ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 120 เพลงฉินดุจคลื่น ดาวตกดุจฝนพรำ
“เฮือก”
จักรพรรดิลั่วและอีกสองคนสูดลมหายใจเข้าลึก ผู้ปราดเปรื่องอย่างพวกเขาย่อมตระหนักได้ทันใดว่าคำพูดนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นโดยตรง
“ข้าไม่คิดเลยว่าคุณชายหลี่พูดเพียงประโยคเดียว ถึงกับ…ถึงกับทำให้คลื่นเพลิงดาราเปิดทางให้!”
โจวต้าเฉิงพึมพำกับตนเอง รู้สึกเพียงว่าเลือดทั้งร่างสูบฉีดขึ้นถั่งโถม สมองชาวาบ ขนลุกซู่ไปทั้งร่าง
น่ากลัวเหลือเกิน!
น่าสะพรึงกลัว!
แม้ว่าเขาจะได้ยินมาตลอดว่าวิธีการของปรมาจารย์นั้นน่าหวาดกลัวแค่ไหน แต่ก็เพียงได้ฟังมา ฉะนั้นจึงไม่ได้รับรู้ความรู้สึกโดยตรง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบหลี่เนี่ยนฝาน ต่างก กับพวกฉินม่านอวิ๋นซึ่งตกตะลึงกับหลี่เนี่ยนฝานมานักต่อนัก สภาพจิตใจจึงมีพลังต้านทานบ้างแล้ว
ดังนั้น ทันทีที่เห็นเรื่องเหลือเชื่อ ก็พลันรู้สึกตระหนกตื่นเต้นเกินจินตนาการ ราวกับปุถุชนเห็นเรื่องแปลกพิสดาร
กล่าวคือ การให้คลื่นเพลิงดาราเปิดทางให้นั้นเป็นเรื่องที่คนทำได้หรืออย่างไร
หวังว่าสวรรค์จะเมตตา สวรรค์ก็เมตตาจริงๆ หรือ!
นี่หมายความว่าอย่างไรกัน สวรรค์ก็ให้เกียรติถึงเพียงนี้เชียว?
มารดาเถอะ!
โจวต้าเฉิงรู้สึกเพียงว่าตนได้พบกับความลับและความน่าสะพรึงกลัวอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
จักรพรรดิลั่วและคนอื่นๆ สบตากัน รู้สึกว่าในสมองกำลังกู่ร้องเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าควรสรรหาคำใดมาบรรยาย
ความรู้สึกของตนในตอนนี้
ถึงแม้ว่ายากที่จะเชื่อ หากแต่เป็นไปดังคาด…คลื่นเพลิงดารานี้คงจะกำลังประจบคุณชายหลี่
ออกตัวเปิดทางเองเสียขนาดนั้น ไม่ได้ประจบประแจงหรืออย่างไร
โจวต้าเฉิงกล่าวว่า “เทพธิดา พวกเราจะอ้อมไปทางอื่นไหม”
“ไม่ต้อง!”
ดวงตาของฉินม่านอวิ๋นฉายแววใช้ความคิด ก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว คำใบ้ของปรมาจารย์ชัดเจนยิ่งนัก ถ้าหากพวกเราเลือกอ้อมไปทางอื่น เช่นนั้นก็คงโง่เขลาเต็มทน”
ลั่วซืออวี่เอ่ยถามอย่างอดรนทนไม่ไหว “ท่านพี่ม่านอวิ๋น ปรมาจารย์บอกใบ้อะไรหรือ”
“คุณชายหลี่เริ่มสนทนาเรื่องคลื่นเพลิงดารากับผู้อาวุโสรองก่อน จากนั้นจึงให้ผู้อาวุโสรองกินสาลี่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย คิดว่าสาลี่ผลนั้นเขาให้เปล่าหรือ”
ฉินม่านอวิ๋นยิ้มบาง พูดอย่างแน่วแน่ “อันที่จริงความหมายแฝงในคำพูดของคุณชายหลี่ก็เพื่อบอกให้ผู้อาวุโสรองไม่ต้องกลัวที่จะผ่าไป ไม่ต้องอ้อมเส้นทาง!”
“มีเหตุผล” จักรพรรดิลั่วพยักหน้า “ข้ารู้สึกมั่นใจว่าสามารถผ่าไปได้ ถึงอย่างไรคลื่นเพลิงดาราก็เปิดทางเองแล้ว หากแค่นี้พวกเราไม่กล้า ก็เห็นจะไม่สมควรแล้ว”
โจวต้าเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึก สายตาค่อยๆ ขึงขัง กล่าวอย่างหนักแน่น “ได้ ข้าจะฝ่าไป”
ความเร็วของเรือเหาะนั้นเร่งเร็วขึ้นอีกครา เผชิญหน้ากับคลื่นเพลิงดารา ก่อนจะบุกเข้าไป
ท่ามกลางสายตาจับจ้องของผู้คน เรือเหาะแล่นผ่านเข้าไปตามเส้นทางซึ่งคลื่นเพลิงดาราเว้นว่างไว้โดยปราศจากอุปสรรค สองข้างทางมีเปลวเพลิงลูกกลมนับไม่ถ้วนลุกโชติช่วง ลูกไฟเหล่านี้หา าได้เป็นมวลสสารซึ่งจับต้องได้ หากแต่เป็นพลังปราณซึ่งกำลังเผาไหม้ กอปรกับพลังปราณหลากหลายชนิดทำให้สีสันของเปลวเพลิงนั้นแตกต่างกันออกไป
เปลวเพลิงลูกกลมปะทุสะเก็ดไปทั่วผืนฟ้ายามราตรี หลายหลากสีสันแสนตระการตา
ยิ่งงดงามยิ่งนำมาซึ่งภยันตราย คนโบราณหาได้โป้ปด
ลั่วซืออวี่มองดูจนเคลิบเคลิ้ม เอ่ยอย่างงุนงง “ที่แท้คลื่นเพลิงดาราก็เป็นแบบนี้ งดงามเหลือเกิน!”
ฉินม่านอวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย ภาพของลูกไฟนับไม่ถ้วนส่องสะท้อนในดวงตางามสะคราญ ทำให้ดวงตาของนางแลดูสุกสกาวชวนหลงใหล
ในท้องนภายามรัตติกาลอันเงียบสงัด เรือเหาะลอยล่องอยู่ท่ามกลางคลื่นเพลิงดารา มองจากระยะไกลดูราวกับภาพเขียนสงบเยือกเย็น ชวนให้เคลิบเคลิ้ม
“ข้าก็ว่าเสียงอะไร ที่แท้ทุกคนก็ยังไม่นอนกันนี่เอง”
หลี่เนี่ยนฝานและต๋าจี่เดินอาดออกมาจากข้างในเรือ ยิ้มเอ่ยพลางมองดูผู้คน
ทันทีที่เห็นหลี่เนี่ยนฝาน ฉินม่านอวิ๋นและคนอื่นๆ ก็หัวใจกระตุกวูบ หากไม่ใช่เพราะตอนนี้สภาพจิตใจดี ป่านนี้คงทรุดเข่าฮวบลงไปแล้ว
เมื่อเห็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ แทบจะทนเข่าอ่อนยวบลงไปไม่ไหว
ฉินม่านอวิ๋นรีบแสร้งวางท่าเยือกเย็น “คุณชายหลี่ ท่านยังไม่นอนหรือ”
“ได้ยินเสียงดังข้างนอก นึกสงสัยเลยออกมาดู” หลี่เนี่ยนฝานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เขาเงยหน้ามองไปรอบๆ ใบหน้าฉายแววประหลาดใจ “ว้าว สวยสุดๆ ไปเลย!”
ใบหน้าของต๋าจี่ก็ตื่นตกใจเช่นเดียวกัน เคลิบเคลิ้มอยู่ในภาพฉากอันงดงาม
สายตาของหลี่เนี่ยนฝานมองประเมินไปรอบๆ ฉีกยิ้มดีอกดีใจ “โชคดีที่ข้าขึ้นมา ไม่งั้นอดเห็นบรรยากาศงดงามเช่นนี้คงเสียดายแย่”
ลำพังการได้ผ่าเข้ามาในภาพฉากสวยสด การเดินทางครั้งนี้ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว!
ความงดงามนี้ แม้แต่จะจินตนาการก็ยังจินตนาการไม่ออก เรียกได้ว่างดงามตระการตาจนพุ่งเข้าโจมตีจิตวิญญาณ
“หวึ่งๆๆ”
เปลวเพลิงโดยรอบพากันลุกโหมกว่าเดิมประหนึ่งได้รับคำชื่นชมจากปรมาจารย์ แสงสว่างเจิดจรัสพลอยให้โดยรอบสว่างไสวกว่าเดิม
ถึงขั้นที่เปลวเพลิงยังคงโรมรันพันตู หนักบ้างเบาบ้างอย่างมีจังหวะจะโคน ทำให้แลดูงดงามตระการตาไปอีกขั้น
หลี่เนี่ยนฝานมองดูจนเคลิ้มตามไป พร้อมเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ “ไม่เลว ไม่เลว งดงามมาก”
จักรพรรดิลั่วและคนอื่นๆ ลอบกลอกตาในใจขณะมองดูคลื่นเพลิงดารา แทบอยากเอ่ยบริภาษสักยก
ขี้ประจบ!
เป็นคนขี้ประจบดีๆ นี่เอง!
มารดามันเถอะ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเจ้าเปิดทางให้คนได้ด้วย เมื่อก่อนไฉนจึงไม่เคยเห็นเจ้าแสดงความสามารถเช่นนี้เลยเล่า
จำเป็นต้องออกหน้าออกตาขนาดนี้เชียวรึ
จู่ๆ ฉินม่านอวิ๋นก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณชายหลี่ ทัศนียภาพงดงามเช่นนี้ ข้าก็คันไม้คันมือขึ้นมา นึกอยากบรรเลงสักบทเพลง จะรังเกียจหรือไม่”
หลี่เนี่ยนฝานส่ายหน้าพลางยิ้มตอบ “ทัศนียภาพงดงามก็ยิ่งเข้ากับดนตรีไม่ใช่หรือ”
ฉินม่านอวิ๋นแย้มยิ้มงามสง่า สองมือยกขึ้นเล็กน้อย ฉินโบราณตัวหนึ่งก็ปรากฏเบื้องหน้า
นางเปรียบประหนึ่งเทพเซียนจากดวงจันทร์ มือเรียวสวยลูบไล้ ชั่วพริบตาบทเพลงก็ค่อยๆ ดังขึ้นจากสายฉิน
บรรยากาศงามงด เพลงฉินบรรเลงสู่โสตประสาท เพิ่มความสุนทรีย์ขึ้นอีกมาก
จักรพรรดิลั่วและลั่วซืออวี่มองหน้ากัน ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความขมขื่น พวกเขาเองก็อยากประจบประแจง เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากว่าอย่างไร ปวดใจเสียจริง
ดวงตาของหลี่เนี่ยนฝานฉายแววหวนระลึกอดีตอย่างอดไม่ได้ พึมพำว่า “ไม่รู้ว่าเปลวไฟพวกนี้จะตกลงบ้างไหม
เมื่อก่อนข้าอยากดูดาวตกมาตลอด น่าเสียดายที่ไม่เคยเห็นเลย”
แทบจะทันทีที่เขาพูดจบ หนึ่งในเปลวเพลิงกลมก็สั่นสะท้าน ราวกับทนไม่ไหว พลันร่วงหล่นลงจากเวหากว้างในทันใด ลากทิ้งไว้เป็นรอยทางยาว
หลังจากนั้น ก็ตามมาด้วยเปลวเพลิงกลมลูกที่สอง ลูกที่สาม ลูกที่สี่…
กลางราตรีกาล เปลวเพลิงกลมลากผ่านฟ้ากว้าง เป็นทางยาวกระจ่างตา
ภาพเช่นนี้ช่างตระการตาเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายหลี่ก็ยืนอยู่ด้านข้างฝนดาวตก พิศดูความงามซึ่งหาได้
ยากนี้กับตาตนเอง
คล้ายกับว่าทุกขณะจะมีดาวตกลากผ่านไปรอบกายของหลี่เนี่ยนฝาน ทั้งด้านข้าง ด้านหลัง หรือด้านหน้า…
เรื่อยไปไม่สิ้นสุด
หลี่เนี่ยนฝานมองไปรอบๆ ดื่มด่ำท่ามกลางความงดงาม ในใจโหมกระหน่ำดุจเกลียวคลื่นร้อนแรง ทั้งกายใจล้วน
โล่งสบายอย่างห้ามไม่อยู่
บรรยากาศตระการตา โฉมงามบรรเลงฉิน ดวงดาราดุจฝนพรำ
หากไม่ทำอะไรสักอย่าง ก็คงเสียดายมากทีเดียว
หลี่เนี่ยนฝานจึงนั่งลงเสียตรงนั้น หยิบแผ่นกระดาษเล็กออกมาจากมิติระบบ ชมดาวตกไปพลาง พับกระดาษไป
พลาง