ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 106 เพลงฉินหนึ่งประชันห้า
ฉินม่านอวิ๋นมองผู้อาวุโสทั้งห้า “ข้าแจ่มแจ้งดีว่ากำลังทำอะไร! อีกทั้งพวกท่านไม่เชื่อแม้แต่อาจารย์เชียวหรือ”
ผู้อาวุโสใหญ่เงียบงันอยู่ชั่วขณะ ถอนหายใจแผ่วเบา “ม่านอวิ๋น อาจารย์ของเจ้าเกรงว่าจะกำลังข้ามผ่านปริศนาทารุณจิตเต๋าอยู่”
“อะไรนะ” ฉินม่านอวิ๋นร้องออกมาด้วยความตกใจ
ลั่วซืออวี่และจักรพรรดิลั่วสีหน้าพลันถอดสี
กระนั้นปริศนาทารุณจิตเต๋านี้มิใช่คำศัพท์ใหม่สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนโดยทั่วไป เป็นเพราะปริศนาทารุณจิตเต๋านั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป สถานเบาก็คือ อจิตเต๋าเสียหาย สถานหนักก็คือจิตเต๋าถูกทำลาย สำหรับผู้ฝึกตนขั้นเหอถี่เต็มขั้น ปริศนาทารุณจิตเต๋าก็เปรียบได้กับยันต์สาปแช่งดีๆ นี่เอง !
หลังจากขั้นเหอถี่ ก็มาถึงตู้เจี๋ย!
สิ่งที่เรียกว่าตู้เจี๋ย ย่อมหมายถึงระดับที่ต้องก้าวผ่านความยากลำเค็ญจึงจะไปถึง
อุปสรรคแรกก็คือปริศนาทารุณจิตเต๋า ถ้าหากจิตเต๋าไม่แน่วแน่ก็ย่อมแหลกสลาย จิตเต๋ามลายสิ้นลม!
และต่อให้ผ่านปริศนาทารุณจิตเต๋ามาแล้ว ก็ยังมีอุปสรรคที่สอง นั่นคือด่านเคราะห์สวรรค์!
สรุปแล้ว อันตรายเหลือคณา
เพราะฉะนั้น ถ้าหากมิได้สิ้นไร้ไม้ตอกจริง ผู้บำเพ็ญตนส่วนมากย่อมหยุดอยู่ที่ขั้นเหอถี่ระดับสมบูรณ์ พยายามข่มระงับไว้ไม่ให้ทะลวงขั้นขึ้นไปอี ก
ครั้งก่อนบทเพลงของหลี่เนี่ยนฝานทำให้เหยาเมิ่งจีซาบซึ้งเหลือคณา ข่มระดับพลังไว้ไม่อยู่ จึงได้ก้าวเข้าสู่ขั้นตู้เจี๋ย!
“ประมุขข้ามผ่านจากขั้นเหอถี่ไปยังตู้เจี๋ยย่อมน่าหวาดกลัว ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต อารามเต๋าหลินเซียนของพวกเราก็เข้าขั้นวิกฤตเช่นกัน บัดนี้ จะแบกรับเรื่องอื่นอีกไม่ได้”
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวอย่างหนักแน่น “ข้าคิดว่าปล่อยเรื่องนี้ไปก่อนเถิด ให้อาจารย์ของเจ้าผ่านอุปสรรคไปอย่างสบายใจ”
“ไม่ได้!”
ใครจะรู้ว่าฉินม่านอวิ๋นกลับส่ายหน้า เอ่ยเน้นทีละคำ “สถานการณ์เช่นนี้ พวกเราก็ยิ่งต้องทำเรื่องที่ปรมาจารย์
มอบหมายอย่างไม่ย่อท้อถอย!”
ผู้อาวุโสทั้งห้าล้วนมองไปยังฉินม่านอวิ๋นอย่างไม่กระจ่างชัด!
ฉินม่านอวิ๋นสีหน้าเยือกเย็น เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสทั้งห้า อาจารย์ของข้าจำต้องผ่านด่านเคราะห์สวรรค์ นอกจากพวก
ท่านทั้งห้าแล้ว ข้าก็นึกไม่ออกแล้วว่าจะมีผู้ใดคอยคุ้มครองอาจารย์ของข้าได้แล้ว!”
ผู้อาวุโสรองกล่าวอย่างฉงนสนเท่ห์ “เจ้าเชื่อใจปรมาจารย์ท่านนั้นมากหรือ”
“หากพวกท่านยังไม่เชื่อ”
ดวงตาของฉินม่านอวิ๋นหรี่ลงเล็กน้อย ค้อมกายลงพลางเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “ม่านอวิ๋นขอร้องให้ผู้อาวุโสทั้งห้าท่านชี้แนะด้วย!”
ผู้อาวุโสทั้งห้าสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด ต่างคนต่างมองหน้ากัน แล้วมองฉินม่านอวิ๋นอย่างตื่นอกตกใจ
จะเปรียบเทียบกับข้าเชียวหรือ
ผู้อาวุโสทั้งห้าขมวดคิ้วอย่างอย่างอดไม่ได้ จึงถามย้ำ “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะประชันกับพวกข้า”
ฉินม่านอวิ๋นพยักหน้า “ในเมื่อผู้อาวุโสทั้งห้าไม่เชื่อคำพูดของม่านอวิ๋น เช่นนั้นก็ทำได้เพียงใช้พลังมาเจรจาแล้ว
ข้าเพิ่งได้โน้ตเพลงของปรมาจารย์มาบทหนึ่ง ใคร่อยากขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสทั้งห้าสักหน่อย!”
“เหอะๆ โน้ตเพลงที่เพิ่งได้มาใหม่?” ผู้อาวุโสสามหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ม่านอวิ๋น เจ้าช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเกินไปแล้วกระมัง จะใช้โน้ตเพลง งที่เพิ่งได้ใหม่มาท้าทายพวกข้าหรือ ไร้เดียงสาเหลือเกิน”
ผู้อาวุโสสี่ขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าเชื่อมั่นปรมาจารย์ท่านนี้เกินไปแล้ว หรือว่าเพราะได้รับโน้ตเพลงของเขามา ถึงได้หยิ่ง
ผยองทะนงตน?”
“ปรมาจารย์ไหนเลยจะมาปรากฏตัวง่ายๆ ถึงแม้ประมุขจะอธิบายกับพวกข้าแล้ว แต่อารามเต๋าหลินเซียนก็ตกอยู่ในสภาวะไม่ปกติ ไม่อาจกระทำการใดโดยประมาท ท เอาเถอะ ให้พวกข้าดูสักหน่อยว่าปรมาจารย์ที่เจ้าว่าจะเก่งกาจสักแค่ไหนกัน!”
ผู้อาวุโสทั้งห้ามองฉินม่านอวิ๋น “เจ้าอยากประชันกับคนไหนในหมู่พวกข้าล่ะ”
ฉินม่านอวิ๋นหายใจเข้าลึก สายตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นคมกริบ ตอบอย่างมุ่งมั่น “ข้าขอท้าผู้อาวุโสทั้งห้าท่าน
พร้อมกัน!”
บทเพลงมีชื่อว่า ‘ลอบโจมตีสิบทิศ’!
ในเมื่อเป็นการลอบโจมตีสิบทิศ ข้าก็ไม่อาจทรยศชื่อนี้ได้!
อีกทั้ง…
ห้วงสำนึกของนางนึกถึงแผ่นหลังอันโดดเด่นของหลี่เนี่ยนฝานยามเล่นฉินอย่างอดไม่ได้ รวมไปถึงอาจารย์ของ
ตนซึ่งถ่องแท้ในมรรคายามบรรเลงฉิน จนไม่ลังเลที่จะยอมสละจิตเต๋าของตน เพื่อให้สัมผัสถึงมรรคาในบทเพลง
รุ่งอรุณกระจ่างในมรรคา ยามสายัณห์ม้วยมรณาไร้อาดูร!
ตนได้เรียนรู้จากอาจารย์มามากมายนัก จำต้องสำแดงความกล้าหาญและองอาจออกมา!
“เจ้าคนเดียวจะท้าพวกเราทั้งห้าคนหรือ?” สีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่มืดครึ้มลง “พวกข้าทั้งห้าร่ำเรียนเพลงฉินที่แตกต่างกัน เจ้ารู้ไหมว่านั่นหมา ายความว่าอะไร”
บทเพลงฉินทั้งห้าประเภทเป็นตัวแทนของห้าแนวทางที่แตกต่างกัน และนั่นหมายถึงมรรคาที่ต่างกันห้าประเภท!
ยามถูกล้อมโจมตี เพลงฉินใดเล่าจะต้านทานไหว
ผู้อาวุโสรองเอ่ยตำหนิ “ม่านอวิ๋น ต่อให้เจ้าได้พบปรมาจารย์จริง ความรู้กว้างไกล แต่ก็…ไม่ควรเย่อหยิ่งโอหังเช่นนี้!”
ฉินม่านอวิ๋นสีหน้าเรียบเฉย เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้เย่อหยิ่งโอหัง ประเดี๋ยวทุกท่านก็จะรู้เอง”
“ย่อมได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกข้าก็จะว่าตามที่เจ้าปรารถนา!” ผู้อาวุโสใหญ่ตัดสินเฉียบขาด กล่าวว่า “หวังว่าเจ้าจะทำให้พวกข้าตกตะลึงได้จริง !”
จักรพรรดิลั่วและลั่วซืออวี่สบตากันคราหนึ่ง ยังคงเงียบกริบ
เรื่องของอารามเต๋าหลินเซียน พวกเขาไม่อาจสอดมือเข้าไปข้องเกี่ยว ขณะเดียวกันก็สงสัยว่าโน้ตเพลงซึ่งคุณชายหลี่มอบให้จะเก่งกาจเพียงใดกัน ถึงกับ บทำให้ฉินม่านอวิ๋นคุยโวได้เพียงนี้
ส่วนใครจะมีชัยในการประชันครั้งนี้ อันที่จริงในใจของพวกเขาย่อมเอียงไปฝั่งฉินม่านอวิ๋น อย่างไรเสีย…นี่ก็เป็นโน้ตเพลงของคุณชายหลี่เชียวนะ!
ทั้งหกทะยานลำแสงขึ้นไปยังท้องนภากว้างเหนืออารามเต๋าหลินเซียน
ผู้อาวุโสทั้งห้าล้อมรอบฉินม่านอวิ๋น แลดูสง่างามแกร่งกล้า นั่งอยู่กลางอากาศราวกับมีเก้าอี้ที่มองไม่เห็นก็มิปาน
ฉินม่านอวิ๋นก็เช่นเดียวกัน
สายลมโหมคลั่งกลางความว่างเปล่า พัดชุดยาวสีขาว เรือนผมยาวปลิวไสวตามแรงลม แลดูประหนึ่งเทพเซียน
ภาพฉากนี้ย่อมดึงดูดสายตาของลูกศิษย์คนอื่นๆ ของอารามเต๋าหลินเซียนให้เงยหน้ามองขึ้นมา สีหน้าฉายแววตะลึงลาน
เทพธิดากำลัง…ประชันกับผู้อาวุโสแบบหนึ่งต่อห้า?
ว่าแต่ เป็นไปได้อย่างไรกัน?!
บ้าไปแล้ว!
เหลือเชื่อจริงๆ!
เมื่อรับรู้ถึงสายตาของบรรดาลูกศิษย์ ผู้อาวุโสใหญ่ก็ขมวดคิ้วน้อยๆ “อย่าได้เสียเวลา รีบประชันรีบจบเถิด”
สองมือของเขายกขึ้นเล็กน้อย ฉินโบราณซึ่งมองภายนอกเป็นลายเส้นตัวหนึ่งก็ลอยขึ้นเบื้องหน้า
ฉินม่านอวิ๋นและผู้อาวุโสอีกสี่คนก็นำฉินของตนออกมาเช่นเดียวกัน
ทั้งหกคนมิได้ลงมือประชันกันเดี๋ยวนั้น ทว่ายังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไอปราณเริ่มลอยล่องรอบกายของพวกเขาอย่างไม่อาจพรรณนาได้
สายลมหยุดลง
ผ่านไปสักพัก มือขวาของผู้อาวุโสใหญ่ก็ลากผ่านสายฉินอย่างรุนแรง
“เคร้ง!”
ทำนองฉินรื่นหูก็บรรเลงรินไหลดังสายน้ำจากขุนเขา บนเวหากว้าง หมู่เมฆวนตลบ เมฆขาวเริ่มแปรเปลี่ยนตาม
ท่วงทำนองเพลงฉินทีละชั้นๆ ก่อรวมเป็นรูปร่างหลายหลาก ท้ายที่สุดก็เปลี่ยนเป็นภูเขาสูงชันลูกหนึ่งซึ่งมีสายน้ำเทกระหน่ำลงมา!
สายชลรินไหลลงมาไกลสุดสายตา[1]
แรงลมโหมกระพือขึ้นมา พัดชุดยาวของผู้อาวุโสใหญ่จนโบกสะบัด กระนั้นเคราขาวของเขากลับเพียงไหวเบาๆ คล้ายว่าจะมิได้รับแรงปะทะใด
เพลงฉินนี้ไม่ได้รุนแรงแข็งกร้าว แต่กลับให้ความรู้สึกราวกับแหงนมองเทือกเขาสูง ประดุจปุถุชนคนหนึ่งกำลังปีนป่ายขึ้นยอดเขาสูงชันไม่รู้จบ ยิ่งข ขึ้นไปยิ่งเหนื่อย ยิ่งขึ้นไปยิ่งไร้ความเชื่อมั่น
“เคร้งๆๆ!”
จากนั้นผู้อาวุโสรองจึงเริ่มต้น สองมือดีดฉินอย่างเร็วไว
เรือนผมของเขาพลิ้วไหว โบกสะบัดสุดกู่ ราวกับเป็นผู้เฒ่าวิปลาส
เสียงเพลงฉินเร่งรัวและถี่กระชั้น เริ่มตะบี้ตะบันกู่ร้อง เฉกเช่นเหล่ามารร่วมเริงระบำ ปรารถนามนุษย์สักคนมาขบเคี้ยวเล่น
……………………………………………
[1] สายชลรินไหลลงมาไกลสุดสายตา มาจากบทกลอนชมน้ำตกหลูซาน (《望庐山瀑布》) ของหลี่ไป๋ พรรณาถึงความยิ่งใหญ่และงดงามของน้ำตก