ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 9 สัปดาห์ที่ 9 อาคิยามะ เออิชิ (2)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 9 สัปดาห์ที่ 9 อาคิยามะ เออิชิ (2)
สุดสัปดาห์ที่ควรจะเป็นวันหยุดพักผ่อนของผมหมดไปการเคี่ยวกรำรุ่นพี่นาคาจิมะในการเตรียมตัวสอบ และในวันนี้เราก็จะได้รู้กันแล้วว่าจะจ่าหรือจะหมู่
การออกเดินทางจากบ้านรุ่นพี่ไปโรงเรียนไม่ได้ยุ่งยากลำบากอะไร ติดแค่ว่าต้องตื่นเช้ากว่าปกตินิดหน่อย คือประมาณ 1 ชั่วโมง
หลังจัดการภารกิจส่วนตัวและอาหารเช้าที่แม่รุ่นพี่ทำให้ เราทั้งคู่ก็ตรงไปที่สถานีรถไฟเพื่อไปโรงเรียน เบ็ดเสร็จรวมๆ แล้วใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ มาทันก่อนประตูโรงเรียนจะปิด และถ้าออกแรงวิ่งนิดหน่อยจะทันคาบโฮมรูมแบบสบายๆ แต่ถ้าเดินทอดน่องกินลมชมวิวไปเรื่อย ก็อาจจะสายเอาได้เหมือนกัน
ผมเอ่ยลารุ่นพี่นาคาจิมะตรงหน้าทางแยกระหว่างอาคารแล้วเดินตรงเข้าอาคารเรียนสำหรับปีหนึ่ง
จนถึงตอนนี้ผมได้เข้าเรียนที่อาคิรุไดมาเกือบ 2 เดือนแล้ว สำหรับการปรับตัวเข้ากับโรงเรียนต้องเรียกว่าไม่มีปัญหาทั้งการเรียนและการคบเพื่อน แต่สำหรับสายตาที่ลอบมามองจากที่ต่างๆ ในโรงเรียนนี่ทำยังไงก็ไม่ชินสักที
โคสุเกะกับโมโมสุเกะบอกว่าให้ปล่อยวาง ถ้าเราเลิกสนใจ อะไรๆ ก็แค่ผายลม ผมถึงกับนั่งงงว่าสองคนนี่ไปจำแนวคิดนี้มาจากไหน โดยเฉพาะโคสุเกะที่ก่อนหน้านี้โวยวายว่าตัวเองกำลังโดนล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวอยู่
[‘ต่อให้ผายลม แต่ถ้ามีเสียง มีกลิ่น มันก็ต้องสนใจรึเปล่า?’]
ตอนนั้นผมค้านแนวคิดของเพื่อนอยู่ในใจ ก่อนหันไปคุยกับจิน เพื่อนเพียงคนเดียวของผมที่ไม่ค่อยจะพูดจาไร้สาระ คือเอาจริงๆ หมอนี่แทบจะไม่พูดเลย
เดินขึ้นบันไดที่จะพาผมไปที่ห้องเรียน สมองลองจินตนาการว่าสายตาที่มองมาเป็นเพียงผายลมอย่างที่เพื่อนว่า แต่เหมือนจะไม่ช่วยอะไร แถมทำให้สนใจสายตาเหล่านั้นมากกว่าอีก
ผมถอนหายใจส่ายหัว เมื่อไปถึงห้องเรียน พอเปิดประตูก็พบว่าเพื่อนส่วนใหญ่มากันแล้ว
[‘ก็เกือบจะเริ่มโฮมรูมแล้วนี่นะ’]
“งายยย..เออิชิ สายเชียวนะวันนี้”
โคสุเกะร้องทักผมจากอีกฟากนึงของห้อง ผมทักทายกลับพร้อมกับเดินไปที่โต๊ะของตัวเอง พวกโคสุเกะเองก็เดินมาหาผมที่โต๊ะ
“นายโดดซ้อมอีกแล้วนะ”
โมโมสุเกะพูดกับผม
“ขอโทษที รุ่นพี่นาคาจิมะให้ฉันไปช่วยติวหนังสือให้น่ะ”
ผมขอโทษเขาแล้วก็อธิบายเหตุผลที่ไปซ้อมบาสเกตบอลกับเพื่อนๆ ไม่ได้
“ฉันน่ะ ไม่เป็นไรหรอก แต่คนอื่นๆเริ่มบ่นกันแล้ว”
“อ่า เย็นนี้ตอนซ้อมเดี๋ยวฉันขอโทษทุกคนอีกทีละกัน”
ผมบอกโมโมสุเกะไป เขาพยักหน้ารับทราบ แล้วทำท่าพยักพเยิดไปทางโคสุเกะที่ตอนนี้ผมมองตาแป๋ว
“นี่…เออิชิเพื่อนเลิฟ นายมีบัตรเข้างานเทศกาลดนตรีฤดูฝนจริงๆ หรอ?”
“เปล่า ไม่มีอ่ะ”
ผมปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด
“เอ๋…แต่วันก่อนนายบอกว่าแฟนของรุ่นพี่นาคาจิมะจะให้มานิ”
“เขาให้รุ่นพี่ ถ้ารุ่นพี่สอบไม่ตกอ่ะนะ”
ผมก้มหน้าเตรียมหนังสือเรียนและตอบโคสุเกะด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่หลังตอบไปแล้วกลับไม่ได้ยินโคสุเกะว่าอะไรต่อ ผมเลยเงยหน้าขึ้นไปมอง ซึ่งสิ่งที่รอผมอยู่คือสายตาพิฆาตจากเพื่อนทั้งสามคน
[‘เอ๊ะ!? จินก็เอากับเขาด้วยหรอ?’]
ผมไม่แปลกใจที่โคสุเกะกับโมโมสุเกะจะมองผมแบบกดดันแบบนั้น แต่การที่จินผู้ซึ่งหน้านิ่งทุกสถานการณ์ร่วมวงกับอีกสองคนนี่ถือว่าแปลก
“อะไร?”
ผมถามออกไปทั้งที่รู้ความหมายของสายตานั้น
“ยังจะมาถามอีก นายไม่รู้จริงๆ หรอว่างานเทศกาลดนตรีฤดูฝนของเมืองเรา จำกัดบัตรเข้าร่วมงาน นายนี่มัน…”
โคสุเกะร่าวยาวใส่ผมเป็นชุด แต่มีรึที่ผมจะมองเหตุผลของเจ้าพวกนี้ไม่ออก
[‘กะไปเหล่สาวแน่ๆ ไอ้พวกนี้’]
ผมรู้สึกปวดหัวกับสหายผู้เดาทางง่ายทั้งสามของผมเล็กน้อย ใจจริงผมก็ไม่ได้อยากใจร้ายกับเพื่อนหรอกนะ แต่ว่าตัวผมยังไม่รู้เลยว่าจะไปหาบัตรเข้างานจากที่ไหน แล้วจะไปมีบัตรได้ยังไง
“พวกนายลองไปถามรุ่นพี่นาคาจิมะดูซิ เผื่อจะหาให้พวกนายได้”
โคสุเกะเบ้ปากทันที
“นายก็พูดง่ายซิ นายสนิทกับรุ่นพี่นิ แต่พวกฉันไม่ได้สนิทด้วย นายไม่รู้หรือไงว่าในโรงเรียนนี้รุ่นพี่นาคาจิมะเป็นเหมือนราชาไปแล้ว ส่วนนายน่ะคนอื่นเขาเรียกว่าคนสนิทของราชา”
ได้ยินโคสุเกะว่าแบบนั้นแล้วก็รู้สึกแปลกๆ ที่ตัวตัวเองได้ฉายาใหม่มาอีกแล่ว แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ระยะหลังมานี่รุ่นพี่มาหาผมที่ห้องบ่อยๆ แถมชอบลากไปโน่นมานี่ ล่าสุดนี่ถึงขนาดลักพาตัวผมไปช่วยติวหนังสือถึง 2 วัน 2 คืน
“แต่สำหรับฉันน่ะนะ รุ่นพี่นาคาจิมะเนี่ยเกินกว่าราชาแล้ว มีแฟนสาวเรียนอยู่ที่ฮิบิยะ ท่านศาสดาทำได้ยังไงเนี่ย”
โมโมสุเกะพูดด้วยสายตาคลั่งไคล้ พอมองไปที่โคสุเกะกับจิน สองคนนั้นก็มีสายตาเหมือนเทิดทูนอะไรสักอย่าง
ตั้งแต่รู้ว่ารุ่นพี่นาคาจิมะมีแฟนเป็นสาวสวยที่เรียนอยู่โรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะ เจ้าสามคนนี้ก็เคารพเทิดทูนรุ่นพี่นาคาจิมะยังกับเทพเจ้า ถึงรุ่นพี่จะแค่หัวเราะบอกไม่เป็นไร แต่ผมคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเจ้าพวกนี้อาจจะยกรุ่นพี่เป็นเทพเจ้าจริงๆ
ผมทำได้เพียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเป็นจังหวะเดียวกับที่ออดเข้าเรียนดังขึ้นพอดี สหายทั้งสามของผมจึงยอมล่าถอยกลับไปแต่ก็ยังฝากทิ้งท้ายไว้ว่าตอนเที่ยงเจอกัน
[‘เทศกาลดนตรีฤดูฝนงั้นหรอ ยัยนั่นก็เคยบอกว่าอยากไปนินา ครั้งนี้จะไปหรือเปล่านะ? วันก่อนก็เหมือนจะไปเที่ยวกับเพื่อนๆ หมอนั่นก็ไปด้วย ตอนนี้จะคบกันอยู่รึเปล่านะ?’]
เสียงของอาจารย์เคนทาโร่ดังแทรกเข้ามาในหูเป็นระยะ แต่ผมไม่ได้ตั้งใจฟังนัก ในหัวคิดวนเวียนถึงภาพที่เห็นในสถานีรถไฟเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว กลุ่มเด็กนักเรียน ม.ปลาย 9 หรือ 10 คน ในสถานีรถไฟใต้ดิน
[‘ว่าแต่โลกมันกลมจริงๆ เลยนะ ยัยนั่นเองก็ไปอยู่กับเขาด้วย’]
“รู้สึกจะเจอบ่อยจังแฮะ”
ผมพึมพำคนเดียวระหว่างรอสอบวิชาแรก
—
การสอบผ่านพ้นไปแล้ว แต่ความวุ่นวายในชีวิตผมยังไม่หมดไป ถึงการสอบจะทำอะไรผมไม่ได้ แต่พวกโคสุเกะสามคนทำได้
ผมค่อนข้างปวดหัวกับการตามตื้อของเจ้าพวกนี้พอสมควร สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องไปปรึกษารุ่นนาคาจิมะว่าพอมีทางช่วยหรือไม่ ท้ายที่สุดแล้วเรื่องก็ถึงคุณคาวากุจิ เธอไม่ได้ว่าอะไร บอกแค่ว่าถ้าสอบผ่านทุกวิชาด้วยคะแนนน่าประทับใจจะลองคิดดู
““ “เทพธิดาจงเจริญ” ””
เจ้าพวกบ้านั่นยกคุณคาวากุจิเป็นเทพธิดาไปแล้ว
แต่คนที่ออกอาการกระวนกระวายมากที่สุดก็คือรุ่นพี่นาคาจิมะเนื่องจากผลคะแนนทั้งหมดจะออกในสัปดาห์หน้า ตอนนี้รุ่นพี่จึงดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก
“ทำข้อสอบไม่ได้หรอครับ?”
ผมถามรุ่นพี่ในช่วงพักของการเล่นบาสเกตบอลหลังเลิกเรียน สัปดาห์หน้าก็จะงานกีฬาบอลแล้ว ผมกับโมโมสุเกะและเพื่อนในห้องที่ลงชื่อแข่งบาสเกตบอลจึงมาซ้อมกันหลังเลิกเรียน ส่วนรุ่นพี่นาคาจิมะลงแข่งทุกรายการแต่กลับมานั่งกระสับกระส่ายอยู่กับผม
“ฉันคิดว่าทำได้ ไม่น่ามีวิชาไหนตก แต่ก็ไม่มั่นใจนัก หนนี้มินะกดดันฉันมาก สุดสัปดาห์นี้ก็ไม่ยอมมาเจอกัน ถ้าฉันตกสักวิชานึงเธอจะไม่ยอมมาเชียร์ฉันในงานกีฬา แถมไม่ให้บัตรเข้างานเทศกาลดนตรี แบบนี้แล้วจะเจอกันเมื่อไรล่ะ”
รุ่นพี่นาคาจิมะพลั่งพลูความในใจออกมารวดเดียวแบบไม่หายใจ พูดจบก็สูดหายใจลึกๆกำหมัดแน่น
“หรือว่ามินะกำลังหาวิธีถอยห่างจากฉัน?”
ผมมองหน้ารุ่นพี่นาคาจิมะที่ดูแออ่อนแตกต่างจากสีหน้าของเทพสงครามผู้กำราบนักเลงทั้งโรงเรียนเมื่อเดือนที่แล้วชนิดเป็นคนละคน ความรักนี่มีอิทธิพลเหนือคนที่มีมันอยู่จริงๆ
“รุ่นพี่รู้จักกับคุณคาวากุจิมานานขนาดไหนแล้วหรอครับ?”
ผมเอ่ยถามรุ่นพี่นาคาจิมะ รุ่นพี่หันมามองผม แววตาของรุ่นพี่ดูกังวลแต่เขาก็เล่าเรื่องของตนให้ฟัง
“ฉันเจอเธอครั้งแรกตอน ป.4 ละมั้ง ตอนนั้นฉันกำลังดูนิตยสารแมวอยู่ที่สวนสาธารณะแถวๆ บ้าน บอกตรงๆ ว่าอ่านไม่ออกหรอกได้แต่ดูภาพ มินะเธอเดินมาจากไหนไม่รู้ มาขอดูรูปแมว หลังจากนั้นฉันกับเธอก็กลายมาเป็นเพื่อนกัน”
รุ่นพี่เล่าเรื่องราวของตนเอง แววตาหวนรำลึกถึงอดีต มุมปากยกยิ้มน้อยๆ ดูเป็นหนุ่มขี้เล่นแต่ก็ดูอบอุ่น
“สมัยนั้นสนุกมากเลยนะ พวกเราสามคนมักเล่นสนุกด้วยกัน ก่อเรื่องก่อราวไปทั่ว แต่คนที่โดนดุส่วนใหญ่จะเป็นฉันคนเดียวล่ะนะ”
รุ่นพี่หัวเราะเล็กน้อย
“พอขึ้น ม.ต้น พวกเราก็แยกกันไปคนละโรงเรียน แต่พอวันหยุดมินะก็มักจะมาเล่นที่บ้านฉัน บางทีหลังเลิกเรียนเราก็มาเจอกันพวกเราเคยไปดูแมวที่คาเฟ่แมวด้วยกันด้วยนะ มินะชอบแมวมาก ฉันเคยคิดนะว่าเธอเองก็ดูเหมือนแมว เป็นแมวที่ดูสวย สง่างาม ฮิๆๆ”
“คุณคาวากุจิรู้ไหมครับเนี่ยว่ารุ่นพี่คิดว่าเธอเหมือนแมว”
“หยุดความคิดพิเรนทร์ของนายซะ”
รุ่นพี่หันมายิ้มให้ผม แต่เป็นการแสยะยิ้ม ไม่ใช่รอยยิ้มอ่อนโยน
“ตอน ม.ต้น ฉันค่อนข้างเกเร มีเรื่องทะเลาะวิวาทบ่อยๆ เลยไม่ค่อยมีใครคบ เอาจริงๆ เรียกว่าไม่มีเพื่อนเลยก็ได้ แต่ฉันก็ไม่ได้เหงาหรอกนะ เพราะพอวันหยุดแก๊ง 3 คนเราก็จะไปตะลอนเที่ยวเล่นด้วยกัน มันสนุกมาก ในช่วงเวลานั่นแหละที่ฉันคิดว่าตัวเองตกหลุมรักมินะ”
ใบหน้าของรุ่นพี่นาคาจิมะดูอ่อนโยน รอยยิ้มละไมเล็กๆ ประดับริมฝีปาก ดูแตกต่างจากมาดขี้เล่นตามปกติ
[‘ทำหน้าแบบนี้ซินะ คุณคาวากุจิถึงหลงเอา’]
“หลังจากนั้นก็ตามเคยเล่าให้นายฟัง ฉันก่อเรื่องใหญ่โตจนหาที่เรียนในเมืองนั้นไม่ได้ สุดท้ายก็มาอยู่นี่”
รุ่นพี่นาคาจิมะสรุปตัดจบเอาแบบถื่อๆ ใจจริงผมยังมีข้อสงสัยอยู่ แต่ในเมื่อรุ่นพี่ไม่อยากเล่า ผมก็จะไม่ถาม
“รุ่นพี่ว่าคุณคาวากุจิเป็นคนดีใหมครับ?
“หืมม…นายก็น่าจะรู้นิ ทำไมถึงถามล่ะ”
“งั้นเปลี่ยนคำถามใหม่ครับ รุ่นพี่คิดว่าตัวเองดีพอที่จะช่วยเหลือคุณคาวากุจิหรือยังครับ?”
แววตารุ่นพี่นาคาจิมะวาวโรจน์ขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำถามของผม แต่ผมไม่ได้สะทกสะท้านอะไรนัก เพราะผมคิดว่าตัวเองพอจะมองจุดมุ่งหมายของคุณคาวากุจิออก
“ผมคิดนะว่าคนที่เป็นคู่รักกันคือคนที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันในทุกๆ เรื่อง ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายช่วยอยู่คนเดียวหรือจะเรียกว่าเป็นฝ่ายให้มากรับอยู่บ่อยครั้ง วันนึงความรู้สึกที่ว่ารักเราไม่เท่ากันก็จะก่อตัวขึ้นมา และถ้ามันไปถึงจุดนั้นแล้วอะไรๆ ก็อาจจะสายไปแล้วก็ได้ครับ”
ผมมองตารุ่นพี่ แววตาวาวโรจน์ในตอนแรกเริ่มอ่อนลงแล้ว ผมจึงเริ่มพูดต่อ
“พ่อแม่ผมน่ะเจอกันเพราะเรื่องงาน แต่รักกันเพราะทั้งคู่รู้สึกเท่าเทียมกัน แม่ผมเคยสอนนะว่าถ้าจะหาเจ้าสาว ให้พยายามหาคนที่ศีลเสมอกับเราให้มากที่สุด ตอนนั้นผมก็เห็นด้วยนะ เพราะมีพ่อกับแม่เป็นตัวอย่างแถมครอบครัวเราก็มีความสุขมากด้วย”
ผมเว้นจังหวะหายใจนิดนึงแล้วพูดต่อ
“แต่มาตอนนี้ผมถึงได้เข้าใจว่านั่นมันไม่พอ เพราะเราไม่ได้อยู่กันแค่สองคน แต่ต้องอยู่กับคนในสังคมอีกมากมาย ถ้าเราทำให้คนอื่นยอมรับไม่ได้ว่าเราคู่ควรกับเขา คำสบประมาทต่างๆ นาๆ ก็จะถาโถมเข้ามา คุณคาวากุจิอาจจะไม่ว่าอะไร แต่รุ่นพี่เชื่อผมเถอะ เธอไม่อยากให้ใครมาสบประมาทรุ่นพี่หรอก หรือรุ่นพี่คิดว่าไงครับ?”
ผมอธิบายร่ายยาวไปมากมาย ไม่รู้รุ่นพี่นาคาจิมะจะเข้าใจบ้างหรือเปล่า ตอนนี้รุ่นพี่กำลังก้มหน้าไม่พูดไม่จา หรือว่าผมจะพูดมากเกินไป
“พูดซะดิบดี ทำยังกับตัวเองมีแฟนงั้นแหละ”
ในที่สุดรุ่นพี่ก็ตอบกลับมา รอยยิ้มขี้เล่นปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง เห็นแบบนั้นผมก็โล่งใจ เลยตอบรุ่นพี่กลับไปด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
“ก็เคยมีบ้างแหละครับ”
“ฮ่าๆๆ อะไรล่ะนั่น”
ผมหัวเราะผสมโรงไปกับรุ่นพี่ ความกังวลใจของรุ่นพี่ดูแล้วคงหดหายไปเยอะ เราสองคนลงสนามไปเล่นบาสแทนคนที่มาพักแล้วรุ่นพี่นาคาจิมะก็โชว์ทักษะบาสเกตบอลชนิดที่ทำให้รุ่นน้องคนอื่นมองตาค้าง โมโมสุเกะเดินเข้ามาสะกิดผมเบาๆ
“งานบอลนี้ ใครจะเอาพี่แกลงล่ะน่ะ”
ผมยิ้ม รู้สึกสงสารพวกปี 3 ที่ต้องมาเจอกับรุ่นพี่นาคาจิมะจริงๆ