ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 111 ยินดีบุกน้ำลุยไฟเพื่อปรมาจารย์
หลังจากที่ไอหมอกจางไป แสงสว่างเจิดจรัสขึ้นดังแสงตะวันส่องทะลุม่านหมอก ทิ่มแทงดวงตา
ลั่วซืออวี่และฉินม่านอวิ๋นตกตะลึงจนอ้าปากค้าง จ้องมองในหม้อเขม็ง
ก็เห็นว่าแสงสว่างนี้สว่างวาบแล้วค่อยๆ จางหาย เผยให้เห็นอาหารอันโอชะร้อนระอุอยู่ในหม้อ
น้ำแกงในหม้อมีมาก อีกทั้งยังดูใสชวนลิ้มลอง บนน้ำแกงไม่มีน้ำมันลอย นอกจากสีที่เปลี่ยนไป น้ำแกงก็ยังใสกระจ่าง มองจากภายนอกก็มองออกอย่างชัดเจนว่าในน้ำแกงไร้ซึ่งเศษซากใดเจื อปนจนเห็นไปถึงก้นหม้อ!
เนื้อของหอยเป๋าฮื้อเปลี่ยนแปลงไป เนื้อไม่แข็งอีกต่อไป แต่กลับขดม้วนน้อยๆ แลดูนุ่มนิ่มหนึบหนับ มีโอสถวิเศษหญ้าเซียนซอยละเอียดลอยอยู่ในน้ำแกงโดยรอบ
“ฟืดๆๆ”
ลั่วซืออวี่ยื่นหน้าเข้าไป พลางสูดลมหายใจอย่างหนักหน่วงตามควันซึ่งลอยออกมา ราวกับจะสูดกลิ่นทั้งหมดซึ่งลอบมากับอากาศลงปอดไป
หอมหวน หอมเหลือเกิน!
ต่อให้เป็นฉินม่านอวิ๋น ก็ยังรู้สึกว่าปากของตนเริ่มหลั่งน้ำลายออกมาอย่างรวดเร็ว จนแทบไหลย้อยออกมาที่มุมปากอย่างไรอย่างนั้น
กลิ่นหอมรัญจวนใจเช่นนี้ราวกับมีมือนับไม่ถ้วนไปดึงต่อมรับรสของนาง
นางเลียริมฝีปากของตน ดวงตางามพริ้งเพราตื่นตระหนกเหลือคณา
แม้ว่านางจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็นึกไม่ถึงว่าอาหารของปรมาจารย์จะหอมจรุงจิตถึงขนาด กลิ่นหอมเหลือเกินจนพานให้คิดว่าไม่น่าปรากฏบนโลกมนุษย์
นางคาดคิดไว้แล้วว่าอาหารของปรมาจารย์จะต้องไม่ธรรมดา แต่ครั้นถึงตอนนี้จึงได้พบว่าที่แท้ตนก็ประเมินต่ำเกินไป!
อาหารเลิศรสระดับนี้ ต่อให้ปราศจากพลังวิเศษ ก็ยังล้ำค่ากว่าสิ่งที่เรียกว่าวาสนาเสียอีก!
ถึงอย่างไร เมื่อได้กินอาหารอันโอชะนี้ ชั่วชีวิตก็นับว่าเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบแล้ว!
ยามนี้ เสี่ยวไป๋ก็ตักน้ำแกงใส่ลงในชามกระเบื้องเคลือบให้แต่ละคน น้ำแกงใสดุจน้ำเปล่า ไอร้อนและกลิ่นหอมกรุ่นกำจาย ตรงกลางมีเนื้อหอยเป๋าฮื้อชิ้นหนึ่งใส่ไว้อย่างสงบเงียบ ส่องประ ะกายวับวาวยั่วยวนใจ
ลั่วซืออวี่อดรนทนไม่ไหว ยกชามกระเบื้องเคลือบขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปาก จรดลงที่ปากแล้วซดเข้าไปเต็มคำ
“ซู้ดดด”
เนื้อหอยเป๋าฮื้อในน้ำแกงเคลื่อนไหวน้อยๆ ไหลเข้าสู่กลีบปากเล็กแดงระเรื่อ ให้รสสัมผัสนุ่มลื่น
เรียวลิ้นไล้ลิ้มลองน้ำแกง ทันใดนั้นกลิ่นหอมกรุ่นก็พลันถูกปลดปล่อย กระตุ้นให้ต่อมรับรสตื่นตัวถึงขีดสุด รสชาติแห่งความสดใหม่ทำให้สั่นเทิ้มไปทั้งสรรพางค์กาย
“โอ้”
นางส่งเสียงร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ปรางแก้มเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ จากความรู้สึกอิ่มเอมซึ่งไม่เคยสัมผัสมา
ก่อน
“อร่อย อร่อยเหลือเกิน!” สมองของลั่วซืออวี่ไม่อาจขบคิดเรื่องอื่นใดได้อีก มือถือชามกระเบื้องเคลือบขึ้นมาซดน้ำแกงดัง ‘อึกๆๆ’ จนหมดเกลี้ยง ก่อนจะคีบเนื้อหอยเป๋าฮื้อชิ้นนั้นขึ้น มาเชยชมคำรบหนึ่งแล้วจึงค่อยๆ ใส่เข้าปาก
ทันทีที่เนื้อเข้าปาก ดวงตาของนางก็ทอประกาย รู้สึกได้ถึงความหนึบหนับ ทั้งที่ยังไม่ทันได้เคี้ยวก็ทำให้รู้สึกอิ่มเอมแล้ว
รสสัมผัสนี้…สุดยอดไปเลย!
นางใช้ฟันค่อยๆ เคี้ยว จากเบาๆ ก็เพิ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ
“กึก”
ฟันของนางชะงักค้าง ก่อนจะกัดลงไปเต็มแรง น้ำแกงทะลักออกมา ราวกับระเบิดรสอันโอชะในปาก!
อาหารเซียน!
นี่มันอาหารเซียนชัดๆ!
ฉินม่านอวิ๋นหรี่ตาซึ่งเปี่ยมไปด้วยความดื่มด่ำ นางรู้สึกว่าทุกอณูรูขุมขนเบิกกว้าง นางใคร่อยากสูดกลิ่นของ
ความอร่อยนี้ในอากาศเก็บเข้าปอดเสียเลย
ไม่นาน น้ำแกงหอยเป๋าฮื้อก็ถูกทั้งสี่กินไปค่อนหม้อ
ทุกคนล้วนพรูลมหายใจยาว รู้สึกถึงความอิ่มเอมในส่วนลึกของจิตใจอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ผู้บำเพ็ญเซียนย่อมไม่อิ่มง่ายๆ ทว่าในน้ำแกงมีพลังปราณเจือปนอยู่มากนัก ต่อให้ลั่วซืออวี่และฉินม่านอวิ๋นยังอยากกินอีก ก็กินไม่ลงแล้ว
แม้ว่าน้ำแกงในครั้งนี้จะไม่มีทำนองมรรคา แต่ก็เปี่ยมไปด้วยพลังปราณ กอปรกับฤทธิ์ของหอยเป๋าฮื้อแล้ว ก็นับว่ามีสรรพคุณบำรุงแก่นปราณอย่างยิ่งยวด
ฉินม่านอวิ๋นเหลือบมองหลี่เนี่ยนฝานอย่างอดไม่ได้ ในใจพลันล้นปรี่
‘คุณชายหลี่ต้องรู้ว่าข้าเพิ่งทะลวงขั้นหยวนอิงระดับปลายอย่างแน่นอน ถึงได้ตั้งใจเชื้อเชิญข้ากินน้ำแกงนี้’
“ต้าเฮย มานี่”
ในตอนนั้นเอง กลับเห็นว่าหลี่เนี่ยนฝานกวักมือเรียกต้าเฮย ขณะเดียวกันก็เทน้ำแกงหอยเป๋าฮื้อที่เหลือใส่ชามอาหารสุนัข
ต้าเฮยแลบลิ้นยาว รีบวิ่งหัวหกก้นขวิดมา มุดหน้าลงในชามเริ่มสวาปามโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ฉินม่านอวิ๋นและลั่วซืออวี่สีหน้าแข็งทื่อ ดวงตาเริ่มแดงก่ำ
ในใจของพวกนางพลันถั่งโถมด้วยความคิดว่า ‘ถ้าหากได้เป็นสุนัขข้างกายคุณชายหลี่ ต้องเป็นโชคดีมากกระมัง!’
ฉินม่านอวิ๋นลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “เอ่อ คุณชายหลี่ ขอบคุณสำหรับการต้อนรับในวันนี้ พวกข้าไม่รบกวนท่านแล้ว”
หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้า ตอบไปว่า “อื้ม เดินทางปลอดภัย”
ลั่วซืออวี่และฉินม่านอวิ๋นเดินออกมาจากเรือนสี่ประสาน สีหน้าปลงตกดังเดิม ปากอ้าค้างเล็กน้อยคล้ายกับกำลังหวนระลึกถึงรสชาติ
ลั่วซืออวี่เอ่ยปากอย่างอดไม่ได้ “อาหารของคุณชายหลี่ที่นี่อร่อยเหลือเกิน อร่อยจนต่อไปข้าอาจกินอย่างอื่นไม่ได้แล้ว”
“ไม่เพียงอร่อยปาก พวกเราได้รับพลังมาด้วย นี่ไม่ได้ด้อยไปกว่าโชคชั้นใดเลย!” ฉินม่านอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบา
กล่าวว่า “นี่อาจเป็นอาหารของเซียนก็ได้ ไหนเลยจะอยากกินแล้วได้กิน คุณชายหลี่ให้พวกเราลิ้มลองสักมื้อก็นับเป็นบุญคุณครั้งใหญ่แล้ว”
ลั่วซืออวี่พยักหน้า “ข้ารู้สึกว่าต่อให้เป็นเซียนก็ไม่แน่ว่าจะได้กิน พวกเราได้อานิสงส์จากคุณชายหลี่แล้ว”
ฉินม่านอวิ๋นผงกศีรษะ มิได้กล่าววาจาใดอีก
ในใจของพวกนางตระหนักดีว่าอริยบุคคลระดับเทพเซียนเยี่ยงคุณชายหลี่ ต่อให้เศษทรายจากซอกเล็บของ
เขากระเด็นออกมาก็ยังเป็นของดี
มีมากมายหลายสิ่งที่คุณชายหลี่ไม่เห็นอยู่ในสายตา ทว่าสำหรับพวกนางแล้วไม่ใช่!
พวกนางได้รับหลายสิ่งหลายอย่างจากคุณชายหลี่ บุญคุณทบทวีขึ้นเรื่อยๆ สลักลึกอยู่ในใจ!
ฉินม่านอวิ๋นหายใจเข้าลึก กล่าวอย่างแน่วแน่ “แม้ข้าจะมีพลังน้อยนิด แต่จากนี้จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อบรรเทาเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจของคุณชายหลี่!”
ทั้งสองเพิ่งลงจากเขา ก็สังเกตเห็นว่าไกลออกไปมีลำแสงทะยานมาอย่างเร็วรี่ ก่อนจะหยุดลงเบื้องหน้าของพวกนาง เป็นจักรพรรดิลั่วและเหล่าผู้อาวุโสทั้งห้า
ฉินม่านอวิ๋นถามทันใด “เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม”
“ถูกต้อง! พวกเรามีข่าวใหม่เกี่ยวกับคำใบ้ของคุณชายหลี่!”
ผู้อาวุโสใหญ่ผงกศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เป้าหมายของมารเหล่านั้นก็คือกระบี่จุ้ยหมัว!”
“กระบี่จุ้ยหมัว?” ฉินม่านอวิ๋นและลั่วซืออวี่เอ่ยขึ้นพร้อมกันอย่างตื่นอกตกใจ
“เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์จริงๆ ด้วย!” ฉินม่านอวิ๋นมีสีหน้าหนักอึ้ง เอ่ยอย่างขึงขัง “กระบี่จุ้ยหมัวใช้สำหรับผ่าฟืนอยู่ดีๆ มารกลุ่มนั้นจะมาขัดความสำราญใจของปรมาจารย์รึ”
ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้า “พวกข้ามาพร้อมกัน ก็เพื่อขัดขวางพวกเขา! พวกข้ายินดีบุกน้ำลุยไฟเพื่อปรมาจารย์!”