ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 56 สัปดาห์ที่ 22 อาคิยามะ เออิชิ (3)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 56 สัปดาห์ที่ 22 อาคิยามะ เออิชิ (3)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
ผมมองโอโตเมะที่กดเบอร์โทรของตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วก็คิดในใจ
[‘ไม่ใช่ว่าเธอจะจำเบอร์โทรไม่ได้แต่เลือกที่จะจำมากกว่าซินะ’]
ถือสายรอประมาณ 10 วินาทีจนโอโตเมะถอดใจจะวางสาย แต่จู่ๆ ปลายสายก็มีคนรับขึ้นมาซะก่อน
“พี่!!…”
คิดว่าน่าจะเป็นพี่สาวของโอโตเมะที่เป็นคนรับสาย ท่าทางคงจะอยู่ที่รถพอดี
ผมถอยห่างออกมานิดนึงให้พอเป็นพิธีจะได้ดูไม่เหมือนกำลังแอบฟังคนคุยโทรศัพท์กัน แต่เอาจริงๆ ก็พอได้ยินแว่วๆ อยู่บ้างถึงจะไม่ทั้งหมดก็เถอะ
“หนูเอง… นี่โทรศัพท์เพื่อน… พี่อยู่ไหนแล้ว… ห๊ะ… แล้วหนูจะรู้ได้ไง… ไม่มีเงินแล้ว… ง่ายไปแล้ว…”
พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งแค่ 1 – 2 นาที แล้วก็วางสาย
ผมเดินกลับมาหาโอโตเมะที่ยืนจ้องโทรศัพท์ในมือนิ่ง ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยพอใจกับการคุยกับพี่สาวครั้งนี้เท่าไร
“โอเคมั้ย?”
ถามไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเองเสียจริงๆ โอโตเมะที่เงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมามองผมในตอนนี้ไม่มีทางโอเคอยู่แล้ว
เด็กสาวตรงหน้าเม้มปากนิดๆ ดวงตาฉ่ำน้ำที่ดูเหมือนจะวาววับมากกว่าปกติ เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่มองสีหน้าก็บ่งบอกได้มากพอแล้ว
โอโตเมะสูดลมหายใจเข้ายาวลึกแล้วปล่อยออกมา เธอก้มหน้ามองโทรศัพท์อีกครั้งก่อนจะพูดเบาๆ
“ฉันโดนพี่ทิ้งซะแล้ว”
“พี่มีงานด่วนเลยกลับไปก่อนแล้ว”
“แล้วฉัน…”
ผมยื่นมือออกไปตรงหน้าเธอ เธอเงียบก่อนจะคืนโทรศัพท์ให้ผม
“ขอโทษที ฉันลืมไปเลย”
โอโตเมะคืนโทรศัพท์ให้ผมแล้วก็มองไปทางผู้คนที่เดินกันในงาน แววตาทางท่านั่นสะกดให้ผมมองเหม่อไปชั่วขณะจนเธอหันมาทางผมอีกครั้งผมจึงได้รู้ตัว
รู้ตัวว่าคงปล่อยเด็กสาวตรงหน้าไว้แบบนี้ไม่ได้แน่ๆ
ไม่ใช่เพราะว่าสงสารจนปล่อยไม่ได้หรอกนะ มันมากกว่านั้น ในตอนที่เธอมองมา ตอนที่สบตากันผมก็ได้รู้
แววตานั่น
แววตาที่ผมเคยเห็นมันมาแล้วในกระจก
ผมไม่รู้ว่าตัวเองเข้าใจโอโตเมะในตอนนี้ดีแค่ไหน แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าแววตานั่นหมายถึงอะไร
ผมเก็บโทรศัพท์ตัวเองลงกระเป๋าก่อนจะลองทำอย่างที่ตัวเองเคยอยากให้คนอื่นทำให้
“นี่…”
โอโตเมะหันมาตามเสียงเรียก
“ถ้าไม่รังเกียจ ไปเดินเที่ยวงานด้วยกันมั้ย?”
“…”
โอโตเมะเงียบ พอเธอเงียบผมก็รู้สึกตัว คำพูดกับสถานการณ์มันอาจจะส่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้
ตั้งใจอยากจะช่วยให้ร่าเริงขึ้นแท้ๆ ถ้าโดนหยีใส่เพราะเข้าใจผิดล่ะแย่เลย
“เอ่อออ… ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรหรอกนะ คือ… ก็แค่แบบว่า… นี่ไง ฉันเองก็หนีพวกรุ่นพี่มาคนเดียวเหมือนกันน่ะ อืมม… ก็ประมาณนั้นแหละ”
[‘ยิ่งอธิบายก็เหมือนยิ่งแย่ ทำอะไรอยู่นะตัวฉัน’]
บ่นตัวเองในใจไปหนึ่งยกแล้วก็ทำได้แค่ยืนรอให้โอโตเมะตอบ
มองคิ้วที่ย่นเข้ามาใกล้กันนิดๆ ของโอโตเมะแล้วใจก็ตุ้มๆ ต่อมๆ
[‘ให้ตายเถอะกะอีแค่จะช่วยคนอื่นทำไมมันถึงยากแบบนี้กัน’]
ในที่สุดคิ้วของโอโตเมะก็คลายออก พร้อมกับสีหน้าลำบากใจที่ปรากฏขึ้นมาแทน เธอก้มหน้าเล็กน้อยเล่นนิ้วของตัวเองที่โผล่พ้นเสื้อคลุมแขนยาวของตัวเองออกมา
“ขอโทษนะ… คือ…”
[‘มาแล้ววว… การเกริ่นก่อนปฏิเสธ บ้าจริง ไม่ใช่โดนปฏิเสธรักสักหน่อย แต่ก็เสียฟอร์มยังไงไม่รู้แฮะ’]
ผมรอให้โอโตเมะพูดจบพลางคิดเพ้อใจในหัวไปด้วย แวบนึงผมคิดว่าคนที่โดนปฏิเสธการชวนไปเดตนี่จะรู้สึกเหมือนผมตอนนี้มั้ย
“…คือว่า ฉะ… ฉันไม่มีเงินเลย”
“งั้นหรอกหรอ ช่วยไม่… เอ๊ะ?!”
“ขอบคุณที่ชวนนะ แต่ฉันไม่มีเงินติดตัวเลยน่ะ คงไปเดินเที่ยวเล่นด้วยไม่ได้หรอก แล้วก็อีกอย่างฉันมีเรื่องจะรบกวนนายด้วยน่ะ”
ขอยืมเงินค่ารถไฟกลับบ้านหน่อยได้มั้ย…
โอโตเมะก้มหัวขอยืมเงินค่ารถไฟกลับบ้าน ผมทำได้แค่ยืนมองเธออึ้งๆ เธอเองก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
อ่าา.. เข้าใจแล้ว
เพราะแบบนี้ซินะถึงทำหน้าแบบนั้น
ความฉ่ำน้ำแวววาวในดวงตาที่เห็นก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้คิดไปเองจริงๆ
ค่อยยังชั่ว คิดถูกจริงๆ ที่ไม่ปล่อยเธอไว้คนเดียว
ผมถอนหายใจออกมา รู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด
“เธอรังเกียจที่จะไปเดินเที่ยวงานเทศกาลกับฉันหรอ?”
โอโตเมะที่ได้ยินคำพูดของผมเงยหน้าขึ้นมา เธอทำหน้างงๆ เหมือนไม่เข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร
“ฉันไม่ได้ถามเธอว่ามีเงินไปเดินเที่ยวกับฉันมั้ย แต่ถามเธอว่ารังเกียจมั้ยถ้าจะเดินเที่ยวด้วยกัน”
“เอ๋?… อ่ออ… กะ… ก็เปล่า… ฉันแค่ไม่อยากรบกวนนายมากจนเกินไป คือ… อย่างที่บอก ฉันต้องรบกวนยืมเงินนายเป็นค่ารถไฟกลับบ้านด้วย”
“งั้นไปเดินเที่ยวกันนะ”
โอโตเมะมองผม เธออ้าปากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ถูกผมเบรกไว้
“หยุด ฟังฉันแล้วตอบคำถามพอ เข้าใจ๊?”
“อ๊ะ… อื้มม…”
“เธออยากเดินเที่ยวงานมั้ย?”
“ก็… อยาก”
“แล้วถ้าเดินกับฉัน จะโอเคมั้ย?”
“กะ… ก็… ได้แหละ”
“ดูดอกไม้ไฟเสร็จแล้วค่อยกลับได้หรือเปล่า?”
“ก็ได้…”
“ขากลับฉันไปส่งที่บ้านนะ?”
“ได้… เอ๊ะ?! ดะ.. เดี๋ยวซิ…”
โอโตเมะดึงชายเสื้อจิมเบอิไว้ก่อนที่ผมจะเริ่มเดินไปไกล ผมหันไปมองเห็นเธอพองแก้มทำตาโตขึงตาใส่ผม เป็นภาพที่หาความน่ากลัวไม่เจอเลยจริงๆ
“นายเดินหนีฉันอีกแล้วนะ ทำไมชอบเดินหนีตลอดเลย”
“ก็เราคุยกันรู้เรื่องแล้วนิ ถ้าไม่รีบเดินเที่ยวเดี๋ยวก็ไม่ทันดูดอกไม้ไฟหรอก”
“ก็รู้ แต่เรื่องที่จะไปส่งที่บ้านน่ะ…”
“ไม่ใช่ครั้งแรกนิ ไม่สะดวกหรอ?”
เห็นเธอมีท่าทีแปลกๆ คิดว่าคงไม่สะดวกใจที่จะให้ไปส่งถึงบ้าน ก็เข้าใจละนะว่าให้ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ไปส่งที่บ้านกลางค่ำกลางคืน มันก็จะดูไม่ดีเอาได้ ที่ไหนได้
“ฉันเกรงใจน่ะ”
“เธอนี่ขี้เกรงใจผิดกับตอนที่เจอกันครั้งแรกลิบลับเลยนะ”
“อันนั้นขอโทษได้ปะล่ะ ก็คนมันไม่รู้นิ”
มองเธอที่ทำปากจู๋ปากยื่นเหมือนเด็กที่โดนจับได้ว่าทำความผิดแต่ไม่อยากยอมรับผิดแล้วก็ขำ
[‘แกล้งยัยนี่แล้วสนุกดีแฮะ’]
ผมแหย่เธอเล่นอีกนิดหน่อยแล้วจึงหยุด แน่นอนว่าการหยุดในช่วงที่เหมาะสมคือเคล็ดลับที่ทำให้ผมไม่โดนเธอตีอีกนั่นเอง
“งั้นเรามาคุยกันให้ชัดเจนก่อนนะ ตกลงมั้ย”
พอเห็นว่าเธอสงบแล้วผมจึงพาเข้าสู่โหมดจริงจัง
“เดี๋ยวเราเดินเที่ยวงานเทศกาลกัน ระหว่างนี้ถ้าเธออยากได้อะไรฉันจะออกเงินให้ก่อนแล้วค่อยคืนทีหลัง หลังดูดอกไม้ไฟจบแล้วฉันจะไปส่งเธอที่บ้าน แบบนี้โอเคมั้ย”
“ก็ได้ แต่…”
“ไม่มีแต่ มีให้เลือกแค่ตกลงหรือไม่ตกลง”
ผมปั้นหน้าจริงจัง ทำเสียงเข้มเป็นการเป็นงานเหมือนเวลากล่าวสุนทรพจน์ในวันปิดภาคเรียน
“ตะ… ตกลง”
โอโตเมะตอบตกลงเสียงเบา ท่าทางเหมือนกลัวผมอีกแล้ว สงสัยจะแกล้งมากไปหน่อย
ผมยื่นมือไปให้เธอ เธอมองผมก่อนจะจับมือผมตอบ
“ดีลล~~”
“ดีล…”
—
“นายรอฉันแปบนะ เดี๋ยวฉันเอาเงินมาคืนให้”
พูดจบเด็กสาวก็วิ่งเข้าไปในบ้าน
ผมยืนมองดูเธอหายเข้าไปหลังบานประตูพลางนึกขำกับท่าทางที่เหมือนเด็กน้อยนั่นของเธอ
บ้านของโอโตเมะเป็นบ้านสองชั้นน่าจะใหญ่พอๆ กับบ้านผม มีรั้วประตูกั้นหน้าบ้านและมีกำแพงที่สูงประมาณหัวผมกั้นระหว่างบ้านข้างๆ
บ้านที่อยู่ข้างๆ ก็มีลักษณะคล้ายๆ กัน ดูเป็นย่านที่พักอาศัยที่ให้บรรยากาศสบายๆ ไม่คึกคักจอแจ แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยวจนน่ากลัว
ตอนนั้นเองที่แสงไฟจากบ้านที่อยู่ตรงหน้าดึงความสนใจของผมให้กลับมาที่มันอีกครั้ง
แหล่งกำเนิดแสงมาจากชั้นสองของบ้าน ตรงนั้นเป็นหน้าต่างห้อง บางทีนั่นอาจจะเป็นห้องของโอโตเมะก็ได้
ความคิดผมถูกดึงกลับมาโฟกัสที่ตัวเด็กสาวอีกครั้ง
ในความคิด เธอเป็นเด็กสาวที่ดูธรรมดาๆ ไม่ได้โดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ แต่พออยู่ด้วยกันเธอกลับแผ่บรรยากาศที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจออกมา
อาจจะเป็นเพราะเธอมีด้านที่ดูเหมือนเด็กๆ ตอนอยู่กับผมด้วยล่ะมั้ง ผมเลยมักจะคิดว่าเธอน่าเอ็นดู อยู่ด้วยแล้วปวดหัวนิดๆ สนุกหน่อยๆ แต่สบายใจ
รอไม่นานโอโตเมะก็เปิดประตูออกมา
เสื้อคลุมแขนยาวหายไปแล้ว ตอนนี้เธอสวมแค่เสื้อยืดสีขาวเข้ารูปกับกางเกงขาสั้นธรรมดา ยังเป็นชุดเดิมกับก่อนหน้านี้แต่ให้บรรยากาศที่ต่างออกไปเหมือนเป็นคนละคน
“ขอโทษที่ให้รอนะ”
เธอพูดขึ้นในขณะที่เปิดประตูรั้วออกมา ผมเห็นเธอก้มหน้านับเงินที่ควักออกมาจากกระเป๋าสตางค์ใบเล็กในมือ
[‘ไม่ใช่ลายหมีแฮะ’]
คิดแบบนั้นแล้วก็แอบขำอยู่คนเดียว โอโตเมะคงนับเงินเสร็จแล้ว เธอเงยหน้าขึ้น
“หัวเราะอะไรของนาย หน้าฉันมีอะไรติดหรอ?”
เธอเอามือที่ถือเงินแตะๆ ที่หน้าที่หัวตัวเอง ดูเหมือนพวกแม่ค้าที่ชอบเอาเงินไปตบแปะๆ ที่สินค้าตอนเปิดร้าน
“ไม่หรอก ฉันคิดอะไรเรื่อยเปื่อยแล้วขำคนเดียวน่ะ”
“เพี้ยนแล้วงั้น… อ่ะนี่”
ว่าผมเพี้ยนแล้วก็ส่งเงินให้ ถ้าคนนอกเห็นคงจะมองว่าคนที่เพี้ยนคือเธอมากกว่าแน่ๆ แต่ผมไม่อยากทำให้เธออารมณ์เสียเลยเลือกที่จะไม่แหย่เธอ
รับเงินมาก็เก็บใส่กระเป๋า โอโตเมะเห็นแบบนั้นก็บ่นผมว่าไม่รอบคอบ
“จะมาหาว่าฉันใช้คืนไม่ครบทีหลังไม่ได้นะ”
“เธอจะโกงฉันรึไง?”
“เห็นฉันเป็นคนยังไงยะ”
แล้วเธอก็บ่นผม แต่ผมไม่ได้สนใจฟังเท่าไหร่หรอก ตอนแรกก็กะว่าจะไม่แกล้งแล้วนะ แต่อดไม่ได้จริงๆ
พอเห็นว่าผมยอมฟังเธอบ่นแต่โดยดีก็คงใจอ่อน เลยเลิกบ่นผมไป
เธอถอนหายใจเบาๆ
“งั้น… กลับบ้านดีๆ นะ”
“อืมม…”
“ถึงบ้านแล้วบอกฉันด้วย”
“เธอเป็นแม่ฉันเรอะ”
“แค่กลัวว่าถ้านายเป็นอะไรขึ้นมาแล้วตัวเองจะต้องโดนตำรวจสอบปากคำเพราะอยู่กับนายคนสุดท้ายต่างหากล่ะย่ะ”
งั้นหรออ…
ผมแหย่โอโตเมะเล่นอีกหน่อย ไม่รู้ทำไมอยู่กับเธอแล้วอดไม่ได้จริงๆ เห็นเธอมองค้อนแล้วรู้สึกดี เอ๊ะ… หรือผมจะเป็นพวกสาย M อะไรแบบนั้น
โอโตเมะไล่ผมกลับบ้าน ส่วนตัวเองก็เดินเข้าประตูรั้วไป ตอนนี้ระหว่างเรามีประตูรั้วกั้นกลาง แต่แสงไฟตรงบริเวณนั้นก็ยังส่องสว่างมากพอที่จะทำให้ผมเห็นรอยยิ้มของเธอ
“งั้นไว้เจอกันนะ”
ผมบอกเธอที่ยืนอยู่ด้านในรั้วประตู
“อื้มมม~ วันนี้ขอบคุณนายมากเลยนะ ฉันสนุกมากเลย”
“ดีแล้ว…”
“ฉันเข้าบ้านก่อนนะ ออกมานานแล้ว”
“อืมม…”
“งั้น… บาย”
“บาย”
มองส่งโอโตเมะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ไม่รู้คิดไปเองมั้ย แต่รู้สึกว่าแสงไฟจะทำให้เสื้อสีขาวของเธอดูสว่างมากกว่าปกติ
“โอโตเมะ…”
เด็กสาวหยุดอยู่ที่หน้าประตู เธอหันมามองผม
“ขอบคุณนะ”
เธอยิ้มให้ผม บอกขอบคุณผมอีกครั้ง แล้วเดินเข้าบ้าน
“อ่าฮะ ทำหน้าแบบนั้นได้ด้วยหรอยัยนี่”
ผมหันหลังเดินกลับไปทางสถานีที่เมื่อกี้เพิ่งจะเดินมา
อากาศหน้าร้อนยังคงร้อนแม้จะเป็นกลางคืน ลมที่พัดแฝงไว้ด้วยไออุ่นที่ไม่ค่อยจะช่วยให้รู้สึกเย็นมากนัก ถ้าอยากให้อากาศเย็นขึ้นคงต้องรอให้ดึกกว่านี้
แต่ถ้ารอให้ดึกกว่านี้แล้วค่อยกลับยัยโอโตเมะจะบ่นเอาได้ อีกอย่างก็ไม่รู้จะไปไหนแล้วด้วย วันนี้สนุกมากพอแล้ว
ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะสนุกได้ในวันแบบนี้
เพราะเป็นวันที่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมายเกี่ยวกับยัยนั่น เต็มไปด้วยความทรงจำมากมายกับคนที่เคยเป็นเพื่อนๆ
ภาพความทรงจำไหลผ่านไปราวกับผมกำลังดูภาพยนตร์ เป็นความทรงจำที่ฉายชัดราวกับเหตุการณ์เหล่านั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อชั่วโมงที่แล้ว
ผมสงสารตัวเองเล็กน้อยที่ไม่สามารถลืมสิ่งเหล่านั้นได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความดีใจที่ตอนนี้ตัวเองไม่เจ็บเท่ากับก่อนหน้านี้แล้ว
ถ้าวันนี้ไม่ได้เจอโอโตเมะ ผมคงจะยังไม่รู้ตัว
เพราะว่าผมคงเลือกที่จะหนี หนีจากการไปสัมผัสบาดแผลนั่น
แผลที่ยังอยู่ตรงนั้น มันไม่ได้หายไปไหน และผมก็รู้ดีเลยไม่อยากไปแตะต้องมัน
แต่เพราะไม่อยากปล่อยโอโตเมะที่มีสีหน้าแบบนั้นเอาไว้คนเดียวเลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไปแตะสัมผัสกับแผลของตน
แล้วผมก็ต้องแปลกใจ…
มันไม่เจ็บมากเท่าไรแล้ว…
ชั่วขณะหนึ่งผมถึงกับลืมไปเลยว่ามีมันอยู่ด้วย
ช่วงหนึ่งตอนที่นั่งรถไฟกลับมาส่งโอโตเมะผมคิดว่าหรือนี่จะเป็นผลมาจากการที่ผมทำดี
เพราะทำดีกับโอโตเมะ ผลความดีก็เลยตอบแทนเหมือนที่แม่เคยบอกไว้ คนทำดีย่อมได้ดี
หรือบางทีพระเจ้าอาจจะเห็นใจผมเลยช่วยให้ผมลืมเรื่องราวเก่าไปชั่วขณะ จะว่าไปเมื่อกี้โอโตเมะก็เหมือนจะเรืองแสงขึ้นมาด้วยนินะ หรือเธอเป็นตัวแทนของพระเจ้า อ๊ะ… เพ้อเจ้อละ
จะเพราะอะไรก็ช่าง การมีอยู่ของโอโตเมะในค่ำคืนนี้ทำให้ผมสบายใจได้นั่นคือเรื่องจริง
การมีอยู่ของเธอทำให้ผมตระหนักรู้ได้ว่าแผลของตัวเองทุเลาลงมากแล้ว
ดังนั้นผมจึงขอบคุณเธอ
และเธอก็ยิ้มให้กับผม
ไม่ใช่รอยยิ้มที่เธอมักจะยิ้มเวลาได้ของกินถูกใจหรือได้รางวัลตอนเราล่ารางวัลกัน
มันดูอบอุ่นซะจนรู้สึกสบายเพียงแค่ได้มอง
ไม่คิดเลยว่ามันจะมาจากคนที่เคยมองผมตาขวางเมื่อตอนแรกเจอกัน
แต่อย่างที่โบราณว่าไว้…
เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน
ตอนนี้ทุกคนเปลี่ยนไปแล้ว ยัยนั่นก็เปลี่ยน โอโตเมะก็เปลี่ยน ตัวผมเองก็เปลี่ยน แถมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นด้วย
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าสีดำที่แต่งแต้มไปด้วยแสงระยิบระยับของดวงดาว มองดูเรื่องราวในอดีตที่ไหลผ่านไปพลางยิ้มให้กับมัน
ถ้าเป็นตอนนี้ละก็…
…ต่อให้เจอกันอีกก็คงยิ้มและพูดคุยกันได้แน่ๆ
ถ้าเป็นผมในตอนนี้ละก็…
…ต้องทำมันได้แน่ๆ
ก็ตอนนี้น่ะ ไม่ได้เจ็บมากมายขนาดนั้นแล้ว…
…ตอนนี้น่ะ ผมเปลี่ยนไปแล้ว
อยากจะอวดให้พ่อกับแม่รู้เหลือเกินว่าตัวเองโตขึ้นขนาดไหนแล้ว
[‘โตขึ้นมากเลยนินา สมแล้วที่เป็นที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมของพ่อกับแม่’]
ภาพและเสียงพูดชมลอยขึ้นมาทั้งที่มันไม่เคยมีอยู่จริง
ผมรู้ว่ามันเป็นแค่จินตนาการของตัวเอง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับภาพจินตนาการนั้น
“ขอบคุณครับพ่อ แม่”