี่ไปหลอกเขาอีท่าไหนถึงได้มาเป็นแฟน กับเด็กผู้หญิงอีกคนนึงที่มีดวงตาสวยใสกระจ่าง แต่กลับไม่มีความเป็นมิตรในเวลาที่มองมาที่ผม
-“นี่ นายน่ะ เป็นเด็กเกเรใช่ไหม”-
ประโยคแรกที่โอโตเมะ อามายะ พูดกับผม น่าจะเป็นประโยคเปิดตัวที่ผมคงไม่มีวันลืม
ผมเดินเล่นในสถานีพักนึงก่อนตัดสินใจนั่งรถไฟกลับบ้าน เพราะหากจะให้ย้อนกลับไปด้วยรถประจำทาง มันจะเสียเวลามากกว่าแล้วผมก็ขี้เกียจเดินแล้วด้วย
กลับถึงบ้าน ผมเจอปู่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ตั้งใจว่าจะเดินผ่านเข้าห้องของตัวเอง แต่ปู่ดันพูดออกมาก่อน
“คนที่เช่าบ้านแกติดต่อมาจะขอยกเลิกสัญญาก่อนกำหนด และจะย้ายออกตอนสิ้นเดือนมิถุนายน เพราะงั้นเงินค่าเช่าบ้านจะโอนเข้าบัญชีแกถึงแค่เดือนหน้า ส่วนค่ายกเลิกสัญญาฉันเอาไปจัดการรายละเอียดยิบย่อย ไม่ได้โอนให้แกหรอกนะ”
“อ่อ ครับ”
คงอยู่รอบอกผมเรื่องคนเช่าบ้านซินะ ถึงได้ยอมมาเจอหน้ากันได้ คิดๆ แล้วก็แปลกใจ ทั้งที่อยู่บ้านเดียวกัน 2 เดือน แต่ผมเจอหน้าปู่กับย่าไม่ถึง 10 ละมั้ง
[‘รังเกียจกันขนาดนี้ แล้วรับผมมาอยู่ด้วยทำไมนะ?’]
ผมเดินเข้าห้อง แล้วคืนนั้นก็ผ่านไปแบบเงียบๆ เหมือนทุกคืน
รุ่งขึ้นผมตื่นแต่เช้าแล้วออกไปวิ่งจ๊อกกิ้ง ผมเริ่มออกมาวิ่งหลังจากมาอยู่ที่นี่ได้ประมาณเดือนนึง บรรยากาศตอนเช้าแถวๆ นี้ค่อนข้างดี แต่พอสายหน่อยผมรู้สึกว่าร้อนเกินกว่าจะออกกำลังกาย
หลังออกกำลังกายตอนเช้าเสร็จ ผมกลับมาอาบน้ำ และกินอาหารเช้าทำเองง่ายๆ ก่อนเตรียมตัวออกไปเจอรุ่นพี่นาคาจิมะ
ถ้าเป็นการนัดเจอกับสาวๆ นี่คงเป็นเดตที่น่าตั้งตารอ แต่พอเป็นรุ่นพี่นาคาจิมะ ผมรู้สึกว่าจิตใจตัวเองห่อเหี่ยวลงมาเล็กน้อย
ผมออกจากบ้านโดยกะเวลาให้ไปถึงก่อนเวลานัด 15 นาที ตามมาตรฐานที่ผมยึดถือ แต่ก็ต้องผิดคาด เพราะรุ่นพี่มาถึงก่อนผมซะอีก
“โย่ว มารุ มาเร็วดีนี่นา”
รุ่นพี่ทักผมทันทีที่เจอหน้ากัน
“รุ่นพี่ก็มาเร็วนะครับ”
ผมตอบกลับพร้อมสังเกตรุ่นพี่ไปด้วย
วันนี้รุ่นพี่มาในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ แล้วก็กระเป๋าคาดอก ธรรมดามากแต่ดูดีเฉยเลย ให้บรรยากาศหนุ่มคูลๆ สบายๆ เอ๊ะ หรือแฟนรุ่นพี่ชอบสเปคแบบนี้นะ
“มินะสอนฉันมาดีน่ะ”
รุ่นพี่ยิ้มตอบกลับมา ทำให้ผมต้องหยุดการคิดเพ้อเจ้อไว้แค่นั้น
“แล้ววันนี้จะไปซื้อของที่ไหนล่ะครับ คิดไว้หรือยัง”
“อื้มมม… ก็แถวย่านการค้าแหละ โซนที่พวกผู้หญิงชอบไปกันน่ะ จะไปคนเดียวก็เขินๆ เลยชวนนายไปด้วยนี่ไง”
อ่อออ…ผมเข้าใจแล้ว
“ซื้อของให้ผู้หญิง?”
“ใช่ซิ แฟนฉันเป็นผู้หญิงนะ”
รุ่นพี่ตอบขณะที่พวกเราเดินเข้ารถไฟ ผมมองหน้ารุ่นพี่นาคาจิมะแบบงงๆ และรุ่นพี่ก็มองผมกลับแบบงงๆ
“แฟนรุ่นพี่ไม่ใช่คุณคาวากุจิหรอครับ?”
“ก็ใช่ซิ นายคิดว่าฉันมีแฟนกี่คนกัน?”
“อ้าว ก็คราวก่อนรุ่นพี่เรียกคุณคาวากุจิว่ามินามิ แต่หนนี้เรียกว่ามินะ ผมก็งงซิครับ”
รุ่นพี่นาคาจิมะมองหน้าผมแบบอึ้งๆ แล้วก็หัวเราะ
“ปกติกับคนนอกฉันจะเรียกเธอว่ามินามิน่ะ แต่กับคนสนิทกันก็จะเรียกมินะเฉยๆ”
ได้ยินแบบนั้นผมก็ถึงบางอ้อ เลยถามรุ่นพี่อย่างจริงจังว่า
“นี่ผมสนิทกับรุ่นพี่แล้วใช่ไหมครับเนี่ย?”
รุ่นพี่หรี่ตามองผม
“ไม่อยากรึ?”
“เป็นเกียรติมากต่างหากล่ะครับ”
ผมยิ้มตอบรุ่นพี่แล้วนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม ลึกๆ ในใจรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด