ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 58 สัปดาห์ที่ 22 โอโตเมะ อามายะ (4)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 58 สัปดาห์ที่ 22 โอโตเมะ อามายะ (4)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
ฉันปล่อยอาคิยามะทันที ความอายพุ่งปรี๊ดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ใจเต้นตึกตักไปหมด สภาพแบบนี้รู้ตัวเลยว่าหน้าต้องแดงมากแน่ๆ
เสียงหัวใจเต้นดังจนหูอื้อ ไม่รู้เลยว่าจะมองตรงไหนของเขาดีเลยเลือกที่จะมองพื้นแทน
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก อืม… แต่ที่ตักปลาทองขาดไปแล้วนะ เธออยากตักใหม่อีกมั้ย?”
พอมองไปที่ที่ตักปลาทองในมือตัวเอง กระดาษมันขาดไปแล้วจริงๆ
ฉันส่ายหน้าบอกเขาว่าไม่เอาแล้วก่อนจะส่งที่ตักคืนเจ้าของร้านไป เราเดินออกมาจากตรงนั้นกันเงียบๆ จนตอนนี้ฉันก็ยังไม่กล้ามองหน้าอาคิยามะ
ในชีวิตไม่ใช่ว่าไม่เคยใกล้ชิดผู้ชายมาก่อน แต่การทำแบบเมื่อกี้นั้นถือเป็นครั้งแรกไม่ยักกะรู้ว่ามันจะน่าอายขนาดนี้
ตอนที่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปใจก็เต้นรัวซะจนนึกว่าจะหัวใจวายซะแล้ว จนแม้แต่ตอนนี้ก็ยังเต้นเร็วกว่าปกติอยู่
ฉันไม่รู้ว่าอาคิยามะจะรู้สึกเหมือนกันมั้ย ลองแอบๆ มองก็ไม่เห็นว่าเขาจะแสดงอาการอะไรเป็นพิเศษ ยังคงเดินนำเยื้องไปข้างหน้าคอยแหวกทางเดินให้ฉัน
ถ้าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรมันก็คงจะยิ่งน่าอายเข้าไปใหญ่ที่มีแต่ฉันที่คิดมากไปคนเดียว
ความรู้สึกไม่สบอารมณ์แปลกๆ เริ่มผุดขึ้นมาในใจ มือกำเสื้อของผู้ชายตรงหน้าแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หลังเดินกันมาได้สักพักใหญ่ๆ แวะร้านโน้นร้านนี้รายทาง ตอนนี้ฉันกับอาคิยามะยืนอยู่หน้าร้านปาลูกดอกร้านหนึ่งที่โฆษณาว่าเข้าเป้า 5 ดอก เอาอะไรก็ได้ในร้าน 1 ชิ้นไปเลย เป็นร้านปาลูกดอกร้านแรกและร้านเดียวที่อาคิยามะทำหน้าเคร่งเครียด
“เอาไงดี นายไหวมั้ย?”
“ยากเอาเรื่อง 3 ดอกยังพอว่า แต่นี่ 5 ดอก พลาดได้แค่ครั้งเดียวเอง”
ฉันที่ยืนถือบานาน่าช็อคโกอยู่มือนึง อีกมือนึงถือแอปเปิลเคลือบน้ำตาล ในกระเป๋าเสื้อมีพวงกุญแจแฟรี่แบร์และเคสโทรศัพท์ฟุ้งฟิ้งอยู่อย่างละหนึ่งอัน
เป็นสินสงครามจากการรบของอาคิยามะ
ส่วนหน้าเราตอนนี้เป็นสนามรบสุดท้ายที่อาคิยามะพามา ดูเหมือนเขาจะสนใจรางวัลอะไรสักอย่างในร้านนี้เป็นพิเศษ
หลังจากชั่งใจอยู่สักพักอาคิยามะก็ตัดสินใจเข้าสู่สมรภูมิ เขารับลูกดอกมา 6 ดอก เป้าหมายคือปาให้เข้าเป้า 5 ดอก ชัยชนะก็จะเป็นของเขา
เขายืนมองทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตั้งท่าที่เมื่อครู่พิสูจน์แล้วว่าท่าทางแปลกๆ นั่นทำให้เขาปาลูกดอกได้แม่นจริง
ดอกแรกหลุดออกจากมือปักเข้าเป้าอย่างแม่นยำ ดอกที่สอง สาม สี่ ตามมาติดๆ ไม่มีพลาด
เจ้าของร้านมองดูเขาอย่างตื่นๆ คงไม่คิดว่าเจ้าหมอนี่จะมีฝีมือจริงๆ
ดอกที่ห้า ขอแค่เข้าเป้าจะเอาอะไรในร้านก็ได้
แป๊ก…
ฉันสูดหายใจเฮือก…
อาคิยามะพลาด
แต่เขาไม่ถอย ตั้งท่าปาอีกครั้ง แขนขยับเคลื่อนไปข้างหลังเตรียมจะขว้างดอกสุดท้ายออกไป
แต่…
“ว๊ายยย… ระวัง ลูก…”
อ๊ะ!?…
ลูกดอกอันสุดท้ายเลยเป้าไปไกล…
อาคิยามะยืดตัวตรงก่อนจะหันกลับมามองเด็กน้อยที่ล้มลงคุกเข่ากอดขาเขาอยู่
เด็กหญิงตัวน้อยน้ำตาคลอ เหมือนจะร้องไห้
“ขอโทษนะจ๊ะพ่อหนุ่ม ลูกสาวน้าเดินไม่ระวัง ขอโทษจริงๆ นะจ๊ะ”
ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาจับเด็กน้อยคนนั้นให้ลุกขึ้น เธอบอกให้เด็กหญิงขอโทษอาคิยามะ แต่เด็กหญิงยังคงนิ่งเงียบ มองอาคิยามะสลับกับหันมามองฉันที่ยืนอยู่ข้างๆ
แล้วทันใดนั้นสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น อาคิยามะนั่งลงตรงหน้าเด็กคนนั้น สีหน้าอึมครึมอ่านอารมณ์ไม่ออก เขาให้ฉันส่งของกินในมือทั้งสองไปให้ก่อนจะหันไปหาเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้า
“เก่งมากเลยค่ะ ถึงจะหกล้มก็ไม่ร้องไห้เลย อยากได้อันไหนเดี๋ยวน้าให้เป็นรางวัล เด็กเก่งต้องได้รางวัลค่ะ”
ฉันอึ้ง แม่เด็กก็อึ้ง
มีเพียงเด็กน้อยที่ดวงตาเปล่งประกายใสแจ๋ว
“ให้หนูหรอ?”
“อื้ม… แต่แค่อันเดียวนะ อีกอันจะเป็นของพี่สาวคนสวยที่อยู่ตรงนี้”
เด็กน้อยหันมามองที่ฉัน ท่วงท่าเอียงคอสีหน้าสงสัยนิดๆ นั่นช่างน่ารักเสียจริงๆ อ๊าาา… ขอกอดได้มั้ยหนูเอ๊ย
“พี่สาวเป็นแฟนพี่ชายหรอกคะ?”
เด็กน้อยไม่ได้ถามฉัน แต่เธอถามอาคิยามะ ฉันไม่เห็นว่าเขาทำหน้าแบบไหน ดูจากไหล่ที่สั่นนิดๆ นั่นคงกำลังหัวเราะอยู่แน่ๆ
“เป็นเพื่อนกันค่ะ”
“เหมือนหนูกับยูคุงหรอคะ?”
เจอคำถามนี้เข้าไปอาคิยามะเหมือนจะติดสถานะหยุดนิ่ง แต่ไม่นานก็ฟื้นฟูกลับมา เขาพยักหน้าก่อนจะถามหนูน้อยอีกครั้งว่าจะเอาขนมอันไหน
เห็นหนูน้อยหันกลับไปมองแม่ตัวเอง พอแม่พยักหน้าเธอก็ยิ้มร่าแล้วชี้ที่แอปเปิลเคลือบน้ำตาล
อาคิยามะส่งแอปเปิลเคลือบน้ำตาลนั้นให้เธอ เด็กน้อยขอบคุณเขาก่อนที่แม่ของเธอจะพาเธอเดินจากไป
“โทษทีนะ เดี๋ยวชั้นซื้อคืนให้ใหม่”
อาคิยามะส่งบานาน่าช้อคโกคืนมาให้ฉันพร้อมกับขอโทษที่เอาแอปเปิลเคลือบน้ำตาลไปให้เด็กหญิงคนนั้น
“ทำไมนายถึงให้เธอล่ะ เด็กคนนั้นทำให้นายปาลูกดอกพลาดนะ”
ฉันถามอาคิยามะที่เดินออกมาจากร้านปาลูกดอก ดูเหมือนเขาจะพาฉันไปซื้อแอปเปิลเคลือบน้ำตาลอันใหม่จริงๆ
“ก็เด็กคนนั้นทำท่าทางจะร้องไห้นิ ฉันนึกวิธีที่จะทำให้เด็กผู้หญิงหยุดร้องไห้วิธีอื่นไม่ออกนอกจากหาของหวานให้กินน่ะ”
หาาา…
ไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองประหลาดใจหรือไม่เข้าใจดี ฉันส่งเสียงลากยาวออกไป แล้วเขาก็หันมาถามว่าฉันทำหน้าอะไรอยู่
[‘แปลกคนชะมัด’]
ฉันคิดว่าอาคิยามะแปลก บุคลิกลักษณะภายนอกดูเหมือนพวกไม่สนโลก บางทีก็แผ่ออร่าน่ากลัวเหมือนพวกนักเลง แต่พอรู้จักเขามากๆ เข้ากลับเจอแต่ด้านที่ดูอ่อนโยน เป็นกันเอง ขี้แกล้ง แล้วก็เอาแต่ใจนิดๆ มีแต่ด้านที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เขาแสดงออกตอนอยู่นิ่งๆ ทั้งนั้น
ฉันคิดว่ามันย้อนแย้งกันชะมัด แล้วอันไหนคือสิ่งที่เขาเป็นจริงๆ กันล่ะ?
คำถามวนเวียนอยู่ในหัวจนกระทั่งเขาส่งแอปเปิลเคลือบน้ำตาลอันใหม่มาให้ ฉันเลยเลิกสงสัยไปก่อน
ออกจากร้านแอปเปิลเคลือบน้ำตาลมา อาคิยามะก็พาฉันเดินไปยังจุดที่จะชมดอกไม้ไฟ เขาบอกมีที่ที่ดูดอกไม้ไฟได้ชัดและคนไม่เยอะอยู่ด้วย
พอถามว่ารู้ได้ยังไงเขาก็ยิ้มๆ แล้วบอกว่าพ่อกับแม่เคยพามา
“เป็นที่ลับสมัยที่พ่อยังเด็กๆ แล้วพ่อก็เคยพาแม่มาเดตดูดอกไม้ไฟที่นั่นด้วย อย่างเจ๋งอ่ะ…”
ฉันไม่ได้ฟังว่าเขาพูดอะไรต่อเพราะสมองช็อตไปตอนที่เขาบอกว่าเดต
เพิ่งจะมารู้สึกตัวเอาตอนนี้เองว่าทั้งฉันและเขา เดินเที่ยวงานกันแบบนี้ มองยังไงมันก็เดตชัดๆ
ฟู่…
รู้สึกเหมือนมีไอน้ำลอยออกจากหน้าตัวเอง ฉันหยุดเดินเอาดื้อๆ ทำให้อาคิยามะต้องหยุดตาม
“เป็นอะไรไป หน้าแดงๆ เหนื่อยหรอ?”
เขาหันมาถามฉันที่ยืนอยู่กับที่ พอเห็นแบบนี้แล้วอาการฉันยิ่งหนักเข้าไปอีก เสียงหัวใจเต้นดังมากจนกลัวว่ามันจะได้ยินไปถึงอาคิยามะ
โชคดีที่เหมือนมันจะไม่เป็นอย่างที่ฉันคิด อาคิยามะมองซ้ายมองขวาโดยไม่ได้สนใจฉันมากนัก
“ตรงนี้ไม่มีที่พักเลย เธอทนอีกหน่อยได้มั้ย? อีกไม่ไกลแล้ว เดี๋ยวเราไปพักที่นั่นกันนะ”
…อ่ะ ดื่มน้ำก่อน
เขาเปิดขวดน้ำส่งมาให้ฉัน พอเห็นฉันไม่รับก็ยิ้มเจื่อนๆ
“ฉันยังไม่ได้ดื่มหรอกน่า”
อยากจะบอกเขาว่าฉันไม่ได้กังวลเรื่องนั้น… ไม่ซิ ก็กังวลหน่อยๆ แหละ
ฉันรับน้ำมาดื่มดับความร้อนที่เริ่มเห่อขึ้นมาที่หน้าอีกรอบเสร็จแล้วก็ส่งคืนไปให้อาคิยามะ เขารับไปแล้วดื่มที่เหลือต่อจนหมดแล้วก็บี้ขวดก่อนจะยัดลงกระเป๋า
“งั้นก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน”
ฉันได้แต่ยืนเหม่อมองเขาเดินไป ความร้อนที่ลดลงไปก่อนหน้านี้เพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง แถมครั้งนี้เหมือนจะร้อนกว่าเดิมอีก
[‘เมื่อกี้… หมอนั่นเพิ่งจะ… จูบบ… จูบทางอ้อมงั้นหรอ’]
สมองฉันเหมือนจะลัดวงจรไปชั่วขณะ จนอาคิยามะหันมาเรียกฉันถึงได้วิ่งตามเขาไป
“ไหวหรือเปล่าเนี่ยเธอ?”
“อะ… อื้อ… สบายมาก”
งึมงำตอบอาคิยามะไปโดยที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาให้เขาเห็น ได้แต่เดินก้มหน้าหาเหรียญตามเขาไปเรื่อยๆ
ไม่นานนักอาคิยามะก็พาฉันเลี้ยวออกมาจากทางเดินหลัก มุ่งสู่ทางเดินรองแคบๆ ที่ไม่ค่อยมีแสงไฟเท่าไร
เขาเอาโทรศัพท์มาเปิดไฟพลางเดินนำฉันไปเรื่อยๆ น่าจะประมาณ 50 เมตรได้ เราก็มาโผล่ยังบริเวณลานโล่งแห่งหนึ่ง
เป็นลานดินโล่งๆ ที่มีโต๊ะหินวางอยู่สามสี่ตัว รอบๆ ลาน มีคนจำนวนหนึ่งอยู่กระจัดกระจายเท่าที่เห็นน่าจะประมาณ 10 คน
อาคิยามะพาฉันมานั่งที่ด้านหนึ่งตรงริมลาน มีก้อนหินใหญ่อยู่ก้อนหนึ่งใหญ่พอที่จะนั่งได้สองคน
เขาเป่าลมบนก้อนหินก่อนจะขึ้นไปนั่ง แล้วก็ตบบนก้อนหินข้างๆ ตัวเอง ไม่บอกก็รู้ว่านั่นคือการเชิญฉันให้ไปนั่งตรงนั้น
ฉันมองไปรอบๆ ก็เห็นคนที่มาตรงนี้ส่วนใหญ่จับจองที่กันหมดแล้ว
กำลังคิดอยู่ว่าจะเอาไงต่อดี อาคิยามะก็ลงมายืนอยู่ข้างๆ ตัวเองแล้ว
“เธอไปนั่งซิ”
เขาชี้ที่หินที่เขาขึ้นไปนั่งเมื่อกี้ พลางบอกให้ฉันไปนั่ง ฉันไม่รู้ว่าเขาทำหน้าแบบไหน แต่คิดว่าตัวเองอ่านความคิดของเขาออก
“นายไม่นั่งหรอ?”
“เธอนั่งเลย ฉันชวนเธอมาก็ต้องหาที่สบายๆ ให้เธอนั่งก่อนอยู่แล้ว”
แม้จะมองเห็นหน้าเขาไม่ชัดแต่คิดว่าเขาคงยิ้มอยู่ นึกเสียดายนิดๆ ที่มองไม่เห็น เพราะถ้าฟังจากน้ำเสียงของเขาตอนนี้ รอยยิ้มของเขาต้องน่ามองมากแน่ๆ
ฉันไม่ขัดเขาแล้วปีนขึ้นไปนั่งตรงตำแหน่งที่เขาตบแปะเมื่อกี้ แต่คราวนี้ฉันเป็นฝ่ายตบแปะบ้าง
เขาชะงักเล็กน้อยแล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะปีนขึ้นมานั่งข้างๆ ฉัน เราสองคนนั่งอยู่ใกล้กันมากจนรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากเสื้อผ้าของอีกฝ่าย
เราไม่ได้พูดคุยอะไรกัน แค่นั่งเงียบๆ อยู่แบบนั้น มองออกไปยังท้องฟ้าสีดำข้างหน้า
แล้วก็เป็นฉันที่ทนไม่ไหว…
“นี่…”
ฉันเอ่ยออกมาเบาๆ อาคิยามะครางอืมเบาๆ ตอบกลับ เราทั้งคู่ยังคงไม่ขยับ สายตายังมองตรงไปข้างหน้า
“นายบอกว่าพ่อนายพาแม่นายมาเดตที่นี่…”
“ใช่ เธออยากรู้หรอ?”
“ก็นิดนึง…”
“อืมม… เรื่องมันยาว เอาแค่สรุปสั้นๆ แล้วกันนะ…”
แล้วอาคิยามะก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่เขาบอกว่าตนก็ฟังแม่เล่ามาอีกที เริ่มต้นจากการที่พ่อไปทำงานต่างประเทศ บังเอิญได้ทำงานร่วมกับแม่ ทั้งสองคนตกหลุมรักกัน พ่อจึงขอแม่แต่งงานแล้วพากันมาสร้างครอบครัวที่นี่
ส่วนตรงนี้เป็นที่ที่พ่อเคยมาตอนเด็กๆ แต่ต่อมาศาลเจ้าย้ายที่ไปตรงนี้เลยไม่ใช่เส้นทางหลักอีก กลายเป็นจุดลับที่มีแค่คนในพื้นที่ที่รู้ และตอนฤดูร้อนแรกที่แม่มาอยู่ที่นี่ พ่อก็พาแม่มาเดตดูดอกไม่ไฟที่ลานนี้
ฉันฟังเขาเล่าเรื่องครอบครัวของตัวเอง เสียงทุ้มเข้มแต่นุ่มหูฟังเพลินจนฉันยิ้มตาม
“พ่อนายเนี่ยโรแมนติกจังนะ แล้วปีนี้ท่านพาแม่นายมาดูดอกไม้ไฟอีกหรือเปล่า?”
“อืมมม… นั่นซินะ คิดว่าน่าจะมองดูจากที่ไกลๆ น่ะ”
“งั้นหรอ…”
ความเงียบเข้าปกคลุมเราทั้งคู่อีกครั้ง ฉันคิดถึงพ่อกับแม่ของอาคิยามะตามที่เขาเล่าแล้วรู้สึกว่าความรักของคนทั้งคู่เป็นเหมือนซีรีส์ที่ดูในทีวีเลย น่าประทับใจสุดๆ
ในฐานะผู้หญิงแล้วรู้สึกอิจฉาแม่ของอาคิยามะนิดๆ ถ้าชีวิตนี้ได้เจอคนที่รักเราอย่างพ่ออาคิมะได้มันจะดีขนาดไหนนะ
ฉันแอบมองอาคิยามะที่นั่งข้างๆ
เขาเอนตัวไปข้างหลัง มือทั้งสองข้างเท้าก้อนหิน ใบหน้ามองตรงไปข้างหน้า
แล้วความคิดหนึ่งก็หลุดออกมาโดยที่ฉันไม่ได้ตั้งใจ
“นายเคยพาแฟนมาเดตที่นี่มั้ย?”