ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 62 สัปดาห์ที่ 24 อาคิยามะ เออิชิ (2)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 62 สัปดาห์ที่ 24 อาคิยามะ เออิชิ (2)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
“ช่วยจับหน่อยครับ หมอนี่เป็นโรคจิตลวนลามนักเรียน!!”
ปฏิกิริยาแรกคือทุกคนในตู้โดยสารหันมามองผมกันหมด แม้แต่เจ้าโรคจิตยังชะงัก จากนั้นมันก็พยายามแกะมือผมสุดแรง ดิ้นเพื่อให้หลุดจากมือผม
ส่วนผู้โดยสารอื่นถอยห่างจากตรงที่ผมอยู่จนเกิดพื้นที่ว่างประมาณหนึ่งช่วงตัวบุคคลขึ้น คราวนี้แหละเห็นตัวคนร้ายชัดเจนเลย
เป็นผู้ชาย น่าจะสูงราวๆ คางของผม สวมเสื้อกันหนาวสวมฮู้ด ใส่หน้ากากอนามัยปิดบังหน้าตา เรียกว่าทั้งหน้าโผล่มาแค่ลูกตา
หมอนั่นพยายามง้างนิ้วมือผมที่จับเขาไว้เหมือนพยายามจะหักนิ้ว อารามเจ็บปนตกใจผมดึงหมอนั่นเข้ามาแล้วชกสวนออกไปทันที
หมัดซ้ายเข้าเป้าอย่างจัง ฮู้ดที่คลุมไว้เปิดออก ดูแล้วน่าจะเป็นชายวัยกลางคน
เจ้าโรคจิตเซไปตามแรงชก ผู้โดยสารแถวนั้นก็หลบกันจ้าละหวั่น ผมตามเข้าไปจับผมหมอนั่นไว้แล้วกดหัวติดกับผนัง จับมือไพล่หลังพร้อมกับยันข้อพับเข่าให้หมอนั่นล้มลง
ตามขั้นตอนที่ลุงเจ้าของโรงยิมเพิ่งสอนตอนปิดเทอมมาเป๊ะๆ ยังกะพระเอกในหนัง
แต่ผมไม่ใช่พระเอกในหนัง ตัวร้ายเลยยังไม่ยอมศิโรราบ เจ้าโรคจิตพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดการจากการถูกจับ ผมก็ไม่บ้าพอที่จะจับคนร้ายคนเดียว
หลังจากตะโกนอีกครั้งหนึ่งก็มีผู้ชายสองสามคนมาช่วยกันจับคนร้ายกดลงกับพื้นได้
สุดท้ายเมื่อรถไฟจอดเทียบชานชาลา เจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนก็แหวกฝูงชนเข้ามาจับคนร้ายออกไปพร้อมกับเชิญผู้เสียหายและผมที่ถูกผู้เสียหายเกาะติดมาตั้งแต่ตอนที่จับคนร้ายได้ไปให้ปากคำเพิ่มเติม
หลังจากถูกสอบปากคำในฐานะผู้อยู่ในเหตุการณ์และเป็นคนเริ่มต้นจับคนร้ายได้อยู่พักนึง ผมก็ถูกปล่อยตัวออกมาพร้อมกับเด็กสาวเล็กที่สูงอยู่แค่ประมาณรักแร้ผมได้
พอเห็นผมเธอก็เดินเข้ามาโค้งให้ชนิด 90 องศา พร้อมกับขอบคุณผมที่ช่วยเธอ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรกลับไป เธอก็ทำให้ผมประหลาดใจจนต้องเพ่งมองเธอดีๆ
“…ถ้าไม่ได้รุ่นพี่อาคิยามะ ฉันคงแย่แน่ๆ ชีวิตนี้อาจจะเป็นเจ้าสาวใครอีกไม่ได้แล้ว ขอบคุณมากจริงๆ นะคะ…”
“ใจเย็นๆ เงยหน้าขึ้นก่อน…”
ผมบอกเด็กสาวตรงหน้า ส่วนตัวเองก็เพ่งเธอชนิดตาไม่กะพริบ
เด็กคนนี้รู้จักผม… แต่ผมค่อนข้างมั่นใจเลยว่าตัวเองไม่รู้จักเธอ
ผมเพ่งมองเธอที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง พยายามค้นหาความทรงจำเกี่ยวกับผู้หญิงตรงหน้า แต่ค้นยังไงก็ไม่เจอความทรงจำไหนที่เกี่ยวข้องกับเธอ
สิ่งเดียวที่พอจะเชื่อมโยงเธอกับความทรงจำของผมได้ก็คงเป็นชุดนักเรียนที่เธอสวมอยู่
“เธอรู้จักฉันหรอ?”
ผมถามข้อข้องใจแรกออกไปก่อน เด็กสาวเงยหน้ามองผมแล้วพยักหน้าหงึก
“รู้จักซิคะ ตอน ม.ต้น รุ่นพี่ดังมากเลยนะคะ พวกฉันปลื้มรุ่นพี่สุดๆ เลยค่ะ”
คำตอบที่ได้ไม่ถือว่าผิดคาดนัก เพราะดูจากชุดนักเรียนและการที่เธอเรียกผมว่ารุ่นพี่ทำให้เดาได้ว่าเธออาจจะเป็นรุ่นน้องจากโรงเรียนซุนโค แต่ไอ้ที่บอกว่าผมดังแล้วพวกเธอปลื้มผมเนี่ย อันนี้ออกจากเกินคาดไปนิด
“ฉันตอน ม.ต้น? ดัง?”
“ใช่ค่ะ ทั้งเรียนเก่ง เล่นบาสก็เก่ง แถมยังดูนิ่งๆ คูลๆ อีก พวกหนูแอบปลื้มรุ่นพี่กันเยอะเลยค่ะ ถึงส่วนใหญ่จะปลื้มรุ่นพี่นิโนะมิยะมากกว่าก็เถอะ อ่อ… บางคนก็แอบปลื้มรุ่นพี่อาซะวะ…”
ผมยืนมองเด็กสาวที่กำลังจ้อเป็นต่อยหอยตรงหน้าพลางคิดไปว่าเธอใช่คนเดียวกับเด็กสาวที่ตัวสั่นเกาะผมติดราวกับจะสิงกันเมื่อก่อนหน้านี้จริงๆ ใช่มั้ย
[‘พูดได้น้ำไหลไฟดับเลยแฮะ’]
“…แล้วก็นะคะ ตอนที่รู้ว่ารุ่นพี่คบกับรุ่นพี่ทาเคโนะอุจิน่ะ พวกฉันรู้สึกเหมือ…”
“โอเค พอก่อน รู้เรื่องแล้ว”
ผมเบรกสาวน้อยที่กำลังพูดอย่างเมามัน เธอหยุดพูดแล้วมองมาที่ผมด้วยแววตาใสซื่อ แวบนึงผมรู้สึกว่าเธอเหมือนลูกหมาที่รอคำสั่งยังไงไม่รู้
“เอาหล่ะ ฉันรู้แล้วว่าเธอรู้จักฉัน แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าเธอคือใคร”
พอพูดไปแบบนั้นเด็กสาวก็ทำหน้าตกใจ เธอรีบก้มหัวขอโทษผมแล้วแนะนำตัวทันที
“…ฉันชื่ออันนะค่ะ มานามิ อันนะ เป็นรุ่นน้องของรุ่นพี่ปีนึง ตอนนี้ฉันอยู่ ปี 3 มัธยมต้นซุนโคค่ะ”
ผมค้นความทรงจำเกี่ยวกับเด็กคนนี้อีกครั้งแต่ก็ไม่เจออะไร มีแค่นามสกุลมานามินี่ที่คุ้นๆ อยู่
“ก็สรุปว่าเธอเป็นรุ่นน้องของฉันซินะ”
“ค่ะ”
“โอเค ถ้างั้นก็ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักมากเช่นกันค่ะ”
“งั้นไปนะ บาย”
“เอ๊ะ? … อะ… เดี๋ยวซิคะ”
เด็กสาวดึงกระเป๋าผมไว้ไม่ให้ผมเดิน พอหันไปมองสมองก็พลันแวบภาพลูกหมากำลังดึงแย่งของเล่นกับหมาตัวโตอยู่
[‘เดี๋ยวซิ เราไม่ใช่หมานะ’]
“มีอะไร?”
เผลอทำเสียงเข้มไปซะได้ เด็กสาวตรงหน้า เอ่อ… มานามิ ถึงกับย่อคอถอยกลับไปครึ่งก้าว
“ถ้าไม่มีอะไรฉันกลับละนะ เธอเองก็กลับได้แล้ว นี่ก็ดึกแล้วนะ”
ผมมองนาฬิกาข้อมือเข็มสั้นเลยเลขแปดมาเล็กน้อย สองทุ่มกว่าแล้ว เสียเวลาให้ปากคำนานกว่าที่คิด
เห็นเด็กสาวไม่พูดอะไรผมบอกลาเธออีกครั้งแล้วเดินไปรอรถไฟ ไม่นานนักมานามิก็มายืนใกล้ๆ ผม
ผมรู้สึกกว่าเธอมองผมอยู่ก็เลยหันไปมองเธอบ้าง แต่เธอไม่พูดอะไร ก้มหน้ามองพื้นไปซะอย่างงั้น
พอรถไฟมาผมก็ขึ้นรถไฟ มานามิก็ขึ้นตามมา พอผมลงรถไฟ มานามิก็ลงตามมา พอผมเดินกลับบ้าน มานามิก็เดินตามมา
ณ จุดจุดนี้ ผมก็ทนไม่ไหวละครับ
“นี่ คุณมานามิ บ้านเธออยู่ทางนี้หรอ?”
“เอ๊ะ? อ๊ะ! ใช่ค่ะ ไม่ใช่ว่ารุ่นพี่มาส่งฉันหรอคะ?”
เป็นประโยคคำถามที่ไม่คิดเลยว่าจะเจอในสถานการณ์แบบนี้ ผมงงกับคำถามของเธอไปครู่นึง เธอเองก็มองผมเหมือนไม่เข้าใจว่าผมเป็นอะไร
[‘สถานการณ์นี้มันอะไรกันล่ะเนี่ย? บ้านยัยหนูนี่อยู่ทางนี้หรอ? เฮะ… เดี๋ยวนะ… ไม่น่าใช่มั๊ง?’]
ความคิดหนึ่งโผล่มาในหัวแต่ผมปัดตกไปเพราะคิดว่าวันนี้มีความบังเอิญเกิดขึ้นมากพอแล้ว
“ฉันไม่ได้มาส่งเธอ แต่บ้านฉันไปทางนี้”
“เอ๋… จริงหรอคะ? บ้านเราอยู่ทางเดียวกันหรอคะเนี่ย? ว้าววว…”
มานามิชูมือดีใจร้องว้าวเหมือนเด็กน้อยเวลาเจอเรื่องเซอร์ไพรส์ แล้วก็เหมือนจะรู้สึกตัว เธอหดมือกลับมาพร้อมกับหัวเราะแฮะๆ ให้ผม
“ถ้าไปทางเดียวกันก็ไปเถอะ ดึกแล้ว”
ผมออกเดินอีกครั้งโดยมีมานามิวิ่งตามมา ใจอยากจะถามเธอเหมือนกันว่าบ้านอยู่ตรงไหน แต่อยู่ๆ ไปถามหาบ้านเด็กผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักมันก็ดูน่าสงสัยเกินไปหน่อย
“รุ่นพี่ บ้านรุ่นพี่อยู่อีกไกลมั้ยคะ?”
[‘โดนถามก่อนซะงั้นแฮะ’]
มานามิกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามผมมา ท่าทางเหมือนลูกหมาวิ่งตามเจ้าของ พลางชวนผมคุยไปด้วย
“ไม่ไกลหรอก เดินราวๆ 10 นาทีได้มั้ง”
“เห… ใกล้กว่าบ้านฉันนะคะ บ้านฉันต้องเดินประมาณ 15 นาทีเลย”
“งั้นหรอ…”
“แต่แบบนี้ก็ได้เห็นบ้านรุ่นพี่ก่อนซินะคะ ฮิๆๆ”
“เธอทำฉันกลัวนะ”
“อ๊ะ… ขอโทษค่ะ ว่าแต่รุ่นพี่เดินช้าลงนิดนึงได้มั้ยคะ ฉันเดินไม่ทัน”
ผมลดความยาวก้าวของตัวเองลงมาเล็กน้อยแต่ไม่ได้ลดจังหวะการก้าว มานามิหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ ชวนผมคุยไปตลอดทาง
พอมีคนชวนคุยไปด้วยระหว่างเดินแบบนี้ก็รู้สึกว่าระยะทางมันสั้นกว่าปกติ เผลอแปบเดียวผมก็มาถึงบ้านตัวเองแล้ว
“ถึงบ้านฉันแล้ว ฉันไปละนะ”
ผมบอกลาเด็กสาวที่ยืนมองผมกับบ้านของผมสลับกันไปมา บอกตรงๆ ว่าตกใจไม่น้อยที่เธอเดินตามมาจนถึงบ้าน หวังว่ามันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่บ้านเราอยู่ทางเดียวกันละนะ
กำลังคิดว่าเธอคงไม่ใช่สตอกเกอร์หรอกมั้ง น้ำเสียงแปลกใจก็ดังขึ้นมาจากเด็กสาว
“ไม่จริงน่า บ้านรุ่นพี่อยู่ตรงนี้หรอ…?”
ผมที่กำลังจะเข้าบ้านหันไปมองที่เธออีกครั้ง กำลังจะถามว่าแล้วมันทำไม แต่มานามิร้องกรี๊ดขึ้นมาซะก่อน
สิ้นเสียงกรี๊ด มานามิกระโดดมาเกาะแขนผมแน่น เธอเขย่าแขนผมเหมือนเด็กเขย่าแขนพ่อพลางชี้ไปทางฝั่งตรงข้ามกับบ้านผม
“นี่ๆ บ้านฉันอยู่ตรงนั้นล่ะ อยู่เยื้องกันแค่นี้เอง มองตรงนี้เห็นกันด้วย อร๊ายย… รุ่นพี่ ยังกะพรหมลิขิตเลยค่ะ”
หลังจากสตั้นไปเพราะเสียงกรี๊ดแรกของมานามิจนทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้หลังจากเธอพูดจบผมก็พอจะจับใจความได้แล้ว
[‘บ้านเธออยู่ตรงนั้น… อ่ออ…’]
ตรงนั้นมันบ้านของคุณยายมานามิ อืมม… ยัยนี่ก็นามสกุลมานามิเหมือนกัน อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น
ความคิดที่เคยปัดทิ้งไปตอนที่ได้ยินชื่อของเธอครั้งแรกถูกผมเก็บขึ้นมาปัดฝุ่นอีกครั้ง แต่ก่อนจะเชื่อความคิดนั้นก็ต้องยืนยันให้แน่นอนก่อน
“เธอเป็นอะไรกับเจ้าของบ้านนั้นน่ะ?”
“เอ๊ะ? … บ้านฉันหรอ? อ่ออ นั่นยายฉันเองค่ะ ชื่อมานามิ โยโกะ รุ่นพี่ก็รู้จักยายฉันหรอคะ?”
มานามิถามผมอย่างอารมณ์ดี ท่าทางเธอดูไม่เหมือนคนโกหก
“ทำไมฉันไม่เคยเห็นเธอเลยล่ะ?”
“ก็ฉันเพิ่งมาอยู่เมื่อวานเองนิคะ ก่อนหน้านี้อยู่กับแม่ค่ะ แต่แม่ต้องย้ายงานฉันเลยต้องมาอยู่กับยายแทน อะไร? รุ่นพี่ไม่เชื่อฉันหรอคะ?”
จู่ๆ เจ้าลูกหมาที่เกาะแขนผมอยู่ก็เม้มปาก ฟองแก้มเป็นปลาปักเป้าซะงั้น
“คะ… คิดไปเองแล้ว”
อ้อมแอ้มตอบไปได้ไม่เต็มปาก รู้สึกได้ถึงสายตาพิฆาตและเสียงขู่ฮึ่มๆ อยู่ข้างๆ
“อะ… เอาเป็นว่าเธอกลับบ้านก่อนมั้ย ดึกแล้วนะ ยายเธอไม่เป็นห่วงหรอ?”
พอยกยายขึ้นมาอ้าง มานามิก็ทำตาโต
“จริงด้วย งั้นฉันไปก่อนนะคะ ลาล่ะค่ะ ไว้เจอกันนะคะ”
มานามิพูดลารัวเร็วแล้วก็ววิ่งกลับไปทางบ้านยายเธอที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่ไปได้ครึ่งทางเธอก็หันกลับมาทางผมอีก
“วันนี้ขอบคุณมากนะคะ”
ขอบคุณเสร็จก็วิ่งกลับไปบ้านต่อ ตอนที่เดินเข้าไปในบ้านยังหันมาโบกมือบ๊ายบายอีก
“ยังกะพายุเลยแฮะ”
ผมส่ายหัวเบาๆ แล้วเดินเข้าบ้าน รู้สึกเหนื่อยกว่าปกติทั้งที่ยังไม่ได้ดึกมาก อาบน้ำ กินข้าว แล้วนอนเลยดีกว่า
—
“อ้าว คุณมานามิ มีอะไรหรอครับ”
ผมทักทายคุณยายมานามิที่มากดกริ่งอยู่หน้าบ้าน ข้างๆ เธอคือเด็กสาวตัวเล็กที่ผมเจอเมื่อคืน มานามิ อันนะ
ผมสะพายกระเป๋านักเรียนพร้อมกับเดินมาเปิดประตูรั้ว คุณยายมานามิดันหลังเด็กสาวขึ้นมายืนตรงหน้าผม ก่อนจะบอกขอบคุณผมพร้อมกับเด็กสาว
“ฉันขอบคุณอาคิยามะคุงมากๆ เลยนะจ๊ะ เมื่อคืนหลานสาวฉันเล่าทุกอย่างให้ฟังหมดแล้ว ถ้าไม่ได้เธอฉันไม่อยากนึกเลยว่าจะเป็นยังไง”
คุณยายก้มหัวขอบคุณผมอีกครั้ง ทำเอาผมทำตัวไม่ถูก หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อยแล้วผมก็ขอแยกตัวออกมาเพราะต้องไปโรงเรียน แน่นอนว่ามานามิคนหลานก็ตามผมมาด้วย
“อย่าไปรบกวนพี่เขานะ”
นั่นคือคำที่คุณยายฝากบอกหลานสาวก่อนที่จะออกมา แต่ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะลืมมันไปซะแล้ว
“รุ่นพี่คะ รุ่นพี่ไปโรงเรียนเวลานี้ทุกวันเลยหรอคะ?”
มานามิอันนะกำลังสอบปากคำผมอยู่
ใจจริงก็ไม่ได้รำคาญอะไรมากหรอกนะ การมีเพื่อนคุยระหว่างการเดินทางไปโรงเรียนอันแสนน่าเบื่อก็ใช่ว่าไม่ดี เพียงแค่บางทีคำถามของเธอมันค่อนข้างจะส่วนตัวไปนิด อย่างเช่น
“รุ่นพี่มีจูบแรกตอนไหนหรอคะ?”
“รุ่นพี่คาสายกับแฟนบ่อยมั้ยคะ?”
คำถามพวกนี้ผมจะปล่อยผ่านไปไม่ตอบ แน่นอนว่าอันนะก็รู้ว่าผมไม่อยากตอบ เธอก็จะไม่เซ้าซี้
อ่ออ… ลืมบอกไป ผมโดนบังคับให้เรียกชื่อตัวเพราะเธอบอกว่ามันจะสับสนกับยาย พอผมบอกว่าจะเรียกมานามิจัง เธอก็พองแก้มขู่ฮึ่มมๆ เห็นแล้วสงสารก็เลยตกลงเรียกชื่อเธอไป
“ทำไมรุ่นพี่ถึงไปเรียนที่อาคิรุไดล่ะคะ? ตอนแรกเห็นว่าสอบเข้าที่ฮิบิยะได้แล้วนี่นา”
ผมหันไปมองหน้าเธอ ไม่ได้ตอบ แค่มองเฉยๆ
อันนะเงียบไปทันทีที่ผมมอง เธอก้มหัวขอโทษผมทันทีแล้วก็ก้มหน้าไม่พูดอะไรอีก
ตรงจุดนี้เองที่ทำให้ผมไม่รำคาญเธอจนเกินไป ผมรู้สึกว่าเธอเป็นเด็กหัวไว เซนส์ดี อ่านบรรยากาศเก่ง
“ทำไมเธอถึงอยากรู้เรื่องของฉันนัก?”
อันนะเงยหน้ามองผม เธอกะพริบตาฉ่ำน้ำปริบๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแววตาใสปิ๊ง
[‘เมื่อกี้จะร้องไห้หรือเปล่านะ?’]
ได้แต่สงสัยแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะตอนนี้อันนะกำลังสาธยายเหตุผลที่เธออยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตัวผมให้ฟังชนิดน้ำไหลไฟดับ
“…แล้วก็นะคะ เพื่อนฉันน่ะแอบชอบรุ่นพี่มาตั้งแต่ตอนปี 1 เลยล่ะค่ะ แน่นอนว่าฉันเองชอบรุ่นพี่ไม่แพ้กันหรอก เพราะงั้นนะคะ ฉันน…”
“เธอทำไม?”
พอจู่ๆ อันนะที่กำลังจ้ออยู่เงียบไป ผมที่กำลังฟังเพลินเลยหันไปถาม
อันนะมองมาทางผม อ้าปากค้าง หน้าเจือสีแดงจางๆ
[‘ไม่สบายรึ?’]
ผมก้มลงไปหาเธอจะดูว่าเธอเป็นอะไร แต่อันนะยกกระเป๋าขึ้นมาขวางซะก่อน น้ำเสียงงู้งี้ดังมาจากหลังกระเป๋า ดวงตาที่โผล่พ้นหูกระเป๋ามาสอดส่ายไปทั่ว
“มะ…มะ…ไม่…ไม่มี…อะไร…ค่ะ”
เห็นแล้วก็แปลกใจแต่ผมก็ไม่ได้เซ้าซี้เธอต่อ ตอนผมไม่อยากตอบเธอยังปล่อยผ่านได้ ตอนนี้ผมก็ควรปล่อยผ่านบ้าง
ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ตอนที่เห็นหูเธอเป็นสีแดง ความชั่วร้ายก็เกิดขึ้นในใจผมเสียแล้ว หรือว่ายัยนี่…
“อันนะ เธอเขินฉันหรอ?”
ผมแกล้งกระซิบข้างๆ เธอ ไม่กล้าไปกระซิบข้างหูหรอกนะ แต่ก็ใกล้กว่าการพูดคุยแบบปกติมาก
“อย๊า..”
เห็นเธอตกใจร้องเสียงประหลาดออกมาผมก็อดขำไม่ได้ อันนะคงจะอายเลยหน้าแดงก่ำไปถึงหู แล้วก็
ตุบ…ตุบๆๆ
เธอใช้มือเล็กๆ นั่นทุบแขนผมเบาๆ เข้าใจว่าคงเป็นการทุบแก้เขินเพราะมันไม่เจ็บ ผมเลยปล่อยให้เธอทุบจนพอใจ พลางคิดในใจว่าพวกผู้หญิงนี่ใช้กำลังแก้เขินกันหรือไงนะ