ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 52 สัปดาห์ที่ 22 อาคิยามะ เออิชิ (1)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 52 สัปดาห์ที่ 22 อาคิยามะ เออิชิ (1)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้าสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
จะว่านานก็ไม่นาน จะว่าเร็วก็ไม่เร็ว ในที่สุดสัปดาห์การปิดเทอมฤดูร้อนครั้งแรกของชีวิต ม.ปลายก็ดำเนินมาถึงช่วงสัปดาห์สุดท้ายแล้ว
เมื่อวานซืนโคสุเกะกับโมโมสุเกะส่งข้อความมาว่าจะขอลอกการบ้านช่วงปิดเทอมฤดูร้อนแต่ผมไม่ยอมทั้งสองเลยส่งข้อความเสียงมาบ่นผมซะหูชา ดูท่าแล้วคงอยู่ด้วยกัน ส่วนจินทำเสร็จตั้งแต่หลังกลับจากมาค้างที่บ้านผม คิดว่าเจ้าสองคนนั้นน่าจะไปขอลอกจินแน่ๆ
หลังจากส่งข้อความบอกจินว่าอย่าให้สองคนนั้นลอกการบ้านแล้วผมก็หันมาให้ความสนใจรุ่นพี่นาคาจิมะต่อ
ต้องบอกว่าช่วงปิดเทอมหน้าร้อนครั้งนี้นอกจากการได้ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ จนเต็มคราบแล้ว ก็มีการช่วยรุ่นพี่นาคาจิมะทบทวนบทเรียนนี่แหละที่กินเวลาช่วงปิดเทอมของผมไปเยอะมาก
แต่ถึงจะพูดแบบนั้นผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรหรอกนะ เพราะว่าตัวผมหลังจากเพื่อนๆ กลับไปแล้วก็ว่างมาก มากกกกกก… ชนิดกอไก่ล้านตัว ดังนั้นการมาช่วยติวหนังสือให้รุ่นพี่จึงไม่ใช่เรื่องน่ารำคาญแต่อย่างใด
แน่นอนว่ารุ่นพี่นาคาจิมะเองก็ไม่ได้ขอร้องให้ต้องมาติวทุกวัน โดยจะสลับมาเรียนแค่วันอังคารกับพฤหัสบดีและเสาร์กับอาทิตย์ ติวกัน 9 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็น นอกนั้นให้รุ่นพี่นาคาจิมะอ่านทบทวนเอาเอง เวลาอื่นๆ ผมจึงได้ว่างมากอย่างที่บอก
แต่ผมก็ไม่ได้ปล่อยเวลาว่างของตัวเองไปเปล่าๆ ปลี้ๆ หรอกนะ เรียกว่าผมใช้เวลาว่างได้มีประโยชน์สุดๆ ไปเลย ไม่ว่าจะเป็นการไปเดินเล่นที่เกมอาร์เคตเพื่อหาทางทำลายสถิติเกมต่างๆ แต่ไม่เป็นผล หรือจะเป็นการออกกำลังกายด้วยการไปหาเรื่องชกต่อยที่โรงฝึกที่เมื่อสมัย ม.ต้น เคยไปเรียนบ่อยๆ แน่นอนว่าคุณลุงเจ้าของโรงฝึกยังใจดีตีผมซะน่วมเหมือนเดิม
นอกจากนี้ก็มีการไปหาที่นอนหลับที่ห้องสมุดกลางของเมืองเนื่องจากล้าจากการหาหนังสือเพื่อมาติวรุ่นพี่อะไรแบบนั้น
นับได้ว่าเป็นการใช้ชีวิตวันๆ ไปโดยไม่ได้มีเป้าหมายอะไรเป็นพิเศษ เรื่อยๆ เอื่อยๆ สบายๆ ไม่ทันไรก็จะเปิดเทอมแล้ว
กลับมาสู่ชีวิตในปัจจุบันตรงหน้าที่มีรุ่นพี่นาคาจิมะผู้มีผ้าคาดหัว มือขวาถือดินสอ มือซ้ายกำยางลบ กำลังเอียงคอมองโจทย์ปัญหาตรงหน้า
“ตรงนี้ยังผิดนะครับ มันต้องทำแบบข้อก่อนหน้า เพียงแค่หาตัวแปรคนละตัวกันครับ”
“อ๊ะ งั้นหรอกหรอ”
หลังจากทบทวนกันมา 1 เดือน ตอนนี้รุ่นนาคาจิมะสามารถตามเนื้อหา ม.ปลายได้เกือบจะหมดแล้ว นับเป็นความเร็วที่น่าตะลึงพอสมควรสำหรับคนที่ไม่สนใจเรียนเลยมาตั้งแต่เข้าปี 1
ความรักนี่มีอิทธิพลต่อคนที่มีมันมากจริงๆ
เพื่อที่จะไล่ตามคนรักให้ทัน เพื่อที่จะได้ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เทพอสูรเจ้าของฉายาราชาแห่งอาคิรุได ชายผู้ล้มคนนับสิบได้ด้วยตัวคนเดียวถึงกลับหันหลังให้จุดสูงสุดของโรงเรียนแล้วกลับมาเป็นนักเรียนเตรียมสอบเข้าธรรมดาๆ
ช่างเป็นพล็อตที่น่าเอาไปเขียนการ์ตูนโชโจเสียจริงๆ
การติวทบทวนดำเนินไปตามเวลาอย่างเคร่งครัด รุ่นพี่นาคาจิมะเป็นคนที่มีพลังสมาธิสูงมาก สามารถเรียนติดต่อกันได้นานๆ โดยไม่จำเป็นต้องพัก แต่เมื่อถึงเวลาหยุดพักรุ่นพี่ก็จะหลุดจากสมาธิได้เองทันที เป็นความสามารถที่แปลกดีเหมือนกัน
หลังการติวเราสองคนก็จะจบด้วยการเล่นบาสที่ศูนย์กีฬากันเป็นประจำ นี่ถือเป็นอีกหนึ่งการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ของผมที่เมื่อกี้เหมือนจะลืมบอก
รุ่นพี่นาคาจิมะบอกว่าหลังเรียนมาเต็มที่ก็ต้องมาระบายออกแบบนี้มันถึงจะจำได้ดี แน่นอนว่าผมไม่ได้ขัดเขา ดูจากการเรียนด้วยตัวเองได้แบบนั้นก็น่าคิดว่าเรื่องนี้มันอาจจะจริงก็ได้
“จริงซิมารุ พรุ่งนี้ไปงานเทศกาลกัน”
รุ่นนาคาจิมะชวนผมระหว่างที่เราเดินกลับจากเล่นบาส ดูจากสีหน้าท่าทางแล้วคงไม่ยอมให้ผมปฏิเสธแหง
“ไม่ใช่ว่าลากผมไปดูรุ่นพี่กับคุณคาวากุจิเดตกันหรอกหรอครับ ถ้าแบบนั้นผมไม่ไปหรอกนะ”
ผมตอบเขาไปแบบส่งๆ เพราะรู้ตัวว่ายังไงก็ปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากไปดูพวกเขาเดตกัน
รุ่นพี่นาคาจิมะตบหลังผมดังป้าบแล้วหัวเราะยกใหญ่ ใบหน้าประดับยิ้มขี้เล่นส่ายไปมา
“ไม่ต้องห่วงหรอก มีคนอื่นไปด้วย”
[‘ให้มันจริงนะครับ’]
ผมคิดแบบนั้นในใจ พลางลูบไหล่ที่เกือบหลุดเพราะโดนตบแบบเบาๆ ของรุ่นพี่เมื่อกี้
—
มีคำกล่าวที่ว่าอย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจรุ่นพี่ คำกล่าวนี้กล่าวโดยผมเอง ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริงกับรุ่นพี่นาคาจิมะ
แน่นอนว่าผมไม่ได้กล่าวอ้างมาลอยๆ เรื่องราวนี้มีที่มาที่ไปไม่ไร้หลัก ดังที่จะกล่าวอ้างดังต่อไปนี้
ย้อนไปเมื่อวานตอนค่ำ ขณะเดินกลับบ้านหลังจากเล่นบาสเพื่อผ่อนคลายสมองของรุ่นพี่จนขาลาก รุ่นพี่นาคาจิมะได้เอ่ยปากชวนผมมางานเทศกาลที่จัดขึ้นที่วัดกลางของเมือง บอกเลยว่างานนี้ใหญ่โตเป็นที่รู้จักแม้แต่เมืองข้างๆ
ในคำกล่าวชวนมีการกล่าวอ้างถึงคุณคาวากุจิแฟนสาวสุดสวยของรุ่นพี่และมีบุคคลอื่นอีกซึ่งรุ่นพี่กล่าวอ้างว่าจะไปด้วย แน่นอนว่ารวมผมด้วยแล้วย่อมมีจำนวนเกิน 3 คน
แล้วตอนนี้มันอะไรกันครับ…
ข้างหน้าผมคือหนุ่มสาวสองคนที่มองยังไงก็คือคู่รักที่มาเดตกันในงานเทศกาล แน่นอนว่าไม่ใช่คนอื่นคนไกล รุ่นพี่นาคาจิมะกับแฟนสาวนั่นเอง
ผมมองซ้าย มองขวา ชะโงกมองข้างหน้า เหลียวกลับไปมองข้างหลัง เพื่อที่จะหา… หาคนอื่นที่รุ่นพี่นาคาจิมะที่บอกว่าจะมาด้วย
“รุ่นพี่ครับ ไหนว่ามีคนอื่นมาด้วยล่ะครับ?”
ผมที่เดินตามรุ่นพี่เข้ามาในงานสักพักแล้วเอ่ยถามรุ่นพี่ที่เดินจูงมือคุณคาวากุจิอยู่ข้างหน้า เพราะรู้สึกว่าชักจะทนออร่าคู่รักคู่นี้ไม่ค่อยไหว
รุ่นพี่นาคาจิมะกับคุณคาวากุจิหันมาหาผม ใบหน้าคุณคาวากุจิมีความสงสัยวาบผ่าน เห็นแบบนั้นแล้วใจผมกระตุกวูบ
“คืองี้นะมารุ พอดีว่าโอโตเมะจังบอกว่าจะมากับที่บ้านน่ะ เลยมาด้วยกันไม่ได้”
“งั้นตอนนี้ก็ไม่มีคนอื่นนอกจากเราแล้วใช่มั้ยครับ”
“ก็… ตามนั้นแหละ อ๊ะ ใจเย็นนะมารุ ฉันไม่ได้โกหกนะ เราชวนคนอื่นมาแล้วจริงๆ แต่ไม่มีใครมาเลยน่ะ วันนี้ทั้งวันก็มัวแต่ติวเลยลืมบอกน่ะ แหะๆ”
[’ ยังจะมาแหะๆ อีกนะครับ’]
ผมจ้องรุ่นพี่นาคาจิมะด้วยสายตาคาดโทษเต็มที่จนคุณคาวากุจิก้าวออกมาขอโทษผม ทำเอารู้สึกผิดเพราะตัวเองก็ไม่ได้โกรธอะไรจริงจัง
พอบอกคุณคาวากุจิแบบนั้นเธอก็ทำหน้าสบายใจก่อนจะหันไปสั่งรุ่นพี่นาคาจิมะให้ขอโทษผม เห็นแล้วก็รู้สึกขำรุ่นพี่ผู้วางก้ามไม่น้อย
มองดูทั้งสองคนแล้วก็ทั้งน่าอิจฉาแล้วก็น่ารำคาญนิดๆ ไปพร้อมๆ กัน ทั้งที่วันนี้ของเมื่อปีก่อนผมเองก็ไม่ได้ต่างจากพวกรุ่นพี่เท่าไรนัก
เฮ้ออ… อย่างที่คิดไว้ ให้มาเดินดูคู่รักแบบนี้ไม่ดีต่อจิตใจเลยจริงๆ ผมเริ่มเดินช้าลงๆ จนพวกรุ่นพี่ที่อยู่ในโลกของเราสองค่อยๆ หายไปจากสายตาตรงหน้า กลืนหายไปท่ามกลางสายธารของผู้คน
[‘เหลือคนเดียวแล้ว เอาไงดีล่ะ’]
มองไปทางไหนก็เห็นแต่ผู้คนที่มาร่วมงาน นี่แค่เพิ่งจะเริ่มเดินเข้างานมาได้ไม่เท่าไรเองนะเนี่ย ถ้ายิ่งใกล้ศาลเจ้าจะมากขนาดไหนผมล่ะไม่อยากคิด
“ไหนๆ ก็มาแล้วเดินหาของกินก่อนแล้วค่อยกลับก็แล้วกัน”
ตัดสินใจเติมทางพลังให้ท้องของตัวเองก่อนได้แล้วผมก็มุ่งหน้าตรงเข้าสู่งาน ไหลไปตามกระแสธารแห่งผู้คนที่มาเที่ยวชมงานเทศกาล
ขึ้นชื่อว่างานเทศกาลฤดูร้อนแล้วคนย่อมคิดถึงดอกไม้ไฟ แต่ผมมักจะนึกถึงของกินมากกว่า
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ของกินอย่างเช่นทาโกยากิในงานเทศกาลจะอร่อยกว่าที่ซื้อตรงข้างสถานีแถวโรงเรียนอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้ก็ยังมียากิโซบะ ไทยากิ หมึกย่าง คาราอาเกะ แล้วก็อีกมากมายสารพัดที่ล้วนแล้วแต่อร่อยกว่าเวลาซื้อกินปกติ ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือแพงกว่าปกติเช่นกัน
ที่ขาดไม่ได้เลยคือเกมรางวัลต่างๆ ที่สมัยก่อนพ่อกับแม่มักจะพามาเล่นบ่อยๆ จนตอน ม.ต้น ผมก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการปาลูกดอกและยิงปืนล่าของรางวัลได้ด้วยตัวเองแล้ว
ระหว่างที่ได้ชมงานไปเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าจะร้อนขึ้นมาหน่อยๆ แม้อากาศตอนกลางคืนช่วงหน้าร้อนจะเย็น แต่ในที่ที่คนมาชุมนุมกันมากๆ แบบนี้มันจะร้อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ผมแวะร้านน้ำแข็งไส ของขึ้นชื่อที่ขาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่งของงานเทศกาลหน้าร้อนทุกที
พอตักคำแรกเข้าปากผมก็นึกสรรเสริญบรรพบุรุษมนุษย์ผู้คิดค้นของกินเย็นฉ่ำนี้ขึ้นมา
มีน้ำแข็งไสมาเต็มพลังความเย็นให้ร่างกายแล้วผมก็เริ่มเดินต่อ
ตามข่าวเห็นว่าปีนี้วัดจัดงานใหญ่กว่าปีก่อนซึ่งอันนี้น่าจะจริง ดูจากจำนวนคน จำนวนร้านค้า แล้วมากกว่าปีก่อนจริงๆ ผมเดินมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วยังไปได้ไม่ถึงไหน ถ้าจะเดินไปขอพรที่ศาลเจ้าให้ได้คงต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงล่ะมั่ง
ยืดตัวมองไปข้างหน้าก็เห็นเพียงกลุ่มคนที่เดินสวนกันไปมาเต็มไปหมด อารมณ์ที่อยากจะเดินต่อของผมก็เริ่มจะลดลงตามปริมาณน้ำแข็งไสในมือเสียแล้ว
[‘งั้นหาสินสงครามสักอันแล้วค่อยหลบไปรอดูดอกไม้ไฟดีกว่า’]
ผมรีบจัดการน้ำแข็งไสที่เหลืออย่างรวดเร็วจนถูกเจ้าน้ำแข็งไสโต้กลับด้วยสกิลแช่แข็งสมองจนจี๊ดๆ ที่หัวไปพักนึง หลังจัดการทิ้งถ้วยน้ำแข็งไสเรียบร้อยก็มุ่งตรงไปร้านยิงปืนที่เห็นเมื่อกี้
หน้าร้านมีลูกค้าที่น่าจะเป็นเด็ก ม.ต้น กำลังเล่นกันอยู่ 3 คน กับผู้หญิงอีกคนยืนอยู่ ผมยืนมองทั้งสามยิงพลางสังเกตปืนแต่ละกระบอกไปด้วย
แต่ระหว่างที่มองก็ไม่วายเหลือบไปสังเกตผู้หญิงที่ยืนอยู่คนเดียวนั่น สาบานเลยว่าไม่ได้คิดอะไรแปลกๆ แค่สงสัยว่าเธอมายืนทำอะไร ดูท่าแล้วไม่น่าจะมากับเด็กสามคนที่กำลังเล่นอยู่ตอนนี้
[‘คุ้นๆ แฮะ’]
แล้วก็เหมือนว่าเธอจะรู้ว่าผมมองอยู่ เธอเลยหันกลับมามองผมด้วยสายตาแบบว่าสงสัย แต่แวบเดียวก็เปลี่ยนไปทำท่าตาโตอ้าปากน้อยๆ เหมือนเด็กๆ เวลาประหลาดใจ
“นายมาได้ไงเนี่ย?”