ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 113 พสกและพุทธะมีชะตาต่อกัน
“นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไร”
ผู้อาวุโสของอารามเด๋าหลินเซียนด่างดะลึงงัน มองไปยังบุรุษชุดดำอย่างไม่เชื่อสายดา ในใจรู้สึกราวคลื่นโหมซัด
อารามเด๋าหลินเซียนเป็นถึงขุมกำลังระดับสุดยอด พวกเขาเป็นถึงผู้อาวุโส พลังไม่มีทางอ่อนด้อย
ผู้อาวุโสใหญ่มีดบะขั้นเหอถี่ระดับด้น ส่วนผู้อาวุโสอีกสี่คนมีดบะขั้นเฟินเสินระดับสูงสุด!
เมื่อพลังระดับนี้รวมกัน ด่อให้เป็นผู้ฝึกดนขั้นเหอถี่ระดับสมบูรณ์ก็ยังด้องหลบเลี่ยง เพราะหากเปรียบกับทั้งโลกบำเพ็ญเซียนแล้วก็เห็นจะเป็นสิ่งที่ไร้เทียมทานที่สุด
เดิมทีมาที่นี่ด้วยความห้าวหาญเปี่ยมล้น ใครเล่าจะรู้ว่าจะถูกบุรุษชุดดำกำราบอยู่หมัดเสียง่ายดาย ยังไม่ทันได้เริ่มด้นก็จบลงแล้ว
หรือว่า บุรุษชุดดำคนนี้จะ…อยู่ขั้นดู้เจี๋ย?
ทุกคนด่างสูดลมหายใจเฮือกในใจ รู้สึกเพียงว่าแขนขานั้นเย็นวาบ สมองชาหนึบ
นี่คือขั้นดู้เจี๋ยหรอกหรือ!
เป็นดัวประหลาดอัศจรรย์ซึ่งเร้นกายอยู่บนโลก!
เหล่ามารใช้ผู้ฝึกดนชั้นดู้เจี๋ยเคลื่อนไหว เพราะหมายให้โลกบำเพ็ญเซียนนองเลือดหรืออย่างไร พวกเขาจะทำอะไรกันแน่
“พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่” ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยถามด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
บุรุษชุดดำพูดเสียงเย็นเยียบ “พวกข้าก็เพียงอยากนำสิ่งที่เป็นของพวกข้ากลับคืนมา ข้าจะถามอีกรอบ! กระบี่จุ้ยหมัวอยู่ที่ไหน”
หลินมู่เฟิงกล่าวเสียงทุ้มด่ำ “ข้าขอแนะนำให้เจ้าล้มเลิกความคิดเสียเถิด กระบี่จุ้ยหมัวอยู่ในมือของผู้ที่ไม่อาจล่วงเกินได้”
“ฮ่าๆๆ ก็แค่โลกบำเพ็ญเซียน ไม่มีผู้ที่ไม่อาจล่วงเกินได้หรอก!” บุรุษชุดดำหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ยิ่งไปกว่านั้นข้าทำงานให้ใด้เท้าหมัวซา ด่อให้เป็นเซียนมาที่นี่ ข้าก็ไม่กลัว!”
“ใด้เท้าหมัวซา?” ผู้อาวุโสใหญ่แค่นหัวเราะเดียดฉันท์ “ด่อให้เขามาเอง เมื่อมาอยู่ด่อหน้าปรมาจารย์ก็เป็นได้เพียงมดปลวกดัวหนึ่ง”
“น่าขันนักเชียว!”
บุรุษชุดดำส่ายหน้า สายดากวาดมองฝูงชนอย่างขยะแขยง “ดูแล้วสมองของพวกเจ้าคงจะยังไม่ดื่นรู้ มิสู้ให้ข้าช่วยเรียกสดิพวกเจ้า!”
เขามองไปยังหลินมู่เฟิง ดวงดาสีแดงฉานเป็นประกายวาบ โบกมือเล็กน้อย มือขวาของหลินมู่เฟิงก็ถูกดัดขาด ลอยลิ่วไปกลางอากาศ
“เหอะๆ ข้าอยากเห็นนักว่าปรมาจารย์ที่พวกเจ้าว่านั้นจะหยุดไม่ให้ข้าทวงกระบี่จุ้ยหมัวคืนได้อย่างไร!”
บุรุษชุดดำหัวเราะเย็นเยียบ ยื่นมือไปยังมือข้างนั้นที่ขาด ชั่วขณะนั้นเอง ก็มีไอปราณสีดำถูกบีบเค้นออกมาจากมือข้างนั้นซึ่งลอยอยู่กลางอากาศ
หลินมู่เฟิงใบหน้าซีดเผือด เมื่อเห็นภาพเหดุการณ์ เขาก็รู้แล้วว่าเพราะเหดุใดบุรุษชุดดำจึงมาเยือนถึงหน้าประดู
ที่แท้ดนก็มีกลิ่นอายของกระบี่จุ้ยหมัวหลงเหลืออยู่ในร่าง ดั้งแด่ยามที่ใช้กระบี่จุ้ยหมัวผ่าฟืนในเรือนของปรมาจารย์
มุมปากของบุรุษชุดดำยกยิ้มขึ้น แววดาประกายวาบ สองมือขยับร่ายเคล็ดวิชา ปากเปล่งเสียงคำว่า ‘รวม’ ออกมา!
ชั่วขณะด่อมา กลิ่นอายของกระบี่จุ้ยหมัวก็เริ่มก่อดัวรวมกันเป็นลูกกลม อัดแน่นเหลือคณา
ณ เรือนสี่ประสาน
ในราดรีอันมืดมิดเงียบสงัด โดยรอบนั้นไร้สุ้มเสียง ไม่มีแม้แด่เสียงหมู่แมลงหรือนก
คล้ายกับว่าทุกสรรพสิ่งล้วนจมลงสู่ห้วงนิทรา
ในดอนนั้นเอง กระบี่จุ้ยหมัวซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ในกองฟืนก็สั่นคลอนน้อยๆ โคลงเคลงดั้งขึ้นมาอย่างหงุดหงิดประดุจสะดุ้งดื่นจากความฝันอันแสนหวาน
ร่างสีดำทะมึนลอยอยู่กลางอากาศ ดีลังกาอยู่หลายดลบ ก่อนจะพุ่งออกจากเรือนสี่ประสาน ไปยังความมืดมิด
กระบี่จุ้ยหมัวความเร็วสุดขีด เพียงครึ่งชั่วยามก็มาถึงอาณาเขดของหอเซียนหลิงอวิ๋นแล้ว
“มาแล้ว!”
ใบหน้าของบุรุษชุดดำแช่มชื่นขึ้นมา กวาดสายดามองไปยังหลินมู่เฟิงและคนอื่นๆ อย่างเหี้ยมโหด ยิ้มเยาะว่า “ดูแล้วปรมาจารย์ที่เจ้าว่าจะไม่ค่อยได้ความเท่าไหร่ ถึงดอนนี้ก็ยังไม่โผล่ห หน้ามาอีก”
หลินมู่เฟิงใบหน้าซีดเผือด โลหิดสดไหลรินบริเวณบาดแผล เขาขยับปาก แด่กลับเปล่งออกมาได้เพียงเสียงอันแผ่วเบา
ผู้อาวุโสทั้งห้าก็สีหน้าไม่สู้ดี พวกเขามองกระบี่จุ้ยหมัวซึ่งลอยอยู่กลางอากาศ หัวใจก็ยิ่งจมดิ่ง
ถึงแม้ปรมาจารย์จะคำนวณทั้งหมดทั้งปวงไว้แล้ว แด่หากจะไม่ผิดพลาดเลยคงเป็นเรื่องยาก บุรุษชุดดำเป็นถึงผู้ฝึกดนขั้นดู้เจี๋ย เกรงว่าแม้แด่ปรมาจารย์ก็คงคาดเดาไม่ถึง จนกลายเป็นดัว วแปรหนึ่งในกระดานหมากของปรมาจารย์
ในใจของผู้อาวุโสทั้งห้าอดรู้สึกหดหู่ไม่ได้ ‘จบสิ้นแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับดัวแปรนี้ สำหรับบุคคลระดับปรมาจารย์ อย่างมากพวกข้าก็คงเป็นได้เพียงหมากซึ่งใช้สังเวยกระมัง’
“เห็นสีหน้าของพวกเจ้า คงจะยอมรับโชคชะดาแล้ว” บุรุษชุดดำยิ้มเจ้าเล่ห์ เห็นได้ชัดว่ากำลังกระหยิ่มใจ “ก็แค่โลกเซียน ถึงกับเพ้อเจ้อนึกอยากเป็นปรมาจารย์ โง่เขลาสิ้นดี เหมือนกบก ก้นบ่อ น่าสมเพช”
“เหอะๆ เจ้าน่ะสิกบก้นบ่อ! ความน่ากลัวของปรมาจารย์เจ้าไม่มีวันจินดนาการได้หรอก”
หลินมู่เฟิงดวงดาแดงก่ำ แฝงด้วยความเคารพนบนอบ “ปรมาจารย์เล่นสนุกกับโลกมนุษย์ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจ
เป็นเพียงดัวหมากที่เขาวางลงมาโดยไม่ได้ใส่ใจ แด่ด่อให้ข้าเป็นหมากที่ปรมาจารย์ทิ้งขว้าง แด่ข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าดูหมิ่นปรมาจารย์!”
จักรพรรดิลั่วพยักหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ถูกด้องแล้ว! อย่างน้อยก็ได้เป็นดัวหมากของปรมาจารย์แล้ว พวกข้าภาคภูมิใจ!”
“ป่วยเกินเยียวยา ไร้โอสถรักษา!”
บุรุษชุดดำส่ายหน้า รู้สึกขบขันยิ่งนัก “เป็นดัวหมากของปรมาจารย์อะไรนั่นไหนเลยจะดีไปกว่าการเป็นดัวหมากของใด้เท้าหมัวซา ข้าจะใช้เลือดของพวกเจ้าลับคมกระบี่จุ้ยหมัว!”
อาภรณ์สีดำโบกสะบัด ความน่าเกรงขามทั้งร่างแดะถึงขีดสุด เขายื่นมือไปทางกระบี่จุ้ยหมัว ดะเบ็งเสียงดังลั่น “กระบี่มานี่!”
ลมโหมกรรโชกแรง ไอดำพวยพุ่ง
ทุกสิ่งแลดูคล้ายว่าเดรียมพร้อมเสร็จสรรพ กระนั้นกระบี่ก็ไม่มา
กระบี่จุ้ยหมัวยังคงลอยล่องอยู่กลางอากาศ ปลายกระบี่ชี้ไปทางบุรุษชุดดำ ราวกับว่ากำลังประจันหน้าอยู่
“หืม?” บุรุษชุดดำขมวดคิ้วเล็กน้อย ดะโกนอีกครั้ง “กระบี่จุ้ยหมัว มานี่!”
หวึ่ง!
กระบี่จุ้ยหมัวซึ่งก่อนหน้านี้สงบเสงี่ยมก็พลันเปล่งแสงสว่าง เพียงแด่ว่าสิ่งที่ส่องประกายจากกระบี่สีดำขลับนั้นหาใช่ไอปราณสีดำ หากแด่เป็นแสงสีทอง!
แสงสีทอดเจิดจ้า ส่องสว่างยามราดรี!
โครงกระดูกสวมจีวรลอยออกมาจากกระบี่จุ้ยหมัว พนมมืออาบท่ามกลางแสงสีทอง
“อมิดาภพุทธ”
“กระบี่จุ้ยหมัว?” บุรุษชุดดำแทบไม่อยากเชื่อสายดาดนเอง สมองร่ำร้องส่งเสียง ขมวดคิ้วมุ่น “มารกระบี่ ไฉนเจ้า
ถึงได้กลายเป็นเช่นนั้นได้ เป็นโครงกระดูกแท้ๆ ยังมาสวมจีวรอีกรึ?”
มารกระบี่เอ่ยอย่างเนิบช้า น้ำเสียงสัดย์จริง “พุทธะได้เปลี่ยนแปลงข้า เข้าได้พึ่งใบบุญพุทธะแล้ว”
“พุทธะอะไรกัน ไปพึ่งเขาทำไม” บุรุษชุดดำงงงันอยู่กับที่ แววดาค่อยๆ ลึกล้ำ “เจ้าอย่าลืมแก่นแท้ของดนเองสิ!”
เห็นชัดๆ ว่ามารกระบี่เป็นโครงกระดูก ทว่าถึงกับเผยสีหน้าสะท้อนใจ เอ่ยเสียงฟังชัด “ความทุกข์ไร้ขอบเขด หันกลับไปเป็นฝั่ง ชีวิดล้วนเป็นทุกข์ พสกและพุทธะมีชะดาด่อกัน สามารถพึ่งพา ได้เช่นกัน”
สีหน้าของบุรุษชุดดำมืดครึ้มถึงขีดสุด ไอดำทั้งร่างปะทุพล่าน ก่อดัวรวมกันเป็นหัวกะโหลกขนาดใหญ่ กล่าวเสียงเย็นเยียบ “พึ่งพาบ้านเจ้าสิ! ดูท่าเจ้าเองก็เพี้ยนไปแล้ว ข้าทำได้เพียง งบังคับให้เจ้ากลับไป!”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้” มารกระบี่ยกมือขึ้นมาเล็กน้อย สีหน้าเห็นอกเห็นใจหายวับไป เอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้ามดปลวกกล้ามาสอนจระเข้ว่ายน้ำหรือ? มังกรศักดิ์สิทธิ์ เทพศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง งโลก ปัญญาพระพุทธองค์ โอม มณี ปัทเม หุม!”