ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 53 สัปดาห์ที่ 22 โอโตเมะ อามายะ (1)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 53 สัปดาห์ที่ 22 โอโตเมะ อามายะ (1)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้าสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
วันหยุดฤดูร้อนแรกในฐานะเด็ก ม.ปลายของฉันเดินทางมาถึงช่วงโค้งสุดท้ายแล้ว
ไม่รู้เพราะว่าเป็นปิดเทอมหน้าร้อนหรือเป็นเพราะว่าตัวฉันยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ฉันจึงได้รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองวุ่นๆ จนไม่ได้มีเวลาว่างๆ มานั่งๆ นอนๆ เหมือนอย่างตอนนี้เท่าไร
พอได้กลับมาใช้เวลาว่างๆ หลบร้อนนอนตากลมเครื่องปรับอากาศตัวฉันที่กำลังรอให้ค่ำไวๆ อยู่ในห้องจึงได้เริ่มพิจารณาชีวิตในช่วงที่ผ่านมาของตัวเอง
แม้จะไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นฤดูร้อนที่ซาบซ่ามีกลิ่นโซดาเลม่อนเหมือนวัยรุ่นเทสดีคนอื่นๆ แต่ฤดูร้อนนี้ก็มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายซะจนฉันหาเวลาทำการบ้านและทบทวนบทเรียนสำหรับเทอมหน้าแทบจะไม่ทัน
ทั้งงานของคณะกรรมการสภานักเรียนที่มีเข้ามาให้ช่วยบ่อยๆ จนช่วงครึ่งหลังของปิดเทอมมานี้ฉันไปโรงเรียนเกือบทุกวัน
บางวันก็ไปเที่ยวกันกับเซริและพวกคุณคาวากุจิบ้างถ้าตารางว่างตรงกัน ถึงช่วงเทศกาลโอบ้งจะต่างคนต่างแยกย้ายเลยไม่ได้มาเจอกันอีก แต่ตอนนี้ก็น่าจะกลับมากันแล้ว ไม่แน่อีกวันสองวันนี้อาจจะนัดเจอกันอีกก็ได้
อ่อ… แล้วก็ยังมีเหตุการณ์ที่ไปเที่ยวทะเลตอนปิดเทอมใหม่กับพวกคนที่ติวสอบด้วยกัน แต่อันนั้นมีเรื่องไม่ดีเยอะกว่าเรื่องดีๆ เพราะงั้นข้ามไป
คิดไปคิดมาชีวิตช่วงปิดเทอมก็มีอยู่แค่นี้เอง รวมเรื่องการบ้านและทบทวนเนื้อบทเรียนล่วงหน้าด้วยแล้วก็ดูไม่เยอะอะไร
“แล้วทำไมปิดเทอมมันหมดไวจัง รู้สึกเหมือนยังไม่ได้พักเลย”
ฉันที่นอนพิจารณาการใช้ชีวิตของตนเองได้ข้อสรุปนั้นออกมาแบบงงๆ สุดท้ายก็เลิกสนใจหัวข้อเรื่องการใช้ชีวิตไปและหันไปสนใจหัวข้อที่น่าตื่นเต้นกว่าแทน
นั่นก็คือ เทศกาลดอกไม้ไฟในคืนนี้นั่นเอง
ถ้าพูดถึงฤดูร้อนของเด็ก ม.ปลาย หนึ่งในอีเวนต์หลักที่ทุกรอมคอมต้องมีคือเทศกาลดอกไม้ไฟ
และฉันที่เพิ่งจะเคยเป็นเด็ก ม.ปลาย ก็สนใจอีเวนต์นี้มากๆ
ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นเด็ก ม.ปลาย แล้วอยากจะให้มีเหตุการณ์แบบในนิยายหรือมังงะหรอกนะ แต่ขึ้นชื่อว่างานเทศกาลแล้วความสนุกมันต้องมาก่อนอยู่แล้ว ประกอบกับปกติที่บ้านฉันจะไปงานเทศกาลแบบนี้กันทุกปีเป็นประจำอยู่แล้ว ถึงช่วงหลังๆ มานี่พ่อกับแม่จะขี้เกียจไปเลยเหลือแค่ฉันกับพี่ แต่เราก็ยังไปกันตลอด
แถมปีนี้เห็นว่าจะมีการจัดงานที่ใหญ่กว่าทุกปี ตอนที่เห็นโปสเตอร์ประกาศก็นึกอยากไปแล้ว แต่ก็คิดว่าพี่ที่ตอนนี้วุ่นๆ เรื่องงานอาจจะไม่ว่างพาไปเหมือนเมื่อก่อน
แต่ตอนนี้ความกังวลนั่นมลายหายไปหมดแล้วเพราะเมื่อเช้านี้พี่มาชวนฉันไปเที่ยวงานเทศกาลแล้วนั่นเอง ฮิๆๆ
ฉันนอนคิดถึงความสนุกของงานเทศกาล พลางคิดว่าจะกินอะไรดีถ้าไปถึงที่งานแล้วอยากจะทำอะไรก่อน คิดแล้วก็หลับไปซะงั้น
สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนที่พี่สาวมาเคาะประตูบอกว่าจะออกไปแล้ว
ฉันคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาดูเวลา เห็นว่าตัวเลขแสดงผลที่หน้าจอโทรศัพท์บอกเวลา 17 : 27 ถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองหลับไปเกือบๆ 3 ชั่วโมง
แต่ไม่มีเวลากังวลเรื่องนั้น ฉันลุกจากที่นอนโดยไม่สนใจผ้าห่ม พุ่งตัวออกจากห้องมุ่งตรงไปห้องน้ำทันที เสร็จสรรพเรียบร้อยใช้เวลารวมครึ่งชั่วโมง และตอนนี้ฉันก็มานั่งอยู่ในรถกับพี่พร้อมสำหรับการเดินเที่ยวงานเทศกาลกันแล้ว
บ้านกับวัดที่จัดงานอยู่ไม่ไกลกันมากนัก ขับรถไปราวๆ ยี่สิบนาทีก็ถึง จากนั้นก็ต้องจอดรถไว้ข้างนอกแล้วเดินเข้าไปในงาน
ทันทีที่เข้ามาถึงบริเวณจัดงานฉันก็ถูกบรรยากาศของงานเทศกาลชักนำไปในทันที มองดูจากจำนวนผู้คนและร้านรวงที่มาก็รู้ได้เลยว่าปีนี้จัดใหญ่กว่าปีก่อนๆ จริงๆ
ฉันกับพี่ตัดสินใจเดินเข้าไปในงานโดยเลี่ยงไม่สนใจบรรดาร้านต่างๆ ที่อยู่ข้างนอกๆ เพราะจากประสบการณ์อันโชกโชนแล้ว เดี๋ยวข้างในงานใกล้ๆ วัดก็มีของคล้ายๆ กันขายอีกอยู่ดี จะรีบซื้อตอนนี้มันก็จะต้องลำบากถือไปด้วย เดินลำบาก
แต่ฉันคิดผิด
ความยั่วยวนและบรรยากาศในงาน ชักนำฉันจนต้องมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านยิงปืนอัดลมร้านหนึ่งทั้งที่ยังเดินไปได้ไม่ถึงไหน
บนชั้นวางรางวัลนั่นมีสิ่งที่ยั่วยวนฉันจนไม่อาจละสายตาได้วางนิ่งอยู่
“พี่คะ ขอลองสักหน่อยนะ แบบว่านั่นน่ะ รุ่นลิมิเต็ดเลยนะคะ”
พี่สาวมองไปยังรางวัลที่ล่อลวงฉันมาก่อนมองมาที่ฉันด้วยสายตาระอาปนเหนื่อยหน่าย
“ในห้องยังมีที่พอให้เก็บอีกหรอ?”
“โถ่พี่ นี่มันพวงกุญแจนะ มันเอาไว้ห้อยกระเป๋า ไม่ได้เอาไว้เก็บในห้อง”
ฉันเถียงพี่สาวกลับไปแต่กลับได้สายตาเอือมระอากลับมาแทน
“จัดการเองนะ เดี๋ยวพี่ไปซื้อน้ำแข็งใสก่อน”
“โอเคค่าาาา”
ฉันมองส่งพี่สาวที่เดินส่ายหน้าหายไปท่ามกลางผู้คนแล้วจึงหันกลับมาสนใจรางวัลตรงหน้าตัวเองต่อ
พวงกุญแจแฟรี่แบร์รุ่นลิมิเต็ดที่แม้ราคาจะไม่ได้สูงมากเมื่อตอนวางจำหน่าย แต่เพราะทำมาจำกัดตอนนี้จึงหาซื้อไม่ได้แล้ว ก่อนหน้านี้ก็เคยลองเข้าไปหาดูในเน็ตเผื่อจะมีใครขายแต่ก็หาไม่เจอเลย
ฉันเรียกพี่ชายเจ้าของร้านที่กำลังส่งมอบกระสุนให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งอยู่พลางล้วงกระเป๋าหาเงิน
“เอ๊ะ?”
กระเป๋าที่ว่างเปล่าทำเอาใจฉันลงไปอยู่ที่ตาตุ่มแต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนั่งรถมาตัวเองวางโทรศัพท์ไว้ในรถ กระเป๋าตังค์ก็ลืมเอามาตั้งแต่แรกเพราะรีบ
สุดท้ายก็ล้วงไปเจอเหรียญ 500 เยน ในกระเป๋าเสื้อคลุม ก่อนจะส่งไปให้เจ้าของร้าน
“จัดมาเลยค่ะ 5 ชุด”
ตามคำขอ เหรียญ 500 เยน เปลี่ยนเป็นกระสุนปืน 25 นัดวางอยู่ตรงหน้าฉัน
ฉันหยิบปืนขึ้นมาด้วยความฮึกเหิม บรรจงบรรจุกระสุนปืนแล้วยกปืนขึ้นประทับบ่า
ถ้ามีการให้รางวัลสำหรับท่ายิงล่ะก็ ฉันคิดว่าตัวเองน่าจะได้รางวัลติดไม้ติดมือมาบ้างแน่ๆ
แป๊ะ…
กระสุนนัดแรก… ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด
ฉันพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อยความฮึกเหิมไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย
แป๊ะ…
[‘แค่ลองวิถีกระสุนหรอก’]
แป๊ะ…
[‘ฮึ่มมม…ยังหรอกน่า’]
แป๊ะ…
[‘อีกนิดนึงน่า..’]
แป๊ะ…
[‘ปืน!! เปลี่ยนปืน…’]
ฉันวางปืนลงแล้วเปลี่ยนเอาปืนอันใหม่มาบรรจุกระสุนแทน รู้สึกได้ถึงสาวตาเจ้าของร้านที่เหมือนจะมองมาด้วยรอยยิ้ม
พอตั้งท่าจัดทางได้แล้วก็ลั่นไก
แป๊ะ… ป๊อก…
“อ๊ะ!”
กระสุนปืนเฉียดต่ำกว่าเป้ามาเล็กน้อยไปชนเข้ากับชั้นวางเข้าอย่างจัง ความฮึกเหิมที่ตอนแรกเริ่มมอดดับกลับมาลุกโชนอีกครั้ง
“อามายะ พี่ไปคุยงานแปบนะ อย่าไปไหนนะ พี่ขี้เกียจเดินหา”
พี่สาวที่กลับมาตอนไหนไม่รู้บอกฉันที่กำลังเล็งเป้าอยู่ ฉันรับคำพี่พลางยิงออกไปอีกนัด
แป๊ะ…
อีกนัด…
แป๊ะ…
แป๊ะ…
แป๊ะ…แป๊ะ…แป๊ะ…
จนแล้วจนรอดฉันก็ทำได้เพียงเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาโดยไม่มีกระสุนนัดไหนเลยที่โดนเป้า
เงิน 500 เยนสุดท้ายของฉัน ฮือออ…
ฉันถอยออกมาให้พ้นจากหน้าร้านเพื่อไม่ให้ขวางทางลูกค้าคนอื่นๆ พลางยืนรอพี่ไปด้วย ตอนนี้ทั้งตัวไม่มีเงินเหลือสักเยน รอให้พี่มาก่อนแล้วค่อยขอเงินพี่อีกที
คิดแล้วก็รู้สึกว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันเพราะตัวเองไม่ต้องจ่ายเงินเอง เดี๋ยวตอนเดินเข้าไปข้างในก็ให้พี่เลี้ยง อิ่มจัง ตังค์อยู่ครบ หุๆๆ
[‘เดี๋ยวกินอะไรดีน้า… หมึกย่างก็น่าอร่อย ทาโกะยากิด้วย อ๊ะ แอปเปิลเคลือบน้ำตานั่นก็ดูดีไม่เลว…’]
คิดถึงของกินพลางสอดส่ายสายตามองหาพี่สาว
[‘ไปนานจังเลยแฮะ หรือว่าคนเยอะเลยเดินได้ช้ากันนะ’]
พอยังไม่เห็นพี่สาวมาฉันก็หันกลับไปมองพวงกุญแจนั่นอีกรอบ เจ้าแฟรี่แบร์นั่นยังคงตั้งตระหง่านอย่างมั่นคงอยู่ตรงนั้น
ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเหมือนถูกมันเยอะเย้ย ราวกับมันต้องการท้าทายว่าอยากลองอีกสัก 25 นัดไหม ยังไงยังงั้น
[‘รอพี่ฉันมาก่อนเถอะ’]
แล้วก็มีคนมาแต่ว่าไม่พี่
ฉันรู้สึกได้ว่ามีคนมองอยู่ จากทางหางตาน่าจะเป็นผู้ชาย
[‘ไม่เคยเห็นคนหรือไงยะ’]
ฉันคิดแบบนั้นแล้วก็หันไปจ้องเขาตรงๆ กะว่ามองด้วยสายตาที่แสดงความสงสัยไปเต็มที่ เขาจะได้รู้ว่าเรารู้ตัวว่าเขามองอยู่
แวบแรกที่เห็นคือผู้ชายร่างสูงเพรียวในชุดจิมเบอิสีน้ำเงินเข้ม ยืนเอามือล้วงกระเป๋าเหมือนพวกจิ๊กโก๋
พอไล่สายตาขึ้นไปที่ใบหน้าของเขานั่นทำให้ฉันต้องประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะมายืนอยู่ตรงนี้
อาคิยามะ เออิชิ ชายหนุ่มผู้เป็นรุ่นน้องของคุณนาคาจิมะผู้เป็นแฟนหนุ่มของรุ่นพี่คาวากุจิกำลังยืนมองฉันอยู่
“นายมาได้ไงเนี่ย?”
ฉันเอ่ยปากทักเขา จะบอกว่าตั้งใจทักก็ไม่ได้ อารมณ์คล้ายๆ บังเอิญเจอเพื่อนแล้วทักทายกันง่ายๆ มากกว่า
แต่ว่าหลังทักไปแล้วอาคิยามะก็ยังนิ่ง เขามองฉันเหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว ในแววตาเหมือนแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มขี้แกล้ง
ฉันยกมือขึ้นมาโบกตรงหน้าเขา เช็กดูว่าสติเขายังอยู่ดีไหมเพราะเขายิ้มที่มุมปากน้อยๆ
“ฉันเดินมาน่ะ เธอล่ะ มายังไง?”
จู่ๆ ก็ตอบ ทำเอาตกใจนิดหน่อย แต่ฉันก็ยังตอบคำถามที่เขาถามกลับมาได้นะ เพียงแต่ว่าพอตอบไปแล้วก็รู้ตัวว่ากำลังโดนเขากวนประสาท
ถามว่ารู้ได้ยังไง หึ ก็นายนี่ยืนหัวเราะฉันต่อหน้าต่อตาแบบไม่แคร์ว่าฉันจะโกรธเลย
เห็นแล้วก็ชักอารมณ์ขึ้น ฉันยืนบ่นเขาตรงนั้นไปชุดหนึ่ง ถึงจะไม่ทำให้เขาสำนึกผิดแต่ก็ทำให้เขายอมตอบคำถามแรกของฉันมาดีๆ
“…มากับรุ่นพี่น่ะ แต่แอบหนีออกมา”
[‘รุ่นพี่ที่ว่านี่…’]
“…คุณนาคาจิมะน่ะหรอ?”
“อ่า ฉันโดนรุ่นพี่หลอกมาน่ะ ตัวเองมากับแฟนแท้ๆ ดันหลอกว่าจะมีคนอื่นมาด้วยซะได้”
“เอ๋ งั้นหรอกหรอ อ๊ะ แต่รุ่นพี่ก็มาชวนฉันเหมือนกันนะ แต่ฉันบอกว่าจะมากับพี่”
“อืมมม เมื่อกี้ตอนที่ฉันถามหาคนที่มาด้วยกัน รุ่นพี่ก็บอกฉันเรื่องเธอแล้ว แต่บอกแล้วมันจะได้อะไร สุดท้ายก็ให้ฉันมาเดินดูพวกรุ่นพี่พลอดรักกันอยู่ดี เธอเข้าใจใช่ไหมตอนที่ต้องอยู่กับสองคนนั้นน่ะ…”
ฉันนึกภาพตามที่อาคิยามะบรรยายแล้วก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา อาาา… หมอนี่น่าสงสารเหมือนกันแฮะ
“…ก็อย่างที่เล่าไป ตอนนี้ฉันก็แอบหนีออกมาเรียบร้อย”
พูดจบแล้วก็ทำหน้าภูมิใจเหมือนเด็กที่รอคำชมจากคุณครู ฉันกลั้นหัวเราะท่าทางของอาคิยามะไว้ โชคดีที่ไม่ต้องกลั้นนานเพราะเขาหันไปสนใจร้านยิงปืนก่อน ไม่งั้นต้องโดนเขาจับได้แน่ๆ
อาคิยามะเรียกเจ้าของร้านแล้วซื้อกระสุนปืนมาชุดนึง ไม่รู้ทำไมเจ้าของร้านถึงมองมาที่ฉันก่อนจะส่งกระสุนปืนไปให้เขา
ฉันเห็นเขายืนมองปืนที่วางอยู่ตรงหน้า อยากจะเข้าไปบอกเหลือเกินว่ากระบอกไหนยิงดีแต่เห็นเขาหยิบกระบอกหนึ่งขึ้นมาใส่กระสุนแล้วลองตั้งท่าเล็ง
เห็นท่าเล็งนั่นแล้วฉันก็เกิดความหวังขึ้นมาริบหรี่ รู้ตัวอีกทีก็เดินมากระซิบอยู่ข้างๆ เขาแล้ว
“นี่ นายยิงแม่นหรอ?”
อาคิยามะหันมามองฉัน ท่าทางเหมือนเขาจะงงๆ ที่อยู่ฉันก็เข้ามาถามแบบนี้
“อืมม ก็พอได้”
อาคิยามะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองยิงแม่น แต่ก็ไม่ได้ถ่อมตัวว่ายิงได้ห่วย ฟังแล้วรู้สึกว่าเขาเป็นประเภท พอได้ จริงๆ
ฉันเผลอทำเสียงแปลกๆ ออกไป จนอาคิยามะกับเจ้าของร้านหันมาจ้องฉันตรงๆ
ความอายพวยพุ่งขึ้นมา ฉันเลยต้องถอยฉากออกมาพักตรงที่เดิมที่ยืนทีแรกก่อน
[‘แต่ก็อยากได้จริงๆ นั่นแหละน้า รอพี่มาก่อนแล้วกัน’]
ฉันมองหาพี่ในกลุ่มผู้คนอีกครั้งแต่ก็ยังไม่มีวี่แววของพี่เลย
ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ฉันหันกลับไปมองก็เห็นอาคิยามะยิงทิ้งยิงขว้างจนกระสุนหมด จากนั้นเขาก็ขอกระสุนชุดที่สองทันที
[‘แบบนี้คงหวังรางวัลยากเสียแล้ว’]