ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 61 สัปดาห์ที่ 24 อาคิยามะ เออิชิ (1)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 61 สัปดาห์ที่ 24 อาคิยามะ เออิชิ (1)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
ในที่สุดชีวิตวัยเรียน ม.ปลาย ครั้งแรกของผมก็เดินทางเข้าสู่เทอมที่ 2 อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
ผ่านเทอมแรกมาได้โดยสมบูรณ์พูนสุข แม้ไม่อาจจะเรียกได้ว่าไร้รอยขีดข่วน ซึ่งอันที่จริงมีรอยตั้งแต่วันแรก แต่ก็นับได้ว่าไม่ได้สมบุกสมบันอะไร
บอกตรงๆ เลยว่าช่วงหลังสงบสุขจนน่าตกใจว่านี่คือโรงเรียนที่ได้ชื่อว่าโรงเรียนนักเลงจริงๆ หรือเปล่า
ตั้งแต่รุ่นพี่นาคาจิมะกับพี่ชายของจินพาพวกบุกถล่มคู่อริในโรงเรียนจนราบคาบตั้งแต่ต้นเทอมที่แล้ว ในโรงเรียนก็ไม่เคยมีข่าวการทะเลาะใหญ่โตอะไรเลย
แต่มันก็แค่ในโรงเรียนเท่านั้น สำหรับนอกโรงเรียนแล้วชื่อเสียงอาคิรุไดยังคงย่ำแย่แบบเสมอต้นเสมอปลาย แต่เรื่องนั้นจะยังไงก็ช่างมันเถอะ ผมชินกับมันแล้ว ยังไงคนนอกก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่นักเรียนอาคิรุไดทุกคนที่จะเป็นคนเกเรไม่เอาอ่าว
ผมนั่งมองโมโมสุเกะกับโคสุเกะนั่งโม้เรื่องราวชีวิตตอนปิดเทอมหน้าร้อนของตัวเองอย่างออกรสออกชาติ โดยมีจินเป็นผู้สังเกตการณ์ร่วม
ถึงจะเปิดเรียนมาได้สัปดาห์หนึ่งแล้วแต่เรื่องเล่าของเจ้าสองคนนี้ก็ยังไม่จบ
จะบอกว่าไม่จบคงไม่ได้ เพราะบางเรื่องก็เล่าวนเป็นรอบที่สามหรือสี่แล้วนี่แหละ
“ฉันล่ะอยากให้พวกนายอยู่ด้วยกันจริงๆ ทะเลทางใต้สุดยอดดด…!!”
“ส่วนฉันน่ะนะปีนี้ไปแคมป์ปิ้งทางเหนือล่ะ บรรยากาศอย่างดี มีทุ่งดอกไม้ให้ดูด้วย แถมไม่ร้อนมากด้วยนะ ออกแดดทั้งวันยังไหว…”
โคสุเกะกับโมโมสุเกะที่สีผิวดูจะคล้ำแดดกว่าครั้งล่าสุดที่เจอกันผลัดกันเล่าประสบการณ์ชีวิตอย่างสนุกสนาน บางช่วงก็จะหันมาถามจินหรือผมบ้างเป็นครั้งคราว
“ฉันหรอ ก็กลับบ้านเกิดพ่อเหมือนทุกปีแหละ…นอกนั้นก็อยู่บ้าน”
จินสรุปเรื่องราวชีวิตตอนปิดเทอมของตัวเองลงในสองบรรทัด อันที่จริงผมก็ได้ยินมาสองสามครั้งแล้ว พวกโมโมสุเกะพยายามหลอกถามจินมาหลายรอบ สาเหตุเพราะว่ารอบแรกมันมีชื่อหนึ่งหลุดออกมา
– “…ก็สนุกดี ปีนี้ซารินะก็กลับมา เราได้คุยกันเยอะเลย…” –
ซารินะ…
คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนผู้หญิงของจิน โมโมสุเกะกับโคสุเกะถึงกับตาโตตอนที่ได้ยินครั้งแรก โดยเฉพาะโมโมสุเกะผู้ชื่นชอบเรื่องราวความรักของเพื่อนที่ตาเป็นประกายปิ๊งปั๊ง รีบเกาะติดถามรายละเอียดจินทันที
แต่สุดท้ายจนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับซารินะหลุดออกมาจากปากจินอีก ไม่ว่าจะหลอกถามกี่ครั้งก็ไม่มีหลุดมาเลย โคสุเกะกับโมโมสุเกะเลยทำได้แค่เบะปากพร้อมกับบอกว่า น่าเบื่อ…
“ว่าแต่นายล่ะ ไปถึงขั้นไหนแล้ว? คบกันยัง?”
พอหลอกถามจินไม่ได้ โมโมสุเกะก็หันมาถามผมแทน
อันที่จริงผมแชร์เรื่องราวของตัวเองในช่วงวันหยุดฤดูร้อนให้เพื่อนๆ ฟังไปแล้วตั้งแต่เปิดเทอมวันแรก นอกเหนือจากที่ไปเที่ยวกับพวกเขาตอนปิดเทอมสัปดาห์แรกแล้ว ก็มีแค่การไปติวให้รุ่นพี่นาคาจิมะ ไปเที่ยวเล่นเกมที่เกมอาร์เคต เข้ายิมออกกำลังกาย (อันนี้พวกเพื่อนๆ มองผมแปลกๆ) แล้วก็หาที่หลับตามห้องสมุด นอกนั้นก็อยู่บ้าน
เป็นการใช้ชีวิตที่โคสุเกะกับโมโมสุเกะสรุปออกมาว่าน่าเบื่อเช่นเดียวกับจิน
แต่แน่นอนว่ามีอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ผมไม่ได้พูดออกไป…
“ขั้นไหนอะไร? คบใครมิทราบ?”
ผมทำหน้าเหลอหลากลบเกลื่อนคำถามของเพื่อนพร้อมตอบคำถามด้วยคำถาม
“โอโตเมะจังไง หรือนายยังมีคนอื่นอีก?”
“ฉันไม่มีใครทั้งนั้นแหละ”
“อย่ามาหลอกพวกฉันนะ วันก่อนฉันเห็นนายตอบข้อความของโอโตเมะจังอยู่”
[‘อ่าาา…มันพลาดตั้งแต่ตอนนั้นซินะ’]
เป็นความจริงที่ช่วงนี้บางครั้งผมก็ส่งข้อความคุยกันกับโอโตเมะ อันที่จริงก็หลังจากที่เธอจัดการบันทึกเบอร์โทรตัวเองพร้อมเพิ่มเพื่อนใน RaNE ของผมเมื่อคืนนั้น เราก็คุยกันมาตลอด
เจ้าของโปรไฟล์รูปหมี… หมียักษ์ที่ผมให้เธอไปเมื่อครั้งก่อน
“ไม่ได้หลอกนิ ฉันกับยัยนั่นไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
ตอบไปแล้วก็นึกขึ้นได้ ผมกับโอโตเมะเราเป็นอะไรกัน…
จะว่าเป็นเพื่อนก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก เพราะถ้าว่ากันตามตรงแล้วผมก็ไม่เคยขอเป็นเพื่อนกับเธอ เธอเองก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นสถานะที่เป็นไปได้ก็คงเป็นคนรู้จักในฐานะรุ่นน้องของแฟนรุ่นพี่นั่นแหละ แน่นอนว่าสำหรับโอโตเมะผมก็น่าจะอยู่ในสถานะเดียวกัน
[‘รุ่นน้องของแฟนรุ่นพี่หรอ? หึๆ เหมือนกันจนน่าแปลกใจแฮะ’]
ผมคิดงั้นแต่ไม่ได้แสดงออกอะไร พวกเพื่อนๆ เลยได้แต่ปล่อยผ่านไปก่อนแต่โคสุเกะก็ยังไม่วายทิ้งระเบิดไว้ให้ผม
“ระวังจะมีคนมาตัดหน้าไปก่อนล่ะ”
…งั้นหรอ ถ้าจะบอกว่าโดนตัดหน้า สู้บอกว่าตัวผมเป็นผู้มาทีหลังดูจะถูกต้องกว่า
หลังจากเปิดเรียนตารางติวให้รุ่นพี่นาคาจิมะก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมคือจะติวกันแค่เสาร์ อาทิตย์ ส่วนวันธรรมดาให้รุ่นพี่ทบทวนเอง
ถ้ารุ่นพี่ยังรักษาระดับความสามารถในการเรียนรู้ของตัวเองในตอนนี้ไว้ได้ โอกาสเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่น่าจะเป็นแค่ความฝัน
เพราะตามความเห็นของผมแล้ว รุ่นพี่นาคาจิมะน่ะเป็นสัตว์ประหลาด
ผลจากการทำข้อสอบจำลองครั้งล่าสุดเมื่อสองสัปดาห์ก่อนของรุ่นพี่ทำให้ผมอึ้งจนพูดไม่ออก แม้ว่าผลการทดสอบจะไม่ผ่านซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติคืออีกไม่กี่คะแนนเท่านั้นเขาก็จะผ่านขั้นต่ำสำหรับเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว
นั่นคือผลการทดสอบของคนที่ไม่ตั้งใจเรียนเลยตั้งแต่ ม.ปลายปี 1 จนถึงเมื่อสองเดือนก่อน หรือพูดให้ฟังง่ายก็คือรุ่นพี่เพิ่งจะมาเริ่มเรียนรู้จริงๆ จังๆ แค่ 2 เดือน แถมเริ่มนับตั้งแต่ศูนย์ด้วย
เพราะแบบนี้ซินะรุ่นพี่ถึงไม่เคยสอบตกติดตัวแดงเลยทั้งที่ไม่ค่อยได้เรียน ถึงจะบอกว่าได้คุณคาวากุจิติวให้ แต่พอมาเจอด้วยตัวเองแล้วถึงได้รู้ว่าคนคนนี้มันอัจฉริยะ
ผมปล่อยให้อัจฉริยะคนนั้นเรียนรู้ด้วยตัวเองตามที่ผมวางแผนให้ ส่วนตัวผมเองก็กลับมาใช้ชีวิตปกติของตัวเอง แน่นอนว่าวันนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษผมจึงกลับถึงบ้านตั้งแต่ยังไม่ค่ำ
“สวัสดีครับ คุณมานามิ”
“อ้าว สวัสดีจ้ะอาคิยามะคุง เพิ่งกลับจากโรงเรียนหรอจ๊ะ?”
“ครับ คุณมานามิไปซื้อของมาหรอครับ”
“อ่อ ใช่จ้ะ เดี๋ยวหลานสาวฉันจะมาน่ะ เลยว่าจะทำหม้อไฟกินกัน อาคิยามะคุงมากินด้วยกันมั้ย?”
ตรงหน้าผมคือคุณยายมานามิ โยโกะ ที่บ้านอยู่ตรงข้ามบ้านผมเยื้องๆ กันนิดหน่อย ผมรู้จักเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก เป็นคนใจดี และเป็นคนเก่าคนแก่ของพื้นที่นี้ เห็นว่าอยู่ที่นี่มาก่อนที่พ่อกับแม่ผมจะมาซื้อบ้านตรงนี้ซะอีก
“ขอบคุณครับ แต่ผมเตรียมมื้อเย็นไว้แล้วน่ะครับ”
ผมปฏิเสธคุณยายมานามิ พร้อมกับขอบคุณที่เธอชวน คุณยายเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เธอเพียงบอกว่าน่าเสียดายจัง…
แล้วผมกับคุณยายก็แยกกัน ผมกลับเข้าบ้านที่มีเพียงความเงียบเหงาคอยต้อนรับแล้วก็คิดในใจว่าเมื่อกี้ไม่น่าปฏิเสธคุณยายมานามิเลย
—
เมื่อเช้าผมตื่นสายเล็กน้อยเพราะลืมตั้งนาฬิกาปลุก ต้องโทษโอโตเมะที่โทรมาตอนดึกๆ ดื่นๆ บางทีผมก็สงสัยว่าทำไมยัยนี่นอนดึกนัก
เมื่อคืนตอนที่ผมกำลังเก็บข้าวของหลังจากทบทวนบทเรียนล่วงหน้าแล้วกำลังจะนอน โทรศัพท์ที่อยู่ในมือก็สั่น หน้าจอแสดงสายเรียกเข้าเป็นรูปตุ๊กตาหมีพร้อมชื่อเจ้าของ ผมถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะรับสาย
– “ทำไมยังไม่นอนอีกล่ะ?” –
– “นายก็ยังไม่นอนเหมือนกันนิ” –
เสียงใสตอบกลับมา ทำเอาผมเถียงไม่ออก และเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ เธอหัวเราะคิกคักอยู่อีกฝั่งของปลายสาย
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เราคุยกันแบบนี้ ก่อนหน้านี้โอโตเมะก็เคยโทรมาคุยกับผม บางครั้งถ้าผมไม่ได้รับก็จะโทรกลับ เราไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย บางทีก็แค่บ่นระบายไปเรื่อย บางทีก็แค่หาเรื่องกวนประสาทกัน คุยกันไม่นานก็วางสาย
หรือถ้าวันไหนไม่ได้โทรคุยกันก็จะพิมพ์ข้อความทิ้งไว้ ใครว่างตอนไหนมาตอบ กลายเป็นว่าเราคุยกันทุกวันไปโดยปริยาย เป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่ผมไม่รู้จะตั้งชื่อมันว่าอะไร
ต้องยอมรับตรงๆ ว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่ายมาก ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร เจอแบบนี้เข้าไปก็มีคิดกันทั้งนั้น
แน่นอนว่าผมก็คิดด้วย…
แต่ก็โชคดีที่ผมไม่ใช่หนุ่มน้อยโสดซิง เอ่ออ… เอาจริงๆ ตอนนี้ก็โสดซิงแหละ แต่ก็เคยมีประสบการณ์ความรักมาบ้าง ดังนั้นแล้วจึงควบคุมความคิดอุกอาจที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเอาไว้ได้
ผมเดินเข้าสถานีรถไฟพลางเอามือปิดปากขณะหาวไปด้วย หยดน้ำใสๆ เล็ดออกมาตรงหางตา ผมใช้นิ้วปาดมันออกก่อนจะเดินไปรอรถไฟเพื่อไปโรงเรียน
เยื้องๆ กับผมเป็นนักเรียนหญิง ม.ต้น ในชุดเครื่องแบบกะลาสีที่มีเอกลักษณ์ของโรงเรียนมัธยมต้นซุนโค
ผมมองเธอด้วยความแปลกใจเล็กน้อยเพราะไม่เคยเห็นเด็กนักเรียนของซุนโคมาขึ้นรถไฟในช่วงเวลานี้มาก่อน
แต่ก็เท่านั้น ความแปลกใจของผมหายไปพร้อมกับรถไฟที่เข้าเทียบชานชาลา ผมเห็นเธอขึ้นขบวนเดียวกับผมแต่เป็นคนละตู้ จากนั้นผมก็ลืมเธอไปจากหัวสมองจนกระทั่งถึงเวลากลับบ้าน
หลังจากผ่านการเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ หลังเลิกเรียนผมก็เดินทางกลับบ้านตามปกติ
อันที่จริงผมไม่ค่อยชอบกลับเวลานี้นักเพราะคนค่อนข้างเยอะกว่าช่วงเวลาที่ผมกลับบ้านตามปกติแล้วผมก็จะไม่มีที่นั่ง ถึงมันจะไม่ได้เบียดเสียดกันมาก แต่ก็ต้องยืนอยู่ดี
ผมเดินเข้ามาในตู้รถไปแล้วถูกเบียดเข้าไปด้านในชนกับลุงคนหนึ่ง ผมหันไปขอโทษเขาแล้วจึงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู
[ตาบ้า 😝]
โดนโอโตเมะด่ากลับมาหลังจากที่ผมกวนประสาทเธอไปเมื่อช่วงพักกลางวัน
ผมนึกภาพหน้าเธอตอนที่ด่าผมว่าตาบ้าตามอีโมจิที่ส่งมาแล้วก็หลุดขำคนเดียว กำลังจะพิมพ์ข้อความส่งกลับไปสายตาที่มองต่ำอยู่ดันเหลือบไปเห็นมือข้างหนึ่ง
ไม่ซิ ต้องบอกว่าเห็นแค่ข้อมือ เพราะมือข้างนั้นมุดอยู่ใต้กระโปรงนักเรียนหญิงข้างหน้า
ผมมองไล่จากชายกระโปรงขึ้นไปจนถึงใบหน้าของเจ้าของกระโปรง
เด็กสาวตัวเล็ก หลับตากัดฟันจนกรามเป็นสันชัดเจน เธอยืนตัวสั่นกอดกระเป๋านักเรียนแน่น เครื่องแบบกะลาสี ม.ต้น ของโรงเรียนมัธยมต้นซุนโคพาให้ผมหวนนึกถึงเด็กสาวที่เจอเมื่อเช้า
ภาพตรงหน้าทำเอาผมสตั้นไปชั่ววินาทีหนึ่ง ชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะไปมาเจอะเจอเหตุการณ์แบบนี้
ผมหันไปมองรอบๆ ไม่มีใครที่สนใจหันมาทางเด็กสาวเลย เธอยืนชิดประตู มีลุงที่ผมชนตอนเข้ามายืนบังไว้ ประกอบกับตัวเธอเล็ก ถ้าไม่มองจากมุมของผมคงยากที่จะสังเกต
ไม่รู้ว่าเด็กสาวต้องทนต่อเหตุการณ์นี้มานานขนาดไหน ผมมองไม่เห็นหน้าเจ้าของมือที่หายไปใต้กระโปรงเธอ เห็นเพียงหน้าเธอที่เหมือนจะร้องไห้เต็มทีแล้ว
รู้ตัวอีกทีผมก็เบียดคุณลุงที่ผมชนตอนแรกและไปยืนแทนที่เขา ดูท่าทางเขาจะไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
จากนั้นก็ทำการดึงมือที่อยู่ใต้กระโปรงของเด็กสาวออกมา ไม่ได้ดึงออกมาเปล่าๆ หรอกนะ ผมจับมันไว้แน่นเลย อีกฝ่ายก็พยายามสะบัดออก เราเล่นเกมยืดยุดฉุดกระชากจนคนแถวๆ นั้นเริ่มหันมามอง
“ไม่ต้องกลัว ฉันจับเจ้าโรคจิตนี่ไว้แล้ว”
ผมพูดพร้อมกับใช้หลังมือตบไปที่ไหล่ของเด็กสาวแต่ไม่ได้หันไปมองเธอเพราะตอนนี้ผมเห็นเจ้าโรคจิตแล้ว และกำลังยื้อยุดกับมันอยู่
ได้ยินเสียงเหมือนเสียงสะอื้น รับรู้ได้ว่าเด็กสาวหันมาทางผม
“ให้ฉันจัดการเลยนะ จะจับไม่ไหวแล้ว”
ผมไม่รอคำตอบจากเด็กสาวก็ร้องตะโกนออกไปทันที
“ช่วยจับหน่อยครับ หมอนี่เป็นโรคจิตลวนลามนักเรียน!!”