ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 119 หวังว่าสวรรค์จะเมตตา
“จ๊อบแจ๊บๆ”
โจวต้าเฉิงกินส่งเสียง ทั้งยังเลียเศษสาลี่ที่ติดมุมปากเสียด้วย
ทันใดนั้นทั้งร่างก็ชะงักไป
ความรู้สึกอุ่นวาบพลันคุกรุ่นขึ้นมาจากท้องน้อย ไหลไปยังรยางค์ทั้งสี่ ประหนึ่งแช่ทั้งร่างลงในน้ำอุ่น
ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่สมองของเขาก็พลันกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก ราวกับเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝัน
เหมือนกับการกินอาหารบำรุงไม่มีผิดเพี้ยน ฉับพลันกำลังวังชาสติสัมปชัญญะก็เต็มเปี่ยมถึงขั้นสุด
“นี่ นี่มัน…ทำนองมรรคา?!”
เขาไม่กล้ารอช้า รีบประคองสติให้มั่นคง ทำความเข้าใจโดยละเอียด และประมวลพลังทั้งหมดที่ได้
แม้ว่าทำนองมรรคาและพลังปราณในผลสาลี่จะมีประสิทธิภาพจำกัดในระดับพลังเช่นเขา ทว่าทำนองมรรคาก็คือทำนองมรรคา ต่อให้ยุงจะตัวเล็กแต่ก็ยังมีเนื้อนี่นา
สาลี่เจือปนทำนองมรรคา หากแพร่งพรายออกไปคงจะทำให้ทั้งโลกบำเพ็ญเซียนคลุ้มคลั่งกระมัง
สาลี่ผลเดียวก็คุ้มค่าที่เขาออกติดตามคุณชายหลี่มาแล้ว!
สมแล้วที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ สาลี่ล้ำค่าเช่นนี้ถึงกับนำมากินเป็นผลสาลี่ธรรมดาอย่างสบายใจเฉิบ
ใช่แล้ว ปรมาจารย์มองว่าตนเองเป็นปุถุชน จะมองของล้ำค่าเช่นนี้เป็นของธรรมดาย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก
นี่คือพลังของปรมาจารย์สินะ
หลี่เนี่ยนฝานยืนอยู่บนดาดฟ้าอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะพาต๋าจี่กลับเข้าไปในเรือเหาะ
ไม่นาน จักรพรรดิลั่วและอีกสองคนก็ขึ้นมาบนดาดฟ้า จมูกของพวกเขาขยุกขยิกพร้อมกัน แล้วก็พลันชะงักไป
กลิ่นนี้คล้ายกับว่า ถึงแม้จะไม่เลิศหรู แต่ก็ล้ำลึกเหลือคณา
ทันที่กวาดตามองไป ก็สังเกตเห็นแกนกลางสาลี่ด้านข้างของโจวต้าเฉิง
ชั่วขณะนั้น หัวใจของพวกเขาก็สั่นสะท้าน ความรู้สึกบ้าคลั่งประเดประดังถั่งโถมขึ้นในใจ
ฉินม่านอวิ๋นเลียริมฝีปาก กระซิบถาม “ผู้อาวุโสรอง แกนกลางสาลี่นี่คงไม่ใช่…”
“ถูกต้อง” ผู้อาวุโสรองลูบเครา หรี่ตามองด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้อยากจะคุยโวโอ้อวด เพียงแต่ได้รับน้ำใจจากคุณชายหลี่ จึงโชคดีได้ลิ้มลองสาลี่ล้ำค่าผลหนึ่ง”
สีหน้าของจักรพรรดิลั่วเปลี่ยนไปทันใด ยื่นนิ้วอันสั่นเทิ้มออกมาชี้โจวต้าเฉิงด้วยใบหน้าแดงก่ำ “เจ้าทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ! เรื่องดีพรรค์นี้ไม่รู้จักบอกกล่าวพวกข้าสักคำ เจ้านี่มั น…น่าโมโหจริงๆ!”
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากแบ่งปันกับพวกเจ้า เพียงแต่ว่านี่เป็นน้ำใจที่ปรมาจารย์มอบให้กับข้า ข้าก็จนปัญญาจริงๆๆ”
โจวต้าเฉิงทำท่าทางลำบากใจ เลียปากตนเองไปพลาง กล่าวเย้ยเยาะ “เฮ้อ เจ้าโชคไม่ดีพอ น่าเสียดายจริงๆ! เจ้าไม่รู้หรอกว่าสาลี่นั้นอร่อยเหลือเกิน กัดเข้าไปเบาๆ คำเดียว น้ำก็ไหลเข ข้าปาก โดยเฉพาะความรู้สึกตอนไหลเข้าปากนี่นะ แทบรู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์ มิหน้ำซ้ำยังเจือปนทำนองมรรคากับพลังปราณ ทิ้งรสชาติติดปากไม่รู้จบ ปรารถนาได้แต่บางครั้งก็ไม่อาจเอื้อ อมนั่นแหละนะ!”
“ฟืดฟาดๆ!”
ลมหายใจของจักรพรรดิลั่วถี่กระชั้นขึ้น ดวงตาเบิกกว้าง แทบอยากตีอกชกหัว ร่ำไห้โฮออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
ลั่วซืออวี่และฉินม่านอวิ๋นก็ไม่ได้มีสีหน้าที่ดีไปกว่ากันเท่าไรนัก พวกนางกัดริมฝีปาก หัวใจแทบมีเลือดไหลออกมา
ช้าไปเพียงก้าวเดียวเท่านั้น!
พวกตนเพียงร่ำไรอยู่ด้านในชั่วประเดี๋ยวเดียว ถึงกับพลาดโอกาสใหญ่เช่นนี้ ถ้าหากมาเร็วกว่านี้ ถึงแม้จะเป็นเพียงก้าวเล็กๆ ไม่แน่ว่าอาจได้กินผลสาลี่จากคุณชายหลี่ก็ได้!
เลิกคิดได้แล้ว ปวดใจจนแทบหายใจไม่ออก
พลาดโอกาส พลาดโอกาสครั้งใหญ่ไปแล้ว!
ต่อจากนี้จะต้องตามติดคุณชายหลี่ไม่ให้คลาดสายตาแม้แต่นิดเดียว
“ชิ เจ้าพวกไม่เคยเห็นโลก ก็แค่กินสาลี่ผลเดียวไม่ใช่หรือ มีอะไรน่าอวดกัน ตอนที่ข้าได้กินอาหารเลิศรสที่บ้าน
คุณชายหลี่ ไม่รู้ว่าเจ้าไปอยู่ที่ไหนกัน!”
จักรพรรดิลั่วแค่นเสียงเย็น เชิดหน้าเดินเข้าไปในเรือเหาะด้วยท่าทางหยิ่งผยอง
เพียงแต่ว่าทันทีที่หันหลังไป เขาก็ลอบยกมือขึ้นปาดน้ำตาซึ่งไหลไปยังหางตาคราหนึ่ง
เรือวิเศษมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ สีของท้องฟ้าก็ค่อยๆ ครึ้มลง
โจวต้าเฉิงชะงักทันใด ดวงตาจ้องเขม็งออกไปไกล ไม่กล้าวอกแวกแม้แต่น้อย
สำหรับเรือวิเศษ การลอยอยู่กลางเวหาโดยทั่วไปมักไม่เกิดอันตรายใด กระนั้นก็มีความเสี่ยงหนึ่งซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
นั่นก็คือคลื่นเพลิงดาราซึ่งกล่าวมาก่อนหน้านี้!
คลื่นเพลิงดารานั้นเกิดขึ้นเพราะบนท้องฟ้านั้นมีพลังปราณมากมายรวมตัวกันอย่างสะเปะสะปะ ก่อตัวขึ้นจากความโกลาหล
การปรากฏขึ้นของมันปราศจากกฎเกณฑ์ เมื่อใดที่ไม่ทันระวัง เข้าไปในคลื่นเพลิงดารา ก็จะถูกเพลิงดาราโจมตีเข้า ต่อให้ใช้พลังป้องกันของเรือวิเศษแล้วก็ยากเกินต้านทาน
โจวต้าเฉิงจำต้องรวบรวมสมาธิ เมื่อใดที่เห็นคลื่นเพลิงดาราก็จำต้องเปลี่ยนทิศทางเดินเรือ อ้อมไปอีกทาง
ระหว่างทางนั้นน่าตกอกตกใจ ไร้ซึ่งภยันตราย ราตรีมืดมิดลง
ท่ามกลางอนธการ แสงของเรือเหาะยังคงเรืองรองประดุจท้องนภาเปี่ยมดวงดารา ราวกับว่าเหลือเพียงมันซึ่งยังคงโบยบิน
ในตอนนั้นเอง ดวงตาของโจวต้าเฉิงก็พลันขึงขังขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าฉายรอยยิ้มขื่นอย่างอดไม่ได้ “เจอเข้าแล้วจริงๆ สินะ”
ท่ามกลางรัตติกาลเบื้องหน้า เห็นได้ชัดว่ามีสีแดงขนาดใหญ่กำลังรวมตัวกัน
สามารถมองเห็นเปลวเพลิงไหวไปมา ย้อมไปทั่วท้องนภา แผ่ขยายออกไปจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ประดุจท้องทะเลสีแดงฉานลอยล่องบนท้องนภา
มันแลดูเหมือนสายน้ำสีชาดรินไหลกลางเวหากว้าง ทอดยาวออกไปจนไม่อาจข้ามผ่าน
“ทำได้เพียงอ้อมแล้ว” โจวต้าเฉิงทอดถอนใจ ทันทีที่เตรียมควบคุมให้เรือเหาะเปลี่ยนทิศ นัยน์ตาของเขาก็หดวูบ สีหน้าฉายแววเหลือเชื่อสุดขีด
เขาขยี้ตาอย่างอดไม่ได้ จ้องมองไปอีกครา
ทันใดนั้นทั้งร่างก็เย็นวาบ รู้สึกเพียงว่ารยางค์ทั้งสี่เย็นเฉียบ ปากแห้งลิ้นพัน ยืนนิ่งอยู่กับที่ประหนึ่งถูกฟ้าผ่า
“นะ นะ นี่…นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน”
เสียงของเขาเปลี่ยนเป็นเล็กแหลม แทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองเห็น
คลื่นเพลิงดาราซึ่งเดิมทีทอดยาวอยู่บนแผ่นฟ้าถึงกับขยับแล้ว!
โจวต้าเฉิงถลึงตาจ้องมองพวกมันซึ่งค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปยังสองซีก ราวกับเว้นเส้นทางไว้ และที่สำคัญก็คือเส้นทางนี้คือเส้นทางที่พวกเขามาพอดิบพอดี
ทิศทาง เหมือนว่า…จะตั้งใจเหลือไว้ให้ตน
เปิดเส้นทางให้ตน?
บังเอิญ? หรือว่า…
เขารู้สึกเพียงว่าสมองชาวาบ ไม่กล้าคิดต่อ
มีชีวิตอยู่มากว่าพันปี ภาพเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์พรรค์นี้ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน!
สรุปแล้วควรแล่นผ่านไปไหมนะ
สีหน้าของโจวต้าเฉิงซับซ้อนปรวนแปร สุดท้ายจึงหันหลังเข้าไปในเรือเหาะ
ไม่นานเขาก็พาฉินม่านอวิ๋นและคนอื่นๆ ออกมาด้วยสีหน้าขึงขัง
จักรพรรดิลั่วยังคงไม่อยากเชื่อ พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เจ้าพูดซะลึกลับชวนพิศวง ข้าว่าเจ้าหลอกข้าอยู่”
เขาพูดไปพลางเงยหน้าขึ้น
ชั่วขณะต่อมา เขาก็ต้องชะงักไป อ้าปากค้างเป็นรูป ‘O’ ราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
“นี่…นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?!” จักรพรรดิลั่วสีหน้าเปลี่ยนไปมา ถึงขั้นคิดว่าตนกำลังหลับฝันไป
จักรพรรดิลั่วกลืนน้ำลายลงคอ ฝืนพูดออกมาว่า “คลื่นเพลิงดาราเปิดทางให้ ไม่ใช่กระมัง! มันกำลังเปิดทางให้ใครกัน”
สีหน้าของฉินม่านอวิ๋นก็อึ้งงันไปเช่นกัน เพียงแต่นางสูดลมหายใจลึกในทันใด รีบปรับสภาพจิตใจ แววตาแฝงความเคารพเลื่อมใสระคนตื่นเต้น แทบเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทิ้ม “นอกจากท่านนั้นแ แล้ว คลื่นเพลิงดาราจะเปิดทางให้ใครได้อีก”
จักรพรรดิลั่วเลียริมฝีปากซึ่งแห้งผาก กล่าวด้วยความตระหนก “ข้าก็เดาออกแล้ว แต่ว่า…นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลย!”
ดวงตาของฉินม่านอวิ๋นจ้องมองโจวต้าเฉิง เอ่ยถามว่า “ผู้อาวุโสรอง ก่อนหน้านี้ท่านอยู่บนดาดฟ้าคุยอะไรกับคุณชายหลี่กันแน่”
“ก็ไม่ได้คุยอะไรมากนี่ ก็แค่…คุณชายหลี่ถามว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรจึงจะถึง ข้าบอกว่าถ้าหากไม่เจอคลื่น
เพลิงดารา หนึ่งวันหนึ่งคืนก็ถึง หากพบเข้าละก็ ก็อาจช้าไปอีกหลายวันสักหน่อย”
โจวต้าเฉิงใบหน้าซีดเผือด นี่มันเกินกว่าที่เขาจินตนาการไปแล้ว โลกทัศน์ของเขากลับตาลปัตร ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวอันแข็งแกร่งเทียมฟ้า ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงอันสั่นเครื อ “จากนั้น จากนั้น…คุณชายหลี่ก็เหมือนจะพูดออกมาอีกประโยคหนึ่ง หวังว่าสวรรค์จะเมตตา ให้พวกเราเดินทางถึงในเร็ววัน”