ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 55 สัปดาห์ที่ 22 โอโตเมะ อามายะ (2)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 55 สัปดาห์ที่ 22 โอโตเมะ อามายะ (2)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้าสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
ฉันเลิกสนใจอาคิยามะแล้วกลับมามองหาพี่ต่อ กำลังเพลินๆ กับการมองดูผู้คนเดินไปเดินมา เสียงอาคิยามะก็ดังขึ้นมาข้างๆ
ตอนแรกฉันเข้าใจว่าเขาคุยกับคนอื่น แต่พอเห็นว่าตรงนี้มีแค่เราสองคนบวกกับเขาบอกว่ากำลังถามฉัน ฉันเลยชี้มาที่ตัวเองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
พอเขาพยักหน้าก็เป็นอันเข้าใจได้
[‘หมอนี่หาเรื่องฉันอีกแล้วแน่ๆ’]
“นี่นายเห็นฉันไม่มีแฟนเลยมาล้อฉันเล่นใช่ไหม?”
ถามไปด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวนิดๆ ยอมรับว่าไม่ได้โกรธอะไรเขา แต่ก็มีเคืองๆ กันนิดหน่อยที่มาล้อเล่นกับหัวใจสาวน้อยอย่างฉัน
“เปล่า ก็เห็นเหมือนรอคนอยู่เลยถามดู”
“ฉันรอพี่ต่างหากล่ะ ก็บอกไปแล้วนิว่ามากับพี่”
“อืมม ก็จริง”
“ฮึ นายนี่มันจริงๆ เลย สนุกนักรึไงที่มาแกล้งกวนประสาทฉันเนี่ย”
“ก็แกล้งเธอแล้วสนุกนินา”
อาคิยามะยิ้มทะเล้นตอบข้อสงสัยว่าทำไมถึงได้ชอบแกล้งฉันมาหน้าตาเฉย ไอ้หมอนี่… ไม่สำนึกเลยนี่นา
“หรอยะ!!”
พร้อมกับคำนั้นฉันเงื้อมือเตรียมฟาดอาคิยามะสักป้าบ ไม่ตบไม่ตีไม่ดีขึ้นเลยจริงๆ
ทันทีที่เงื้อมือ อาคิยามะกระโดดถอยห่างจากฉันทันทีเหมือนมีเซนเซอร์หลบภัย
“อ๊ะๆๆ… ยอม อ่ะให้ตีมือละกันนะ”
เห็นท่าทางยอมรับโทษเบาเพื่อละเว้นโทษหนักของออาคิยามะแล้วหมั่นไส้ ทั้งตลกทั้งน่าโมโห
“ฮ่าๆๆ อะไรของนายเนี่ย ยอมรับโทษง่ายๆ แบบนี้ได้ไง”
ฉันก้าวเข้าไปหาเขาเตรียมจะตีมือเขาสักทีโทษฐานทำให้หมั่นไส้ แต่พอมองไปที่มือของเขาซึ่งยื่นมาให้ตีนั่นกลับมีของวางอยู่บนฝ่ามือ
“เอ๊ะ?”
ฉันมองของสิ่งนั้นแล้วหันกลับไปมองบนชั้นรางวัลของร้านยิงปืน
[‘ไม่มี… หายไปแล้ว’]
สมองของฉันเหมือนจะลัดวงจรไปชั่วขณะ พวงกุญแจแฟรี่แบร์ที่ฉันเสียเงินไป 500 เยน ก็ยังไม่ได้อะไรกลับมา ตอนนี้หายไปแล้ว
“โอโตเมะ?”
เสียงเรียกที่เหมือนกังวลใจดึงฉันให้หันกลับมา ตรงหน้ามีผู้ชายยื่นพวงกุญแจแฟรี่แบร์ที่หายไปนั่นมาที่ฉัน
“เอาไหม?”
[‘เอา? เอาอะไร?’]
“ฉันเห็นเธอมองมันเลยคิดว่าอยากได้ ฉันได้ของฉันมาแล้วเลยลองยิงมาเผื่อเธออยากได้”
[‘เอ๊ะ? ตั้งใจเอามาให้ฉันหรอ? อ๊า แล้วจะเก็บกลับไปทำไมล่ะ อะ… เอ่ออ…’]
ฉันเห็นอาคิยามะเก็บพวกกุญแจทั้งสองอันใส่กระเป๋าเสื้อแล้วก็ร้อนใจ
[‘นั่นน่ะ รุ่นลิมิเต็ดเลยนะ อ๊ะ… ยะ… อย่า… อย่าเพิ่งเก็บซิ อ๊า… ‘]
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉัน… หือออ…”
[‘เอาไงดีๆ ถ้าขอเขาตอนนี้คงน่าเกลียดตายเลย เอาไงดีๆ อยากได้จัง ฮือออ… เอาไงดีๆ’]
ระหว่างที่กำลังสับสนกับตัวเอง อาคิยามะก็ยืนมองฉันเงียบๆ เหมือนเขาจะรู้ว่าตอนนี้สมองฉันกำลังรวนเลยไม่รบกวนอะไร เห็นแล้วรู้สึกผิดแทบไม่ทันเลย
“เอ่อออ… คือ… คือว่า… พวงกุญแจแฟรี่แบร์นั้นน่ะ… “
รู้สึกตัวว่ายิ่งพูดเสียงยิ่งเบาลงๆ แถมยังตะกุกตะกักอีก
“คือ… ขอซื้อต่อได้ไหม…”
ฉันเหลือบตามองปฏิกิริยาของอาคิยามะว่าเขาจะมีท่าทียังไงกับคำขอของฉัน แต่กลับเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาของเขาที่อยู่ตรงหน้า
[‘เอ๊ะ?’]
ฉันถอยออกมาจากตำแหน่งตรงหน้า ยืนมองอาคิยามะที่หัวเราะคิกคักด้วยใจเต้นรัว
[‘เมื่อกี้นี้มันอะไรน่ะ หมอนั่นจะทำอะไร…’]
ฉันประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำไมอยู่ๆ อาคิยามะถึงเข้ามาจ้องกันใกล้ขนาดนั้นนะ หรือจะไม่ได้ยินว่าฉันพูดอะไรเลยตั้งใจเข้ามาฟัง แต่นั่นมันก็ใกล้ไปหรือเปล่า ใกล้กว่าปกติที่เราคุยกันเยอะเลย
ยิ่งนึกถึงภาพใบหน้าของเขาในระยะใกล้ยิ่งใจเต้นเร็ว เป็นครั้งแรกเลยที่ได้มองในระยะใกล้ขนาดนี้
ถึงจะไม่หล่อแบบนิโนะมิยะ แต่ต้องยอมรับว่าเป็นใบหน้าที่คมเข้ม ประกอบกับสีหน้าแววตาที่ดูตั้งอกตั้งใจ ยิ่งทำให้ดูแมนขึ้นไปอีก
[อ๊า… คิดอะไรเนี่ย บ้าจริง’]
ฉันดึงสติตัวเองกลับมาก่อนที่มันจะเตลิดไปไกลเป็นจังหวะเดียวกับที่อาคิยามะล้วงเอาพวงกุญแจขึ้นมาแกว่งไปแกว่งมาตรงหน้าฉัน
“เธอหมายถึงอันนี้หรอ?”
[‘งื้อออ… แฟรี่แบร์…’]
“เอาไปซิ ฉันยิงมาให้” / “นายจะขายเท่าไร”
““…””
เราทั้งคู่ยืนมองหน้ากัน
“นายจะให้ฉันหรอ?” / “เธอจะซื้อทำไม?”
““…””
“ฮิๆๆ คิกๆๆ” / “หุๆๆ ฮ่าๆๆ”
ฉันกับอาคิยามะมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ น่าตลกที่เราพูดพร้อมกันถึงสามครั้ง เป็นการถามและตอบพร้อมกันถึงสามรอบ
จังหวะพอดิบพอดีเกิน
เราหัวเราะกันอยู่นานจนคุณเจ้าของร้านยิงปืนกระแอมดังๆ ให้ได้ยิน เราถึงรู้ตัวว่ากำลังมายืนหัวเราะขวางอยู่หน้าร้านของเขา
ถึงจะขยับย้ายที่แล้วฉันก็ยังหยุดหัวเราะไม่ได้ อาคิยามะเองก็ดูจะยังอารมณ์ดีอยู่ เขายิ้มเล็กน้อย ใบหน้าที่ปกติมักจะนิ่งๆ ดูอ่อนโยนขึ้นเยอะ
[‘ยิ้มให้มันบ่อยๆ หน่อยก็น่าจะได้แท้ๆ’]
ฉันคิด แล้วอาคิยามะก็ยื่นพวงกุญแจมาให้
“อ่ะ”
ยื่นให้กันง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีคำกล่าวสวยหรู แค่ยื่นให้พร้อมรอยยิ้มที่ยิ้มไปถึงดวงตา
ตึก… ตึกๆ… ตึกๆๆๆ…
แค่ท่าทางยื่นของให้กันธรรมดาๆ เท่านั้น แต่ฉันใจเต้นรัวเฉยเลย… บ้าจริง
ฉันกลบเกลื่อนอาการใจเต้นของตัวเองด้วยการปั้นหน้าขรึม
“นายคิดเงินฉันดีกว่า รับมาเฉยๆ แบบนี้รู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้”
[‘แปลกจริงๆ ใจเต้นรัวเลยเนี่ยยย ><’] “ไม่เห็นเป็นไรเลย ฉันก็ไม่ได้เสียเงินซื้อมานินา” “แต่นายเสียเงินไปเล่นมานะ” “เอาน่า กระสุนมันเหลือหรอก คิดมากไปได้” เอา ไม่เอา… อาคิยามะแกว่งพวงกุญแจไปมาตรงหน้าฉันอีกครั้ง สีหน้าเขาบ่งบอกว่ามีให้เลือกแค่สองทางเท่านั้น งื้อออ… “เอา!!” แล้วฉันก็คว้าพวงกุญแจแฟรี่แบร์จากมืออาคิยามะมาทันที เป็นพวงกุญแจที่ไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก เหมาะกับการเอาไปคล้องกระเป๋านักเรียนยิ่งนัก หุๆๆๆ “ว่าแต่พี่เธอไปไหนล่ะ? ฉันก็มาตั้งนานแล้วนะ ยังไม่เห็นพี่เธอเลย” ฉันเงยหน้าจากของเล่นใหม่ในมือ มองไปรอบๆ จริงอย่างที่อาคิยามะว่า พี่ไปนานแล้วจริงๆ “นั่นน่ะซิ ไปนานแล้วไม่เห็นมาซะที” ฉันเงยหน้าจากไอเทมใหม่ในมือมามองรอบๆ “ไม่ได้บอกหรอว่าไปไหน?” “เห็นว่าจะไปคุยงานหรืออะไรนี่แหละ” “ไม่ลองโทรหาล่ะ?” “ฉันลืมโทรศัพท์ไว้ในรถน่ะ” “งั้นไม่ลองเดินไปดูที่รถล่ะ พี่เธออาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้” “พี่บอกให้รออยู่นี่น่ะ คนมันเยอะ คลาดกันแล้วจะหากันลำบาก” คนที่มาเที่ยวงานดูเหมือนจะเยอะขึ้นกว่าตอนที่ฉันมาถึงทีแรก ฉันมองผู้คนเดินไปเดินมาแต่ว่ามองไม่เห็นพี่ ความรู้สึกไม่ดีเริ่มก่อตัวขึ้นมา เริ่มอึดอัดในใจเหมือนทำของหายแล้วหาไม่เจอ “ยืมของฉันก่อนไหม?” ฉันหันไปเห็นอาคิยามะยื่นโทรศัพท์ของเขามาให้ [‘ของอย่างโทรศัพท์นี่เขายื่นให้คนอื่นกันได้ง่ายๆ งี้เลยหรอ?’] ฉันประหลาดใจเล็กน้อยที่เขายื่นโทรศัพท์ของเขามาให้ฉันใช้ง่ายๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไร เพราะถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่ยอมให้คนอื่นมาใช้ง่ายๆ หรอก “ถ้าไม่อยากใช้ก็ขอโทษที…” …แค่คิดว่าเธออาจจะอยากติดต่อพี่ อาคิยามะพูดแบบนั้นแล้วก็ทำท่าจะเก็บโทรศัพท์ตัวเองไป [‘เอ๊ะ? เจ้าบ้านี่ ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไม่ใช้’] “…ดะ… เดี๋ยววว… เดี๋ยวซิ” ฉันกระโจนเข้าคว้าแขนอาคิยามะไว้… แต่ดูเหมือนจะออกแรงมากไปจนจะเสียหลักหงายไปข้างหลัง โชคดีที่อาคิยามะแรงเยอะ เลยฉุดฉันไว้ไม่ให้ล้มได้พอดี ความรู้สึกผิดพุ่งขึ้นมา ฉันปล่อยอาคิยามะก่อนจะขอโทษเขา แต่กลายเป็นว่าเขาไม่ได้โกรธ แถมยังยื่นโทรศัพท์มาให้ [‘อ่าาา… ช่างเป็นคนดีผิดกับหน้าตาจริงๆ’] ฉันชื่นชมเขาในใจแต่ไม่ได้แสดงออกมาให้เขารู้ ไม่งั้นเขาอาจจะแกล้งฉันอีกก็ได้ ต้องระวังตัวไว้ก่อน “…ให้ฉันใช้ได้จริงๆ หรอ?” “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? หรือเธอใช้ไม่เป็น?” อาคิยามะทำหน้างงๆ สีหน้าเขาบอกว่า เธอใช้ไม่เป็นจริงดิ “ไม่จริงน่า… เธอใช้เครื่องรุ่นเก่าไม่เป็นหรอ?” [‘อ๊ะ คิดงั้นจริงๆ ซินะ…’] ฉันแอบว่าเขาในใจไปชุดนึง พร้อมกับขึงตาจ้องเขา ดันมาดูถูกกันซะได้ “บ้า ใช้เป็นหรอกย่ะ แค่เกรงใจเฉยๆ หรอก” “อ่อออ… โล่งอก นึกว่าโทรศัพท์ฉันมันตกรุ่นจนคนอื่นใช้ไม่เป็นแล้วซะอีก” อาคิยามะถอนหายใจ ทำท่าโล่งอกเสียเกินจริง ไม่รู้ว่าเขาแกล้งหรือว่าคิดงั้นจริงๆ แต่ฉันก็ขอบคุณเขาแล้วรับโทรศัพท์มา [‘เก่าจริงๆ ด้วยแฮะ ตกรุ่นไปหลายปีแล้วนะเนี่ย’] โทรศัพท์ของอาคิยามะเป็นสมาร์ทโฟนก็จริง แต่เป็นเครื่องที่ออกมานานแล้ว น่าจะเกิน 6 – 7 ปี ไปแล้ว ทำไมยังใช้เครื่องรุ่นเก่าแบบนี้อีกนะ ฉันมองโทรศัพท์ในมือแล้วกดเข้าหน้าโทรออก แต่พอจะกดตัวเลขที่เป็นเบอร์โทรของพี่ฉันก็นึกขึ้นมาได้… …ฉันจำเบอร์โทรของพี่ไม่ได้ เป็นความจริงที่น่าสลดอะไรขนาดนี้ เพราะก่อนหน้านี้ใช้แต่แอปพลิเคชันซินะ ส่วนเบอร์โทรบันทึกไว้แล้วก็ไม่เคยจำเลย โอยยย… งี้จะทำไงเนี่ย ไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าแบบไหน แต่คิดว่าคงไม่ใช่สีหน้าปกติ จนอาคิยามะถามว่าเป็นอะไร เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเขาชะโงกหน้ามามองที่จอโทรศัพท์ “อ่ออ… หรือโทรศัพท์ค้าง ฮ่าๆ โทษทีนะ บางทีมันก็เป็นแบบนี้แหละ” อาคิยามะพูดด้วยท่าทางเขินๆ เหมือนจะอายโทรศัพท์ตัวเอง เขาเอานิ้วมาจิ้มๆ ที่หน้าจอ ตัวเลขขึ้นตามที่เขากดเป็นปกติ เขาชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามันไม่ได้ค้าง แล้วก็มองหน้าฉัน แน่นอนว่าฉันมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ถึงจะน่าอาย แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้เขาสงสัยในการกระทำของฉัน เอาโทรศัพท์เขามาแล้วทำท่าทางแปลกๆ ถ้าเขาเข้าใจผิดฉันจะลำบากเอาได้ “ทะ… ทำไงดีล่ะ ฉันจำเบอร์โทรพี่ไม่ได้” “เอ๊ะ?” อาคิยามะที่ฟังคำสารภาพของฉันทำหน้าตกใจนิดหน่อย จากนั้นก็เอียงคอนิดๆ สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังสงสัยในสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดไป ฉันล่ะชอบท่าทางของเขาตอนนี้จริงๆ “ฉันจำเบอร์โทรของพี่ไม่ได้” “ไหงงั้น?” “ก็ปกติโทรผ่าน RaNE นิ มันไม่ได้ใช้เบอร์โทรสักหน่อย” เห็นเขายืนอึ้ง ฉันก็ไปต่อไม่ถูก เลยได้แต่ถือโทรศัพท์มองกันอยู่อย่างนั้น [‘นี่คนอื่นเขาไม่ได้เป็นเหมือนฉันหรอกหรอเนี่ย’] แล้วตอนคิดว่าคงทำอะไรไม่ได้แล้ว อาคิยามะก็เสนอว่าให้ลองโทรเข้าโทรศัพท์ตัวเองดู “…เผื่อพี่เธออยู่ที่รถ อืมมม… หรือจะโทรไปที่บ้านแล้วให้ที่บ้านโทรบอกพี่เธอให้โทรมาเธอผ่านเครื่องฉันอีกทีดี” …แต่แบบนั้นน่าจะวุ่น ฉันมองดูอาคิยามะที่เสนอความคิดหลายๆ อย่างให้ฉัน ความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว [‘ดีจังที่มีเขาอยู่ด้วย’] “งั้นฉันลองโทรเข้าเครื่องตัวเองก่อนแล้วกัน” อาคิยามะพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าโอเค ฉันจึงเริ่มกดเบอร์โทรตัวเองลงไปบนหน้าจอแล้วก็กดโทรออก