ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 64 สัปดาห์ที่ 24 อาคิยามะ เออิชิ (4)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 64 สัปดาห์ที่ 24 อาคิยามะ เออิชิ (4)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
ตอนนี้เป็นเวลา 7.10 น.
ผมซึ่งออกจากบ้านมาตั้งแต่ 6 โมงกว่าๆ กำลังยืนพิงเสาหาวอยู่ในสถานีรถไฟ
ไม่ใช่สถานีที่ผมใช้ตอนไปโรงเรียนในทุกๆ วัน แต่เป็นสถานีที่ใช้ตอนมาบ้านโอโตเมะ
ใช่แล้วครับ ตอนนี้ผมกำลังรอเธออยู่
หลังจากเมื่อวานที่ผมเอากล่องข้าวมาให้เธอที่นี่ เธอก็นัดผมให้มารับกล่องข้าวที่นี่ตอนเช้าเหมือนกัน
– “ฉันไปเอาที่บ้านเธอก็ได้นะ” –
– “ไม่ต้องๆ ที่นี่แหละดีแล้ว” –
ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมโอโตเมะถึงไม่อยากให้ผมไปเอาข้าวกล่องที่บ้านเธอ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นติดใจสงสัยอะไรมากมาย ตอนนี้จึงได้แต่ยืนรอให้เธอมา
[ออกจากบ้านแล้ว]
นั่นคือข้อความจากเธอเมื่อ 10 นาทีก่อน คำนวณจากระยะทางแล้วอีกไม่นานเธอคงจะถึง
ผมไถโทรศัพท์ของตัวเองรอไปพลางๆ แล้วไม่นานนักอย่างที่คิดก็มีเสียงร้องทักขึ้นมา
“ขอโทษนะจ๊ะ”
[‘วันนี้เสียงแปลกๆ’]
ผมคิดพลางหันไปจะถามโอโตเมะว่าเธอเป็นอะไร แต่ผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่โอโตเมะ
สาวสวย… อื้มมม สวยเลย ดูจากการแต่งตัวกับหนังสือที่ถืออยู่ท่าทางเหมือนจะเป็นเด็กมหาวิทยาลัย ยืนกันอยู่ 2 คน คงจะเป็นเพื่อนกัน
พอเห็นว่าไม่ใช่โอโตเมะผมก็หันมองซ้ายมองขวา แล้วก็มองกลับไปที่ทั้งสองคนนั้นอีกครั้ง และเพื่อความชัวร์…
“คุยกับผมหรอ?”
เพราะตรงนั้นมีผมคนเดียว การที่พวกเธอมองมาที่ผมก็น่าจะคุยกับผมแหละ คิดว่างั้นนะ
“อื้มม เธอนั่นแหละ เธอเป็นนักเรียนของอาคิรุไดหรอ?”
“อ๊ะ ใช่ครับ”
ผมตอบไปโดยอัตโนมัติโดยไม่ได้คิดอะไร แต่กลับทำให้พี่สาวตรงหน้ายิ้มหวานได้ซะงั้น อาหารตาโดยแท้
“นี่ ฉันขอ RaNE หน่อยซิ”
“เอ๊ะ? RaNE? ของผม?”
“ใช่ ของเธอน่ะ ได้หรือเปล่า?”
ว้าววว… ตรงหน้ามีสาวสวยมาขอ RaNE แหละ เกิดมาเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกเลย
“ก็ดะ…”
อะแฮ่ม…
กำลังจะตอบตกลงพี่สาวคนสวย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกระแอมคอดังมากจากข้างหลัง กระแอมเสียงดังจนผมสะดุ้ง
พอหันไปก็เจอโอโตเมะที่ยืนตาขวางจ้องผมอยู่ มือสองข้างถือถุงข้าวกล่องมีกระเป๋านักเรียนสะพายที่ไหล่ขวา พะรุงพะรังจนผมรู้สึกผิด
“อ้าว ขอโทษที มาตั้งแต่เมื่อไหร่ มา ฉันถือเอง”
พอแย่งข้าวกล่องไปถือเรียบร้อยโอโตเมะก็ยังมองผมตาขวางอยู่เหมือนเดิม แถมยังชะโงกไปมองพี่สาวข้างหลังผมด้วย
“มาตั้งแต่มีคนขอ RaNE ของนายนั่นแหละ”
พูดกับผมแต่ตามองไปที่ข้างหลังผมซะงั้น แม่นี่ไปกินรังแตนที่ไหนมาเนี่ย
“เอ่ออ… งั้นพวกเราขอตัวก่อนนะ ขอโทษที่รบกวน”
สงสัยพวกพี่สาวคงทนสายตาของโอโตเมะไม่ได้เลยชิ่งหนีกันไปหมด ผมมองพวกเธอเดินหายไปในกลุ่มคนที่เริ่มเยอะขึ้นตามชั่วโมงเร่งด่วนในตอนเช้า
“เป็นอะ….อ้าว”
หันกลับมาโอโตเมะก็เดินไปซะแล้ว ยัยนี่ไปอารมณ์เสียอะไรมาเนี่ย
ผมรีบเดินตามเธอไปจนทัน
“เธออารมณ์เสียอะไรมา?”
“เปล่า”
“ก็เห็นอยู่ว่าอารมณ์เสีย”
“ก็บอกว่าเปล่า!”
ผมมองตามเธอ ไม่ได้ดื้อดึงโต้เถียง
“เธอจะคิดเงินค่าข้าวกล่องนี่เท่าไร?”
“ไม่เป็นไรหรอก”
“ฉันว่าแบบนี้ไม่ดีนะ”
“ฉันบอกว่าไม่เป็นไรไง!!”
“อา…”
ผมตอบเธอแค่นั้นแล้วก็เดินตามเธอมาถึงตรงจุดที่เธอขึ้นรถ ส่วนตัวผมต้องไปขึ้นอีกขบวนหนึ่ง
“งั้นไปละนะ ขอบคุณที่ช่วยทำข้าวกล่องให้”
ผมบอกลาเธอก่อนจะเดินแยกออกมา แต่เดินมาได้สองก้าวก็ต้องหยุด
โอโตเมะดึงเสื้อผมไว้…
“ขอโทษ…”
ผมแอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปหาเธอ เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรเธอหรอก การที่หลังๆ มานี้เราได้คุยกันมันทำให้ผมรู้ว่าเธอมีนิสัยเอาแต่ใจคล้ายๆ เด็กอยู่บ้าง เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาบ่อยนัก
บางครั้งมันก็น่ารัก แต่บางครั้งมันก็น่ารำคาญ ซึ่งตอนที่น่ารำคาญผมจะปล่อยผ่าน แล้วสักพักเธอก็จะมาขอโทษผมเหมือนกับตอนนี้
“เป็นอะไร?”
“ไม่รู้…”
[‘อ้าว… แล้วใครจะรู้’]
“คงเหนื่อยแหละมั้ง ช่วงนี้ที่โรงเรียนฉันยุ่งๆ เตรียมงานวัฒนธรรมน่ะ”
[‘อ่ออ จริงซินะ ช่วงนี้หลายๆ โรงเรียนจัดงานวัฒนธรรมกันนี่นา ดีนะที่โรงเรียนเราไม่มี’]
“ฉันอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์กับประสานงานน่ะ ช่วงนี้เลยค่อนข้างวุ่น แถมไม่ได้เข้าไปช่วยงานเพื่อนในห้องเลย รู้สึกกังวลยังไงไม่รู้”
เป็นครั้งแรกที่เธอระบายเรื่องพวกนี้ให้ผมฟัง ผมรู้ว่าเธอทำงานสภานักเรียน แต่เธอไม่เคยบอกเลยว่าช่วงนี้ตัวเองงานเยอะ ถ้าผมรู้…
“แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก ถ้ารู้ฉันคงไม่ขอให้เธอทำข้าวกล่องให้หรอก”
“แค่นี้เอง นายกับเพื่อนก็เคยช่วยฉันเอาไว้ ให้ฉันได้ตอบแทนเถอะ”
คุยกันได้แค่นั้นรถไฟที่โอโตเมะขึ้นก็จอดเทียบ แล้วเราก็แยกย้ายกันไปโรงเรียน
—
“นี่เออิชิ ขอให้แฟนนายทำมาให้แบบนี้ทุกวันไม่ได้หรอ ฉันยินดีจ่ายนะ”
โมโมสุเกะที่กำลังเคี้ยวไส้กรอกอยู่ในปากถามขึ้นมา
“นี่ครั้งสุดท้ายแล้ว”
“อะไรกัน ใจร้ายชะมัด นายจะหวงข้าวกล่องฝีมือแฟนไว้กินคนเดียวใช่มั้ย?”
“เปล่า แต่เกรงใจยัยนั่น”
“อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ มู่…”
ผมปล่อยให้เพื่อนๆ บ่นตัวเองว่าเป็นพวกขี้เหนียวพลางกินข้าวกล่องตรงหน้าไปเรื่อยๆ ตั้งใจว่าเดี๋ยวกินเสร็จคงต้องเก็บเงินเจ้าพวกนี้จริงๆ ซะแล้ว
หลังมื้อกลางวัน ผมกับเพื่อนๆ มานอนเล่นกันที่ม้านั่งข้างตึก มีต้นไม้ให้ร่มเงาพอเย็นสบาย
ช่วงนี้อากาศไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนเมื่อเดือนก่อนแต่ก็ยังร้อนอยู่ดีถ้าหากออกไปตากแดด ผมนอนเล่นโทรศัพท์ดูหน้าต่างแชทพลางฟังเพื่อนๆ คุยกัน
ตอนนี้หน้าต่างเพื่อนนอกจากพวกโคสุเกะสามคน รุ่นพี่นาคาจิมะกับคุณคาวากุจิ ก็มีรายชื่อของโอโตเมะกับอันนะเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน
โอโตเมะได้มาเมื่อสามสัปดาห์ก่อน ส่วนอันนะได้มาเมื่อสองวันก่อน
ผมเปิดแชทของอันนะที่ขึ้นว่ามีข้อความยังไม่ได้อ่าน เปิดขึ้นมาเป็นภาพของเธอกับเพื่อนๆ ข้างใต้รูปมีข้อความว่าเพื่อนของฉันอยากได้รูปของรุ่นพี่ค่ะ ให้ดูได้มั้ยคะ?
[‘ยัยนี่มีรูปผมตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?’]
ผมพิมพ์ข้อความตอบเธอไปและเธอก็พิมพ์ตอบกลับมาทันที
[‘ว่างซินะเนี่ย’]
หลังจากไล่ให้อันนะไปเตรียมตัวเรียนแล้วผมก็เปิดแชทที่คุยกับโอโตเมะขึ้นมา
ข้อความสุดท้ายยังคงเป็นข้อความที่เธอส่งมาเมื่อเช้า
[‘น่าจะยุ่งจริงๆ แหละ’]
ผมปิดแชทแล้วหลับตาลง กะว่าจะงีบสักเล็กน้อยก่อนเข้าเรียน แต่รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นเพื่อนๆ นอนกันอยู่ตรงนั้น ส่วนคาบบ่ายก็หมดไปสองคาบแล้ว
—
หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยผมกับรุ่นพี่นาคาจิมะก็มานั่งเล่นเกมกันที่ห้องของรุ่นพี่ แน่นอนว่าสัปดาห์นี้ผมก็มาค้างบ้านรุ่นพี่เหมือนเดิม
ครอบครัวของรุ่นพี่ใจดีกันทั้งบ้าน พ่อกับแม่ของรุ่นพี่ที่เอ็นดูผมเหมือนเป็นคนในครอบครัว ส่วนรุ่นพี่นาคาจิมะถึงจะชอบสั่งให้ผมทำโน่นนี่แปลกๆ ไปบ้าง แต่ผมก็รู้ว่าเขาไม่ได้คิดร้ายกับผม อารมณ์น่าจะประมาณว่าถ้าผมมีพี่ชายมันก็น่าจะเป็นแบบนี้ อะไรแบบนั้นรึเปล่า
เราเล่นเกมกันพอหอมปากหอมคอก็ชวนกันเข้านอน สาเหตุไม่ใช่เพราะง่วง แต่เพราะคุณคาวากุจิโทรมา รุ่นพี่เลยไปสวีทกับแฟนและทิ้งผมให้เก็บเครื่องเล่นคนเดียว
จะว่าไปคุณคาวากุจิเองก็ตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยอยู่เหมือนกัน ตั้งอกตั้งใจกันทั้งคู่แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะดูแลเอาใจใส่กัน เห็นพวกเขาแบบนั้นแล้วผมก็อดอิจฉาไม่ได้
[‘เมื่อก่อนเราก็มีแบบเขานินะ หึๆ แค่นี้น่ะ ไม่น่าอิจฉาหรอก’]
กล่อมตัวเองพลางเก็บเครื่องเกมเข้าที่ แล้วจู่ๆ โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นมา
[‘หืมมม..?’]
แปลกใจที่มีคนโทรมา ปกติคนที่จะโทรหาผมมีไม่กี่คน และทุกคนจะรู้ว่าผมอยู่บ้านรุ่นพี่นาคาจิมะในช่วงสุดสัปดาห์ เพราะงั้นพวกเขาจะเลี่ยงไม่โทรหาผมในช่วงกลางคืน
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หน้าจอแสดงรูปหมีสีน้ำตาลปนเหลืองพร้อมชื่อคุ้นตาที่เห็นมาหลายครั้ง
ผมขออนุญาตรุ่นพี่ไปรับโทรศัพท์ข้างนอกเพราะไม่อยากรบกวนตอนรุ่นพี่คุยกับแฟนสาว
“ว่าไง?”
“อ๊ะ นึกว่าหลับแล้วซะอีก”
“ถ้าคิดว่าหลับแล้วจะโทรมาทำอะไร?”
“นั่นซินะ…”
ปลายสายเงียบไป หรือเมื่อกี้ผมพูดแรงไปหรือเปล่านะ?
“เอ่ออ นายจะมางานวัฒนธรรมโรงเรียนฉันมั้ย?”
“อะไร จู่ๆ ก็ถาม”
“ถามไม่ได้หรือไงยะ”
“ก็ได้แหละ อืมมม… นั่นซินะ ฉันต้องติวให้รุ่นพี่นาคาจิมะด้วย คงไม่ได้ไปหรอก”
ปลายสายเงียบไปอีกครั้ง…
“โอโตเมะ?”
“อื้ออ… นั่นซินะ งั้นฉันไปนอนก่อนนะ ง่วงแล้ว”
“แล้วเธอจะโทรมาทำไม ง่วงก็ไปนอนได้แล้ว”
“อืออ ฝันดี”
“อ่า”
ผมมองสายโทรศัพท์ที่เพิ่งวางสายไป ใช้เวลาคุยกันไม่ถึงสามนาทีด้วยซ้ำ
เหมือนโอโตเมะจะโทรมาเพื่อถามว่าผมจะไปงานวัฒนธรรมของโรงเรียนเธอหรือเปล่าแค่นั้น
เอาจริงๆ ผมก็อยากไปนะ งานวัฒนธรรมของโรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะได้ชื่อว่าเป็นงานวัฒนธรรมที่นักเรียนทั้ง ม.ต้น ม.ปลาย อยากเข้าร่วมมากที่สุดในภูมิภาค
เป็นงานใหญ่ที่จัดเพียงแค่วันเดียว เพราะฉะนั้นทั้งนักเรียนและคณะครูจึงทุ่มเทให้งานนี้กันมาก
แต่ที่นั่นมีโจทก์เก่าอยู่เยอะ หลายคนก็เคยรู้จักกันมาตั้งแต่ตอน ม.ต้น ถ้าไปเจอกันคงจะวุ่นวายแน่ๆ เพราะงั้นเลี่ยงได้ก็เลี่ยงดีกว่า
ผมกลับเข้ามาให้ห้องก็เห็นว่ารุ่นพี่คุยโทรศัพท์อยู่เลยล้มตัวนอนบนฟูกพลางเล่นโซเชียลไปพลางๆ
“ใครโทรมาหรอ? มีธุระอะไรด่วนหรือเปล่า?”
รุ่นพี่นาคาจิมะถามผม ไม่รู้ว่าเขาคุยโทรศัพท์เสร็จตอนไหนเหมือนกัน
“ไม่มีอะไรหรอกครับ โอโตเมะโทรมาน่ะ”
โอ้ววว…หรอออ…
รุ่นพี่นาคาจิมะทำน้ำเสียงเสียงแปลกๆ ทำเอารู้สึกอยากขยี้รอยยิ้มรู้ทันนั่นสุดๆ ไปเลย แต่ผมก็ยังเป็นคนที่รู้จักเจียมตนอ่ะนะ โชคดีไปนะครับรุ่นพี่
“แค่ถามว่าจะไปงานวัฒนธรรมที่โรงเรียนหรือเปล่าน่ะครับ”
“เหหห… งั้นหรอๆๆ งี้นี่เองๆๆ”
รุ่นพี่นาคาจิมะพูดเองเออเองอยู่คนเดียวจนผมงงว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ผมเพิ่งพูดไปว่าอะไร
พอถามไปว่ารุ่นพี่พูดอะไรน่ะ เขาก็ยิ้มแฉ่งตอบกลับมา
“โอโตเมะคงจะเตรียมบัตรเข้างานไว้ให้นายแล้วน่ะ”
“บัตรเข้างาน…?”
“นายไม่รู้หรอว่างานวัฒนธรรมของโรงเรียนฮิบิยะต้องได้รับบัตรเชิญจากนักเรียนในโรงเรียนถึงจะเข้าไปได้น่ะ ถึงจะมีโควตาให้นักเรียนจากโรงเรียนมัธยมต้นอยู่แล้วบ้าง แต่คนนอกน่ะยังไงก็ต้องมีบัตรนะ”
“อ่ออ… ก็เคยได้ยินมานะครับ”
“ใช่มะๆ เดี๋ยวโอโตเมะจังคงจะหาบัตรมาให้นายนั่นแหละ สบายใจได้”
“แต่ผมไม่ได้จะไปงานนะครับ”
“อ้าว ทำไมอ่ะ?”
“เอ๋? ก็เราต้องติวกันนิครับ?”
“ห๊ะ?”
รุ่นพี่ลุกพรวดขึ้นมาจากที่นอน ผมเองก็เด้งพรวดขึ้นมาจากฟูกนอนตามไปด้วย
…ทำอะไรของเขาเนี่ย ตกใจหมดเลย
“วันนั้นฉันไม่ติวกับนายหรอกนะ ฉันจะไปเดตกับมินะ นายรู้มั้ยว่านี่มันงานวัฒนธรรมครั้งสุดท้ายของแฟนฉันแล้วนะ นี่นายยังจะให้ฉันมาอยู่ติวกับนายอีกหรอ นายนี่มัน…”
“เอ๊ะ? เออออ๋…???”
“ยังจะมาเอ๋ เจ้าบ้าเอ้ย!!”
รุ่นพี่กำหมัดขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อาการบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังระงับอาการอยากจะทุบตีผมอย่างเต็มที่ แน่นอนว่าการขอโทษเป็นทางออกเดียวของผมในตอนนี้
หลังกล่อมรุ่นพี่จนสงบลงแล้วเราก็ต่างคนต่างนอน คิดๆ ดูแล้วผมเองก็โง่เง่าเหมือนกันที่ไปใช้ข้ออ้างแบบนั้นในการโกหกโอโตเมะเพื่อที่จะเลี่ยงไม่ต้องไปโรงเรียนของเธอ
โอโตเมะรู้อยู่แล้วว่ารุ่นพี่นาคาจิมะเป็นแฟนกับคุณคาวากุจิ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่รุ่นพี่จะไม่ไปงานวัฒนธรรมของโรงเรียนแฟนสาวตัวเอง และถ้าไปงานก็ไม่ทางที่จะมาติวกับผมได้อยู่แล้ว
โอโตเมะ… เธอต้องรู้แน่ว่าผมโกหก
ที่เงียบไปตอนคุยกันนั่นก็คงจะรู้ตัวแล้วแต่ไม่พูดอะไร
อาาา… นี่ผมทำบ้าอะไรลงไปเนี่ย ทั้งที่คืนนั้นก็เล่าให้เธอฟังไปตั้งขนาดนั้น ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงต้องยังมาปิดบังเธออีกล่ะ ยังไงซะก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอะไรเลยแท้ๆ
บ่นตัวเองในความคิดไปพลางหาวิธีขอโทษโอโตเมะไปพลาง นอนกระสับกระส่าย ขยุกขยิกยุกยิกจนรุ่นพี่นาคาจิมะต้องลุกมาถามว่าเป็นอะไร
[‘เป็นเอาหนักเลยนี่หว่าเรา ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ผู้หญิงคนนั้นเข้ามามีอิทธิพลต่อความคิดตัวเองจนทำให้ร้อนใจได้ขนาดนี้’]
ผมคิดย้อนกลับไปยังช่วงเวลาต่างๆ ที่ได้เจอกับโอโตเมะ ตั้งแต่ช่วงเวลาที่พูดได้เต็มปากว่าไม่ชอบยัยผู้หญิงคนนี้จนมาถึงช่วงเวลาที่ยอมเอ่ยปากเล่าเรื่องที่ไม่เคยแม้จะบอกเล่าให้ใครฟัง
[‘ก็เพราะยัยนั่นชอบทำตัวแบบนั้นล่ะนะ เพื่อนกันก็ไม่ใช่แต่ทำตัวแบบนั้นเป็นใครก็ต้องเผลอคิดกันบ้างนั่นแหละ’]
ใช่ ผมเผลอคิด…
[‘งั้นก็เลิกคิดเถอะ ขืนให้ยัยนั่นรู้มีหวังคงหยีเอาแน่ๆ อีกอย่างเรื่องพวกนี้น่ะ รอให้หายดีก่อนค่อยว่ากัน’]
เพราะรู้ดีว่าการคิดไปเองคนเดียวมันอันตราย ถ้าหยุดไว้แค่ตรงนี้ก็คงไม่เจ็บอีก เพราะงั้น…