ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 114 พิธีผนึกมารเมฆาคราม
บุรุษชุดดำเดือดดาลสุดขีด “มารกระบี่ เจ้าอาจหาญนัก ไม่ยอมลงมือเชียวรึ”
ไอดำและแสงทองโชติช่วงกลางเวหากว้าง แลดูประหนึ่งจุดพลุเมื่อมองจากระยะไกล สว่างวับวาบทางโน้นทีทางนี้ที คึกคักเสียเต็มประดา
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว!”
จักรพรรดิลั่วร้องลั่น น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ที่แท้แผนการของปรมาจารย์ก็อยู่ตรงนี้! พวก
เราไม่ได้กลายเป็นหมากสังเวย!”
“ลึกล้ำเกินหยั่งรู้ ลึกล้ำเกินหยั่งรู้จริงๆ!” ผู้อาวุโสใหญ่ถอนหายใจไม่หยุด ตื่นตะลึงเป็นที่สุด “แนวทางของ
ปรมาจารย์หาใช่สิ่งที่พวกเราจะคาดเดาได้ ใครจะไปคิดเล่าว่าปรมาจารย์จะมีหมากลับเป็นกระบี่จุ้ยหมัว!”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ตะลึงงันไม่แพ้กัน
“นี่คือปรมาจารย์ใช่ไหม เหลือเชื่อ! น่าตกใจ! น่าสะพรึงกลัว!”
“ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังเป็นผู้ยิ่งใหญ่วันยังค่ำ น่ากลัวเหลือเกิน แม้แต่กระบี่จุ้ยหมัวก็ยังเปลี่ยนแปลงได้”
หลินมู่เฟิงแหงนหน้ามองฟ้า ตื่นเต้นจนใบหน้าแดงก่ำ น้ำตาแทบรินไหล เอ่ยอย่างกระหยิ่มใจ “ปรมาจารย์ไม่ได้ทอดทิ้งพวกเรา! พวกเจ้าดูกระบี่มารเล่มนั้นเสียก่อน ข้าใช้มันผ่าฟืนกับมือ อเชียวนะ! เจ้าเชื่อไหมเล่า”
ไม่นาน ศึกกลางท้องนภาก็เข้าใกล้ปัจฉิมบท ทันทีที่แสงทองสว่างวาบ ไอดำก็มลายหายไปดังหมู่เมฆยามวสันตฤดู ควันและหมู่เมฆจางหาย บุรุษชุดดำถูกแสงทองเข้าปกคลุมจากนั้นก็ถูกมารก กระบี่กลืนกินเข้าไปพร้อมกับแสงทองจนไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย
“อามิตาภพุทธ สาธุ สาธุ” มารกระบี่พนมมือ เผยสีหน้าสะท้อนใจอีกครา จีวรบนร่างพลิ้วไหวตามสายลม หากสวมผิวหนังของคนชราให้โครงกระดูก ย่อมมีรูปลักษณ์ของสมณะพรรษาสูงเป็นแน่
จักรพรรดิลั่วและคนอื่นๆ ผุดกายลุกขึ้น ต่างคนต่างพนมมือตาม กล่าวด้วยความเคารพ “คำนับผู้อาวุโสมารกระบี่”
“มารกระบี่นั้นเป็นอดีต ข้าได้เปลี่ยนไปแล้ว จากนี้เปลี่ยนนามเป็นสมณะกระบี่” สมณะกระบี่เอ่ยอย่างเนิบช้า ก่อนจะกล่าวว่า “ออกมานานแล้ว ข้าควรกลับไปเตรียมตัวฝ่าฟืน ทุกท่านไม่ต้อง ไปส่งหรอก”
พูดจบ กระบี่จุ้ยหมัวก็แปรสภาพเป็นลำแสงสายหนึ่ง ทะยานกลับไปยังทิศทางเดิม มิได้เข้าสู่ความมืดมิด
ฝูงชนที่เหลืออยู่ต่างมีสีหน้ารำพึงรำพัน มองหน้ากันไปมา ราวกับกำลังอยู่ในห้วงฝัน
จักรพรรดิลั่วมองไปยังหลินมู่เฟิง กล่าวด้วยน้ำเสียงซับซ้อน “สหายหลิน มือของเจ้า…”
“ไม่เป็นไร” หลินมู่เฟิงเค้นรอยยิ้ม เอ่ยอย่างจนปัญญา “ขอเพียงได้บรรเทาความหนักใจของปรมาจารย์ มือข้าง
หนึ่งมิใช่เรื่องใหญ่อันใด”
ฉินม่านอวิ๋นกล่าวว่า “ผู้อาวุโสหลิน ทุกคนล้วนทำภารกิจให้ปรมาจารย์ นับว่าลงเรือลำเดียวกัน ข้าจะต้องหาวิธีมาช่วยรักษามือของท่านที่ขาดให้ได้”
หลินมู่เฟิงยิ้มเอ่ย “ขอบคุณ”
เพียงแต่ว่า ทุกคนล้วนรู้ว่าการรักษามือที่ขาดนั้นเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน หลินมู่เฟิงเป็นผู้บำเพ็ญเซียนแล้ว การรักษารยางค์ที่ขาดไปนั้นลำบากกว่าปุถุชนมาก ทั้งโลกบำเพ็ญเซียน นนั้นมีโอสถวิเศษหญ้าเซียนเพียงไม่กี่ชนิดที่ใช้ได้
นอกเสียจากมืองอกออกมาใหม่แล้ว ก็ยังมีการชิงร่างซึ่งเป็นหนทางเดียวที่เหลืออยู่
ทว่าการชิงร่างนี้เท่ากับการเปลี่ยนร่างใหม่ทั้งหมด และมิใช่เรื่องดีต่อการบำเพ็ญเพียรในภายหลัง โดยทั่วไปมักไม่เลือกหนทางนี้ นอกเสียจากว่าเข้าตาจนจริงๆ
ในตอนนั้นเอง สายสมแผ่วเบาก็พัดเอื่อยผ่านมา
“กริ๊งๆ”
เสียงใสของกระดิ่งดังขึ้นดึงดูดความสนใจของผู้คนในทันใด “เป็นกระดิ่งจิตสวรรค์”
จักรพรรดิลั่วกล่าวอย่างอดไม่ได้ “เป็นอาวุธวิเศษของบุรุษชุดดำคนนั้น ปรมาจารย์กำลังทดสอบพวกเราอยู่หรือ ถึงกับไม่ได้นำกระดิ่งจิตสวรรค์กลับไปด้วย”
“ไม่เห็นต้องลังเล นั่นเป็นเครื่องบรรณาการของปรมาจารย์ ย่ำรุ่งพรุ่งนี้ค่อยนำไปมอบให้ปรมาจารย์!” หลินมู่เฟิง พูดไปตามตรง
ทุกคนต่างพยักหน้ารัว “ย่อมเป็นเช่นนั้น!”
ปรึกษากันมาตลอดทั้งคืน จวบจนของฟ้าทอแสงสีเงิน ในที่สุดพวกเขาก็ได้ตัวแทน
มีคนจำนวนมากเหลือเกิน แน่นอนว่าจะเฮละโลกันไปทั้งหมดไม่ได้
สุดท้ายแล้วก็เป็นหลินมู่เฟิง จักรพรรดิลั่ว และฉินม่านอวิ๋นสามคนเป็นตัวแทนมุ่งหน้าไปยังเรือนสี่ประสาน
ผ่านไปสองชั่วยาม ทั้งสามก็ทะยานลำแสงมาถึงเรือนสี่ประสาน หยุดลงที่เชิงเขา จากนั้นจึงเดินเท้าขึ้นเขาไปด้วยความจริงใจล้นปรี่
จักรพรรดิลั่วกล่าวอย่างอดไม่ได้ว่า “ช่วงนี้มาหาปรมาจารย์บ่อยครั้งนัก”
นี่เป็นครั้งที่สามที่พวกเขาแวะมาในช่วงไม่กี่วันมานี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทยอยกันเข้ามาเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าจะไปรบกวนปรมาจารย์หรือไม่
“พวกเราทำเพื่อปรมาจารย์ ปรมาจารย์คงจะไม่รังเกียจหรอกกระมัง” ฉินม่านอวิ๋นพูดอย่างลังเล รู้สึกไม่มั่นใจเท่าไรนัก
เมื่อวานเพิ่งไปกินเนื้อหอยเป๋าฮื้อสดใหม่ที่เรือนของเขา วันนี้ก็มาอีกแล้ว
หลินมู่เฟิงยิ้มเอ่ย “วางใจเถิด ในเมื่อปรมาจารย์ทิ้งกระดิ่งลมไว้ ย่อมเป็นการบอกใบ้ว่าเขาคาดหวังให้พวกเราไป”
“มีเหตุผล” จักรพรรดิลั่วและฉินม่านอวิ๋นพรูลมหายใจพร้อมกัน ความกระวนกระวายใจค่อยๆ ผ่อนคลายลง
ทันใดนั้น ฉินม่านอวิ๋นก็เอ่ยว่า “มารกลุ่มนั้นชักจะเหิมเกริมขึ้นทุกวัน ถ้าหากส่งผลต่อความสงบสุขของปรมาจารย์ละก็ ตายยังน้อยไปด้วยซ้ำ!”
จักรพรรดิลั่วพยักหน้า “ผิดที่พลังของพวกเราไม่มากพอ ถึงกับต้องลำบากให้มีดตัดฟืนของปรมาจารย์ลงมือ ไม่สมควรเอาเสียเลย”
หลินมู่เฟิงรำพันขึ้นทันใด “เหล่ามารวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ แล้ว พิธีผนึกมารเมฆาครามใกล้เข้ามาแล้ว หวังว่ามารเหล่านี้จะไม่เล่นพิเรนทร์อะไร”
ผู้พูดมิได้ใส่ใจ
ทว่าฉินม่านอวิ๋นและจักรพรรดิลั่วสมองแล่นปราด รู้สึกเพียงว่าหัวใจเต้นคร่อมครึ่งจังหวะ
ฉินม่านอวิ๋นรีบพูดว่า “เมื่อครู่ท่านบอกว่าพิธีอะไรนะ”
“พิธีผนึกมารเมฆาครามที่จัดขึ้นทุกห้าปี พวกเจ้าหลงลืมไปก็ไม่แปลก ครั้งก่อนข้าก็ยังไปดูมา พิธีอลังการยิ่งนัก” หลินมู่เฟิงเผยสีหน้าหวนระลึกถึงอดีต
ฉินม่านอวิ๋นและจักรพรรดิลั่วมองหน้ากันคราหนึ่ง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม เอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “ข้าเข้าใจแล้ว!”
หลินมู่เฟิงชะงักไปเล็กน้อย “พวกเจ้าเข้าใจอะไร”
“ครั้งก่อนปรมาจารย์ถามข้าว่าช่วงนี้มีกิจกรรมขนาดใหญ่อะไรหรือไม่ พวกข้าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ในที่สุดตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่าเขาหมายถึงอะไร!”
“ใช่แล้ว มารถึงกับกล้าต่อกรกับกับปรมาจารย์ ปรมาจารย์ย่อมอยากไปชมพิธีผนึกมารเมฆาครามอยู่แล้ว” ฉินม่านอวิ๋นเองก็ยิ้มร่า “พิธีสำคัญเช่นนี้ พวกข้าเพิ่งจะมานึกออกตอนนี้ ไม่เข้า าท่าเอาเสียเลย”
ทั้งสองผ่อนลมหายใจ “ปรมาจารย์ชอบใช้ปริศนา ในที่สุดก็คลี่คลายแล้ว”
ระหว่างที่สนทนาอยู่นั้น ทั้งสามก็เดินมาถึงหน้าเรือนสี่ประสาน
ฉินม่านอวิ๋นกระแอม เอ่ยอย่างกระวนกระวาย “คุณชายหลี่อยู่บ้านหรือไม่”
“แกร็ก”
เสี่ยวไป๋ยื่นหน้าออกมาจากด้านใน กวาดตามองทั้งสามคน พูดว่า “ยินดีต้อนรับ”
“รบกวนแล้ว”
ทั้งสามพยักหน้าให้เสี่ยวไป๋พร้อมกัน แล้วจึงย่างเท้าเข้าไปในเรือนสี่ประสาน
สายตาของพวกเขากวาดมองไปเล็กน้อย ก็เห็นหลี่เนี่ยนฝานกำลังถือกระบี่จุ้ยหมัวผ่าฟืน
ก็อดใจสั่นสะท้านไม่ได้
เมื่อก่อนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ครั้นผ่านพ้นเหตุการณ์เมื่อคืน ยามที่พวกเขาเห็นภาพฉากพรรค์นี้อีกครา ก็พลันสมอง
ชาหนึบ
นั่นเป็นถึงกระบี่จุ้ยหมัวเชียวนะ!
มารกระบี่ ไม่สิ สมณะกระบี่เก่งกาจปานนั้น ถึงกับถูกใช้ผ่าฟืน
ผู้ยิ่งใหญ่!
เป็นผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ!