ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 63 สัปดาห์ที่ 24 อาคิยามะ เออิชิ (3)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 63 สัปดาห์ที่ 24 อาคิยามะ เออิชิ (3)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
โรงอาหารช่วงพักกลางวัน
“เออิชิ ฉันอยากกินข้าวกล่องฝีมือโอโตเมะจังอีกอ่า นายช่วยขอให้เธอทำขายให้ฉันได้มั้ย?”
โมโมสุเกะที่กินข้าวแกงกะหรี่ชุดพิเศษตรงหน้าหมดไปก่อนใครกำลังคร่ำครวญกับผมที่ยังกินข้าวไม่หมด
ผมเหลือบตามองเขานิดนึงก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต่อ
คงเห็นผมไม่ตอบ โมโมสุเกะเลยหันไปหาพวกเพิ่ม และเพียงคำพูดไม่กี่ประโยค เขาก็ได้โคสุเกะกับจินไปเป็นพวก
[‘เจ้าพวกนี้รวมหัวกันมาแน่ๆ’]
ผมกลืนข้าวคำสุดท้ายลงท้องพลางเปิดขวดน้ำแล้วดื่มตามลงไป เห็นเพื่อนๆ ทั้งสามของตัวเองมองมาด้วยความคาดหวัง บอกตรงๆ เลยว่าการถูกมองแบบนั้นตอนกำลังกินข้าวกินน้ำแล้วรู้สึกแปลกๆ
“ไม่เอา”
ผมปัดข้อเสนอแบบไม่ต้องคิด
“อย่าพูดงั้นซิเพื่อน พวกฉันขอซื้อนะ ไม่ได้ขอให้ทำให้ฟรีๆ แบบนี้แฟนนายก็จะได้มีรายได้ด้วยนะ”
“ไม่ใช่แฟนเฟ้ย”
“เอาน่าๆ อย่าเขินไปเลย พวกฉันรู้นะว่านายคุยกับเธอตลอดน่ะ”
โคสุเกะกับโมโมสุเกะมองมาที่ผมแบบคนรู้ทัน แม้แต่จินก็ยังเอาด้วย เล่นเอาผมเถียงอะไรไม่ออก
“นะๆๆๆ เออิชิเพื่อนเลิฟ นายลองถามเธอก่อนก็ได้ ยังไงก็ไม่เสียหายอะไรนิ”
ทั้งสามคนเซ้าซี้อ้อนวอนผมอยู่แบบนั้นจนกระทั่งหมดพักกลางวันแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ สุดท้ายผมก็ต้องยอมทำตามที่เพื่อนๆ ขอเพราะรำคาญ
พอบอกว่าถามโอโตเมะให้แล้วรอเธอตอบก่อน เจ้าพวกสหายทั้งสามจึงได้ยอมปล่อยผมไป เฮ้อออ… ปวดหัว
การเรียนในชั่วโมงบ่ายผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับว่าเวลาบนโลกเดินช้าลงกว่าปกติ
ผมที่นั่งหลับแล้วหลับอีกจนรู้สึกปวดคอขยับนั่งตัวตรงหลังจากอาจารย์คาบสุดท้ายเดินออกจากห้องไป หลังจากยืดเหยียดเส้นสายพอให้คลายเมื่อยแล้วก็คว้ากระเป๋าลุกจากที่นั่ง
พวกโคสุเกะกำลังรออยู่ที่น่าประตู เป้าหมายวันนี้คือร้านคาราโอเกะที่โมโมสุเกะบอกว่ามีพนักงานพาร์ตไทม์น่ารักมาทำงานอยู่
หลังสองชั่วโมงแห่งการแข่งกันตะโกนจนเสียงแห้ง ผมแยกย้ายกับเพื่อนๆ และมุ่งหน้ากลับบ้านโดยรถไฟสายเดียวกับเมื่อวาน
เข้ามาในรถไฟแล้วก็รู้สึกว่าคนเยอะเหมือนเดิม ผมสอดส่ายสายตาไปรอบๆ แม้ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอแต่ก็อดมองดูรอบๆ ไม่ได้
[‘ปกติกลับเส้นทางนี้หรือเปล่านะ?’]
สงสัยอยู่คนเดียวเสร็จแล้วก็เลิกสงสัยอยู่คนเดียว ผมตัดความสนใจต่อสิ่งรอบข้างออกก่อนจะเอาหูฟังโทรศัพท์ใส่หูตัวเอง ฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษพลางพึมพำเบาๆ ตามที่ได้ยิน ตอนที่ถึงบ้านบทสนทนานั้นก็จบไป 5 บทแล้ว
“เอาหล่ะ ทำอะไรก่อนดี อืมมมม… เตรียมน้ำไว้ก่อนละกัน”
ผมโยนกระเป๋าไว้ที่โซฟาก่อนจะเดินไปเปิดน้ำในห้องน้ำไว้ กว่าจะเต็มคงใช้เวลาสัก 10 นาทีได้ ระหว่างรอก็จัดการเก็บของเปลี่ยนเสื้อผ้าลงมาอาบน้ำ
ส่วนข้าวเย็นไม่ต้องทำก็ได้เพราะกินมาแล้วจากร้านคาราโอเกะ เพราะงั้นก็เหลือแค่เตรียมเนื้อหาติวให้รุ่นพี่อีกนิดหน่อยก็จะว่าง
ผมวางแผนในหัวไปพลางเปลี่ยนถอดชุดนักเรียนไปพลาง ในตอนนั้นเองเสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น
ผมมองเวลาแล้วก็สงสัย ปกติบ้านผมก็ไม่มีใครมาอยู่แล้วนอกจากคนส่งของ แต่วันนี้ผมไม่ได้สั่งอะไรแล้วใครมากดกริ่ง
ผมแขวนเสื้อนอกไว้แล้วดึงเสื้อยืดตัวในออกมานอกกางเกงนักเรียนแล้วจึงเดินลงมาดูที่จออินเตอร์โฟน
บนหน้าจอเป็นภาพเด็กสาวที่ตัวสูงพอๆ กับกล้อง เธอยืนโยกตัวไปมาอยู่หน้าประตูบ้านผม
มานามิ อันนะ
หลานสาวคุณยายมานามิที่บ้านอยู่ตรงกันข้ามและเพิ่งจะรู้จักผมเมื่อวาน ไม่ใช่ซิ ต้องบอกว่าผมเพิ่งรู้จักเธอเมื่อวาน
ผมเปิดประตูไปเพื่อดูว่าเธอมีธุระอะไรถึงได้มาหาผมเอาเวลานี้ พอเธอเห็นผมเดินออกมาก็รีบทักทายเหมือนเห็นญาติผู้ใหญ่ยังไงยังงั้น
“คือ… ฉันเอากับข้าวมาให้ค่ะ คือออ… ยายบอกว่ารุ่นพี่อยู่คนเดียว ฉันเลยขอยายแบ่งกับข้าวมาค่ะ”
อันนะพูดพร้อมกับส่งของที่เธอถืออยู่มาให้
ผมมองถุงสีชมพูนั้นก่อนจะรับมาดู ข้างในเป็นกล่องทัพเพอร์แวร์ที่มองไม่ออกว่าข้างในเป็นอะไรเพราะไอน้ำที่เกาะบนฝากล่อง แต่คิดว่าน่าจะเป็นเมนูประเภทผัด
“ขอบคุณนะแล้วก็ฝากขอบคุณคุณมานามิด้วย แต่คราวหน้าไม่ต้องลำบากหรอก ฉันเกรงใจ”
“อ๊ะ… ไม่ลำบากเลยค่ะ แฮะๆๆ ที่จริงยายก็บอกว่าให้ตอบแทนรุ่นพี่ให้ดีๆ น่ะค่ะ”
“งั้นหรอ”
ผมรับกล่องอาหารนั้นไว้แต่โดยดีเพราะรู้ว่านี่คือของที่อันนะและคุณมานามิตั้งใจเอามาตอบแทนให้ อีกอย่างมันไม่ได้มากมายจนลำบากใจ อันที่จริงสมัยก่อนบ้านผมกับคุณมานามิก็แลกเปลี่ยนกับข้าวกันบ่อยๆ
หลังพูดคุยกันเล็กน้อยผมก็เตรียมจะกลับเข้าบ้าน แต่อันนะยังยืนอ้ำๆ อึ้งๆ
“มีอะไรหรือเปล่า?”
ผมถามเธอเพราะเธอไม่ยอมพูดสักที ยืนกันอยู่แบบนี้มันก็แปลกๆ
“คะ… คือ…. คือว่า… เอ่อออ…”
เกริ่นนานมาก แถมตะกุกตะกัก แต่ผมก็ยังยืนรอเธอพูดต่อโดยไม่บ่นอะไรออกไปก่อน ช่างเป็นคนที่ใจเย็นอะไรเช่นนี้
“เอ่อออ…อื้อออ…รุ่นพี่…ยะ..ยะ…อย่าทำหน้า…ดุ…ซิคะ…งื้อออ…”
“เอ๊ะ?”
อะไรคือทำหน้าดุ ผมได้แต่ถามตัวเองในใจ พลางเอามือจับๆ หน้าตัวเอง
“คือ… ฉันคิดว่าหน้าฉันก็เป็นแบบนี้เองนะ”
อันนะค่อยๆ เหลือบมามองผมด้วยสายตาบ้องแบ้ว สีหน้าเธอบ่งบอกว่าอยากคุยด้วยแต่ก็กลัวๆ กล้าๆ
เห็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่เกาหัวอย่างช่วยไม่ได้เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนกลัวหน้าตาของผม คนล่าสุดก่อนหน้านี้ที่บอกว่าผมน่ากลัวก็คือโอโตเมะ
ว่าแล้วก็นึกขึ้นได้ ยังไม่ได้ตอบข้อความเธอเลยนินา
“คะ… คือว่า… ฉันอยากเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะค่ะ ละ..ละ..เลย.. อยากให้รุ่นพี่ช่วยติวให้หน่อย”
เสียงของอันนะขัดจังหวะความคิดของผม แต่ก็ทำให้รู้ความตั้งใจของเธอที่มายืนอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่แบบนี้
“คือ… ฉันคุยกับยายแล้วค่ะ ยายบอกว่าถ้ารุ่นพี่สะดวกคุณยายจะมาคุยเรื่องนี้ให้เป็นงานเป็นการอีกที… น่ะ… ค่ะ”
เสียงค่อยๆ เบาลงๆ พร้อมกับใบหน้าของอันนะที่ก้มลงมองเท้าตัวเองอีกครั้ง
สรุปก็คืออยากให้ผมช่วยติวเข้า ม.ปลายให้ จะว่าไปนี่ก็เทอม 2 แล้ว ไม่แปลกที่เด็ก ม.ต้น ปีสุดท้ายจะมองหาที่เรียนต่อแล้วเริ่มหาที่ติวกัน อันที่จริงผมมองว่ามันค่อนข้างช้าไปหน่อยด้วยซ้ำสำหรับการสอบเข้าโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูงอย่างฮิบิยะ
“ทำไมไม่ไปลงเรียนที่โรงเรียนกวดวิชาล่ะ?”
ผมถามความสงสัยของตัวเองออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะตอนสมัย ม.ต้น ก็มีช่วงหนึ่งที่ผมไปเรียนกวดวิชาอยู่เหมือนกัน
แต่เหมือนมันจะทำให้อันนะเข้าใจผิด
“เอ๊ะ? เอ่ออ… ขอโทษค่ะ งั้นฉันไม่รบกวนรุ่นพี่แล้วค่ะ ขอตัวนะคะ บายค่ะ”
รัว เร็ว ไม่ตะกุกตะกัก วิ่งหายแวบเข้าบ้านตัวเองไปโดยปล่อยให้ผมยืนงงอยู่ตรงนั้น
[‘ยัยนั่นเข้าใจว่าเราปฏิเสธหรอ?’]
ผมมองเธอหายเข้าบ้านไปแบบงงๆ ก่อนจะเดินเข้าบ้านตัวเองบ้าง
นั่งมองถุงสีชมพูที่มีกล่องทัพเพอร์แวร์อยู่ข้างในแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจที่ทำให้อันนะเข้าใจผิด
ปกติผมไม่ค่อยแคร์หรอกนะถ้าคนอื่นจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวผมแต่นั่นก็เฉพาะกับคนอื่น ถ้าเป็นคนรู้จักมันก็อีกเรื่อง ยิ่งถ้าความเข้าใจผิดนั้นมันเกิดจากตัวเราโดยตรงด้วยแล้วยิ่งรู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่
ผมมองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์ เวลาเกือบๆ 1 ทุ่ม
[‘ไม่น่าจะรบกวนเท่าไร’]
ไม่ได้คิดอะไรมากนัก คว้าโทรศัพท์กับกุญแจบ้านแล้วเดินออกมาทันที ปลายทางไม่ได้ห่างไกลเท่าไร บ้านของคุณมานามินั่นเอง
ยืนรอไม่นานนักหลังจากกดกริ่งหน้าบ้าน คุณมานามิก็ออกมาเปิดประตูให้ ผมถูกเชิญเข้าไปในบ้าน นั่งลงที่ห้องรับแขก และตอนนี้มีชาร้อนๆ วางอยู่ตรงหน้า
“เอ่อ ขอบคุณครับ”
ผมยกชาขึ้นมาดื่มพลางมองไปรอบๆ ห้องนั่งเล่น โครงสร้างคล้ายๆ กับห้องนั่งเล่นที่บ้านตัวเอง คิดว่าบ้านทรงนี้ก็คงจะมีอะไรคล้ายๆ กัน
“อันนะอยู่ข้างบนจ้ะ เดี๋ยวฉันไปตามให้นะ”
ผมรีบห้ามคุณมานามิที่ทำท่าจะลุกไปตามหลานสาวจริงๆ ก่อนจะบอกจุดประสงค์ที่มากับเธอ
“ผมอยากมาคุยกับคุณมานามิน่ะครับ เรื่องที่ว่าจะให้ติวหนังสือให้อันนะ”
“อ่ออ เรื่องนั้นเองหรอจ๊ะ ถ้าอันนะไปรบกวนก็ขอโทษด้วยจริงๆ นะ เด็กนั่นแค่ดื้อไปหน่อย อย่าไปใส่ใจเลยนะ”
“งั้นหรอครับ”
ผมจิบน้ำชาอีกครั้ง คุณมานามิมองผมยิ้มๆ ก่อนจะพูดต่อ
“ที่จริงตอนนี้อันนะก็เรียนพิเศษที่โรงเรียนกวดวิชาแหละจ้ะ แต่มันไกลจากที่นี่ พอเลิกเรียนก็จะกลับบ้านช้า เธอกลัวว่าจะเจอเหตุการณ์อย่างวันก่อนอีกเลยไม่อยากไปเรียนที่นั่นแล้ว”
“เหตุการณ์?”
“ที่อันนะได้อาคิยามะคุงช่วยไว้คราวก่อนแหละจ้ะ ตอนนั้นเธอเพิ่งกลับจากโรงเรียนกวดวิชาน่ะ”
ภาพเหตุการณ์ที่ชีวิตนี้คิดว่าจะได้เจอแค่ในโลกของโดจินแวบเข้ามาหัว ที่แท้ก็เพราะแบบนี้นี่เอง
“อันนะน่ะชื่นชมอาคิยามะคุงมากเลยนะ บอกว่าปลื้มเธอสุดๆ มาตั้งแต่ตอน ปี 1 แล้ว พอรู้ว่าอาคิยามะคุงอยู่แค่ตรงนี้ก็ดีใจยกใหญ่ แล้วก็บอกว่าอยากให้รุ่นพี่ช่วยติวให้ ยกเหตุผล ชักแม่น้ำทั้ง 5 ให้ฉันช่วยมาพูดกับอาคิยามะคุงอีกแรง มีความตั้งใจสุดๆ เลยล่ะนะ”
คุณมานามิเล่าอย่างใจเย็นส่วนผมก็ฟังเธอเงียบๆ
“ฉันเองก็มีหลานสาวคนเดียว อะไรที่ตามใจได้ก็อยากจะตามใจ แต่ถ้าอาคิยามะคุงไม่สะดวก ฉันเองก็จะไม่รบกวนหรอกนะ ยังไงก็ต้องยึดตัวอาคิยามะคุงเป็นสำคัญจ้ะ”
พูดจบคุณมานามิก็ยกชาขึ้นมาดื่ม ผมมองเธอที่ภายนอกดูเป็นคุณยายใจดีแล้วก้มมองชาในถ้วยของตัวเอง
[‘นี่ซินะที่เขาเรียกว่าขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด ประสบการณ์คนละชั้นเลย พูดมาขนาดนี้ถ้าเป็นคนดีๆ กัน ใครจะกล้าปฏิเสธเนี่ย’]
ผมเงยหน้าจากถ้วยน้ำชาแล้วก็เห็นคุณมานามิกำลังมองผมอยู่ เธอไม่ได้พูดจาบีบบังคับหรือยื่นข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้ให้ผมแต่อย่างใด คุณยายตรงหน้าท่านนี้เพียงแค่ยิ้มให้ผม แต่แววตาที่มองผมเหมือนกับเธอรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
[‘เฮ้ออ…นี่เราอ่านออกง่ายขนาดนี้เลยหรอเนี่ย’]
“ตกลงครับ แต่ผมติวให้ได้แค่วันธรรมดานะครับ แล้วก็ไม่รับประกันด้วยว่าจะติวได้ดีเท่าโรงเรียนกวดวิชา”
“แค่นั้นก็พอแล้วจ้ะ ส่วนเรื่องค่าตอบแทนฉันจะให้เท่ากับที่อันนะไปเรียนที่โรงเรียนกวดวิชานะจ๊ะ”
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรครับ ผมบอกแล้วว่าไม่รับประกันการสอน”
“แต่คนทำงานต้องได้ค่าตอบแทนนะจ๊ะ”
“เอ่ออ…งั้นเอาแบบ…”
แก๊ก… เสียงเหมือนมีของตก
ผมหันไปมองตามเสียง ตรงนั้นมีเด็กสาวตัวเล็ก สวมเสื้อกล้ามสีขาวที่เป็นเหมือนเสื้อซับในกับกางเกงขาสั้น ดูแล้วเหมือนชุดนอน แต่ตาผมดันไปสะดุดกับสายเสื้อสีฟ้าที่ไม่ใช่สายเสื้อกล้ามเข้าซะอย่างงั้น
“เอ๊ะ? รุ่นพี่?”
คำพูดของเด็กสาวดึงสายตาผมจากเส้นสีฟ้ากลับมาที่หน้าเธอได้สำเร็จ
“อะ…อื้ม ขอโทษที่มารบกวนนะ”
“เอ๊ะ? เอ๋…อ๊ะ!! เดี๋ยว!! อ๊า…”
พูดแค่นั้นแล้วก็วิ่งหายไป อืมมม… อันนี้ไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ
“ขอโทษแทนอันนะด้วยนะจ๊ะ”
“อ๊ะ ไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายมารบกวน”
“ไม่หรอกจ้ะ ถ้าอันนะรู้ต้องดีใจมากแน่ๆ ขอบใจอาคิยามะคุงมากเลยนะจ๊ะ”
คุณมานามิดื่มชาที่เหลือ ผมเองก็ยกขึ้นมาดื่มบ้าง ไม่นานนักก็มีเสียงตึงตังดังลงมาแล้วอันนะก็มาปรากฏตัวต่อหน้าผม
[‘เอ๋ เปลี่ยนชุดแล้วนิ’]
อันนะในชุดเสื้อยืดโอเวอร์ไซซ์กับกางเกงขาสั้นที่เด็กสาวชอบใส่กันเวลาไปเที่ยวเดินมานั่งข้างๆ ยายของเธอ
“งั้นอาคิยามะคุงคุยรายละเอียดกับอันนะเอาเองนะจ๊ะ”
“อ๊ะ ครับ”
“รายละเอียด?”
“อาคิยามะคุงเขายอมช่วยติวให้หนูแล้วนะ อย่าดื้อกับพี่เขาล่ะ”
“เอ๊ะ?”
อันนะมองหน้าผมสลับกับยายตัวเอง แล้วเธอก็ค่อยๆ ยิ้มออก เป็นรอยยิ้มดีใจที่ดูไร้เดียงสาเสียจนผมรู้สึกว่ามันจ้าจนมองตรงๆ ไม่ได้
หลังพูดคุยกันอีกเล็กน้อยผมก็ขอตัวกลับ ตอนแรกคิดว่าจะใช้เวลาไม่นาน สรุปแล้วกินเวลาเกือบชั่วโมง
รายละเอียดคือผมจะติวให้อันนะสองวันต่อสัปดาห์ ส่วนวันจะนัดกันอีกครั้งหนึ่ง สถานที่คือบ้านของเธอ ค่าตอบแทนคืออาหารเย็นโดยวันไหนที่ติวกันผมจะมากินข้าวที่บ้านเธอเลย
ตอนแรกเธอไม่ยอม บอกจะทำอาหารเย็นให้ผมทุกวันแต่โดนผมปัดตกพร้อมกับขู่ว่าถ้าไม่ฟังจะไม่ติวให้ อันนะเลยยอมรับปากแต่โดยดี
ไม่เคยคิดเลยว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะต้องมาเป็นติวเตอร์ให้เด็กสาวที่เพิ่งจะรู้จักกันได้แค่สองวันแถมยังได้ค่าจ้างเป็นอาหารเย็นอีก ถ้าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้พวกโมโมสุเกะฟังล่ะก็ เจ้าพวกนั้นคงได้อิจฉาจนลงไปดิ้นกับพื้นแน่ๆ
ว่าแล้วก็นึกขึ้นได้อีกรอบว่ายังไม่ได้ตอบข้อความของโอโตเมะเลย ตั้งแต่เลิกเรียนมาก็วุ่นๆ จนถึงตอนนี้
ผมถอดเสื้อผ้าแล้วเดินถือโทรศัพท์เข้าห้องน้ำ หวังจะอาบน้ำให้สบายตัว แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำเอาผมติดสถานะอัมพาต ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
น้ำอุ่นที่ล้นไหลออกมาจากอ่างอาบน้ำเจิ่งนองเต็มพื้นห้องน้ำไปหมด
ความทรงจำก่อนที่อันนะจะมากดกริ่งหน้าบ้านแวบกลับมาในหัวสมอง
บ้าที่สุด… ลืมปิดน้ำซะได้
“อ๊าาา…”
ผมทำได้แค่ส่งเสียงร้องอยู่คนเดียวก่อนจะเดินไปปิดน้ำที่ไหลเจิ่งนอง แล้วก็คิดในใจว่าค่าเปลี่ยนอ่างน้ำเป็นแบบอัตโนมัติมันเท่าไรกันนะ…